ที่มา :
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/903883
สื่อต่างประเทศวิเคราะห์สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองระลอกใหม่ในไทย
อาจส่งผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจระดับ “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
หลังอยู่ในภาวะซบเซาอยู่แล้วจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
เว็บไซต์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ของสหรัฐ รายงานเมื่อวันพุธ (21 ต.ค.) ว่า
ในปี 2563 ดัชนี MSCI ที่สะท้อนตลาดหุ้นไทยสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
ลดลงเกือบ 30% หากคิดเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเลวร้ายกว่าตลาดอื่น ๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การลงเเรงของดัชนี MSCI ส่วนใหญ่เกิดขึ้นไม่นานนี้ หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง
เดือน มิ.ย. ดัชนี MSCI ของไทยลดลงเพียง 10% เท่านั้น
วอลล์สตรีท ระบุว่า ต่อให้ความตึงเครียดทางการเมืองสิ้นสุดพรุ่งนี้
เศรษฐกิจไทยก็เผชิญกับภาวะช็อกครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
เมื่อปี 2541 อยู่แล้ว จากวิกฤติการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ในขณะนี้
รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่เว็บไซต์นิคเกอิ เอเชีย ของญี่ปุ่น
อ้างการประเมินของนักวิเคราะห์บางรายว่า ภาวะขาลงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้
อาจรุนแรงกว่าช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งขณะนั้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
(จีดีพี) หดตัวถึง 7.6%
ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า
จีดีพีของไทยนับถึงสิ้นปีหน้า อาจลดลง 3% เทียบกับจีดีพีเมื่อสิ้นปี 2562
ซึ่งถือว่าวูบหนักที่สุดเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน
เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็วจากปัจจัยภายนอก
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษหลัง จีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้น 85% ในช่วง 10 ปีนับถึงสิ้นปี 2562
และพุ่งกว่า 500% ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ วอลล์สตรีทชี้ว่า การเติบโตของไทยยังแซงหน้าเศรษฐกิจ
เกิดใหม่อื่น ๆ เช่น เม็กซิโก บราซิล และแอฟริกาใต้
อย่างไรก็ตาม ความเฟื่องฟูนี้กลับสวนทางกับการกระจายรายได้ที่ตกต่ำลง
ค่าเฉลี่ยการเติบโตของค่าแรงที่แท้จริงชะลอตัวอย่างหนัก อยู่ที่ไม่ถึง 2%
ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของ 5 ปีหลัง และหนี้ครัวเรือนของประเทศก็พุ่งแตะ
70% ของจีดีพีในปัจจุบัน
วอลล์สตรีท เสริมว่า นอกจากภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนี่งในตัวกระตุ้นหลัก
ของเศรษฐกิจไทยแล้ว ภาคยานยนต์ยังได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน
ปัจจุบัน ไทยเป็นฮับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับบรรดาบริษัทรถญี่ปุ่นรายใหญ่
และความต้องการรถคันใหม่ที่หดหายไปในปีนี้ ก็สร้างความเสียหายต่อ
ภาคการผลิตของประเทศด้วย
สื่อนอกชี้ ‘เศรษฐกิจไทย’ ส่อวิกฤติระดับ ‘ต้มยำกุ้ง’
สื่อต่างประเทศวิเคราะห์สถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองระลอกใหม่ในไทย
อาจส่งผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจระดับ “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
หลังอยู่ในภาวะซบเซาอยู่แล้วจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
เว็บไซต์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ของสหรัฐ รายงานเมื่อวันพุธ (21 ต.ค.) ว่า
ในปี 2563 ดัชนี MSCI ที่สะท้อนตลาดหุ้นไทยสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
ลดลงเกือบ 30% หากคิดเป็นสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเลวร้ายกว่าตลาดอื่น ๆ
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การลงเเรงของดัชนี MSCI ส่วนใหญ่เกิดขึ้นไม่นานนี้ หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง
เดือน มิ.ย. ดัชนี MSCI ของไทยลดลงเพียง 10% เท่านั้น
วอลล์สตรีท ระบุว่า ต่อให้ความตึงเครียดทางการเมืองสิ้นสุดพรุ่งนี้
เศรษฐกิจไทยก็เผชิญกับภาวะช็อกครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
เมื่อปี 2541 อยู่แล้ว จากวิกฤติการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ในขณะนี้
รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่เว็บไซต์นิคเกอิ เอเชีย ของญี่ปุ่น
อ้างการประเมินของนักวิเคราะห์บางรายว่า ภาวะขาลงของเศรษฐกิจไทยในปีนี้
อาจรุนแรงกว่าช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งขณะนั้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
(จีดีพี) หดตัวถึง 7.6%
ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า
จีดีพีของไทยนับถึงสิ้นปีหน้า อาจลดลง 3% เทียบกับจีดีพีเมื่อสิ้นปี 2562
ซึ่งถือว่าวูบหนักที่สุดเทียบกับประเทศคู่แข่งในอาเซียน
เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างรวดเร็วจากปัจจัยภายนอก
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษหลัง จีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้น 85% ในช่วง 10 ปีนับถึงสิ้นปี 2562
และพุ่งกว่า 500% ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ วอลล์สตรีทชี้ว่า การเติบโตของไทยยังแซงหน้าเศรษฐกิจ
เกิดใหม่อื่น ๆ เช่น เม็กซิโก บราซิล และแอฟริกาใต้
อย่างไรก็ตาม ความเฟื่องฟูนี้กลับสวนทางกับการกระจายรายได้ที่ตกต่ำลง
ค่าเฉลี่ยการเติบโตของค่าแรงที่แท้จริงชะลอตัวอย่างหนัก อยู่ที่ไม่ถึง 2%
ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของ 5 ปีหลัง และหนี้ครัวเรือนของประเทศก็พุ่งแตะ
70% ของจีดีพีในปัจจุบัน
วอลล์สตรีท เสริมว่า นอกจากภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนี่งในตัวกระตุ้นหลัก
ของเศรษฐกิจไทยแล้ว ภาคยานยนต์ยังได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน
ปัจจุบัน ไทยเป็นฮับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับบรรดาบริษัทรถญี่ปุ่นรายใหญ่
และความต้องการรถคันใหม่ที่หดหายไปในปีนี้ ก็สร้างความเสียหายต่อ
ภาคการผลิตของประเทศด้วย