ตม. อเมริกากักตัว

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกที่ตัดสินใจมาแชร์ประสบการณ์ของเรา หลอนอยู่เกือบเดือน เลยตัดสินใจมาแชร์ประสบการณ์ เพื่อเป็นอุทธาหรณ์ให้เพื่อนๆ คนไทยที่กำลังจะเดินทางไปอเมริกาค่ะ ปล.โพสต์เราจะงงๆ หน่อยนะคะ เพราะเพิ่งเคยโพสต์ค่ะ
 
เกริ่นก่อนว่า เราทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนี่ล่ะ ประวัติการเดินทางของเราคือ เดินทางมาแล้วกว่า 30 ประเทศ และบางประเทศเราก็ไปซ้ำหลายรอบเช่นกัน ส่วนใหญ่ของการเดินทางคือเกี่ยวกับงานที่ทำ และเที่ยวเองแบบแบ็คแพคกับเพื่อนสนิทด้วย ทริปล่าสุดของเราคือบินอิตาลี (รอบที่ 2) ลงมิลาน กลับถึงไทยเมื่อเดือนมีนาคม จากเหตุการณ์ Covid-19 ทำให้เราว่างงานยาว และอยากเดินทางไปไหนสักแห่ง ก็เลยคุยกับเพื่อนว่า เดือนตุลาคม น่าจะโอเคละ ถ้าไปไหน ก็ยอมกักตัวโดยเสียเงินเอง จึงตัดสินใจกับเพื่อนว่า เราจะไปอเมริกากัน เพราะเราได้วีซ่าอเมริกามาตั้งแต่ปี 2019 จนตอนนี้ปีกว่าแล้วแต่ยังไม่ได้เดินทางเลย รอบนี้เลยจองตั๋วเดินทางวันที่ 6 ตค. และวันกลับ เราเลือกกลับ 12 ธค. เนื่องจากเช็คในระบบแล้วว่า ขากลับจะไม่ค่อยมีไฟล์ทให้เลือกมากนัก และเราไปครั้งนี้เราก็จะไปพักบ้านเพื่อนของเพื่อน (คนไทย) ที่เดินทางไปกับเรานี่ล่ะ  สายการบินที่เราไปคือโคเรียนแอร์ เราลงเมืองซีแอตเทิลค่ะ เมื่อถึง ตม. มีเจ้าหน้าที่ตะโกนว่า ใครมาด้วยกันเป็นครอบครัวก็ให้เข้าช่องเดียวกันเลย เราก็เลยเดินไปด้วยกันกับเพื่อน
จนท. : มาทำอะไร?
เรา : มาเที่ยวและมาเยี่ยมเพื่อน 
จนท. : มากี่วัน?
เรา : 2 เดือน
จนท. : มีเงินมาเท่าไหร่?
เรา : พกเงินสดมาไม่เยอะ แลกมาแค่ติดกระเป๋า เพราะเรามีบัตรเงินสด และบัตรเครดิต
จนท : ให้สแกนลายนิ้วมือ ทั้งสองคน 
จากนั้น เค้าก็พาเราเดินเข้าห้อง มานั่งรอข้างใน ในนั้นเจอคนโดนเยอะมากๆ นั่งรอเป็นแถวๆ เลย แล้ว จนท. ผิวสีเป็นผู้หญิงตัวใหญ่ๆ ก็มาขอมือถือเราสองคนไป แล้วก็กลับมาบอกให้เราลงไปเอากระเป๋าที่สายพาน แล้วกลับขึ้นมาใหม่ โดยให้แยกกับเพื่อน พอเรากลับขึ้นมา จนท. ก็พาเข้าห้องสี่เหลี่ยมๆ มีคอมฯ มีโทรศัพท์ มีกล้องวงจร จากนั้นก็เปิดกระเป๋าเรา เช็คทุกสิ่งอย่าง ก็ไม่มีอะไร ระหว่างตรวจกระเป๋า จนท. ก็ถามว่า ทำไมเอาเครื่องสำอางมาเยอะ เราก็ตอบไปว่า เยอะยังไง ก็ซองนึงเป็น สบู่ ยาสีฟัน ครีมอาบน้ำ ยาสระผม อีกซองแยกเป็นเครื่องสำอาง แป้ง ดินสอเขียนคิ้ว ที่ปัดแก้ม แปรง (คือมันปกติมากตรงนี้) เราก็ตอบไปว่า ก็ธรรมดานะ ไอไม่ได้เอาอะไรมาเยอะแยะ เพราะไม่ได้ค่อยแต่งอยู่ละ เพราะใส่หน้ากากตลอด นางก็ทำหน้านิ่งๆ จากนั้นก็สัมภาษณ์เราว่า
จนท. : มาหาใคร มาทำอะไร ทำงานอะไร มาพักกี่วัน มาพักกับใคร?
เรา : มาเที่ยว มาเยี่ยมเพื่อน พักบ้านเพื่อนของเพื่อนคนที่มาด้วยกัน 
จนท. : รู้จักกันเป็นการส่วนตัวกับเจ้าของบ้านหรือไม่?
เรา : ไม่รู้จัก แต่เคยคุยทางโทรศัพท์พร้อมกับเพื่อน แค่นั้น (เราพูดตามความจริง)
จนท : แล้วเพื่อนเป็นอะไรกับเจ้าของบ้าน?
เรา : เค้าเป็นเพื่อนกัน เคยออกทริปด้วยกันที่เมืองไทย และเคยไปอินโดฯ ด้วยกัน
จนท : เจ้าของบ้านชื่ออะไร?
เรา : ชื่อ.......(บอกไป)  แต่นามสกุลเราจำไม่ได้ จากนั้นเราก็ควัก copy หน้าพาสฯ ของพี่เจ้าของบ้านออกมาให้ จนท. ดู แล้วจังหวะนั้น มี จนท. ผช. เดินเข้ามาสมทบ แล้วตะคอกใส่เราว่า "ยูมีพาสฯ เค้าได้ยังไง" เราก็ตอบตามความจริงว่า "พี่เค้าส่งมาให้ เพราะเราไม่รู้จักชื่อเค้า เราก็เลยปริ้นไว้" จนท.ผู้ชายก็มาจับผิดเราอีกว่า แล้วมือทำไมสั่น? คือ เราเป็นคนที่มือมันไม่นิ่งอ่ะ คือมันจะสั่นนิดๆ ยิ่งเวลาเราเหนื่อยๆ หรือหนาวๆ อ่ะ เราจะเป็นแบบนี้ เราก็อธิบายไป จนท. ผช. ก็แบบสะแหยะยิ้ม แล้วเดินออกไป สักพัก เค้าก็ให้เราออกมาจากห้องนั้น แต่กระเป๋าเรายังอยู่ตรงนั้น เค้าไม่ให้เอาออกมา จากนั้นก็มาเรียกเพื่อนเราเข้าไปสัมภาษณ์ต่อ ระหว่างนั่งรอเพื่อน คือนานมากๆ เกือบชั่วโมงได้ จนเราแบบจะหลับอ่ะ จนมี จนท. คนขาวเดินทางมาเราแล้วบอกว่า ให้เข้าไปในห้องอีกครั้ง เราก็เข้าไปอีกห้องถัดจากห้องเดิม เพราะห้องน้น เพื่อนเรายังอยู่ในนั้น แล้ว จนท.คนใหม่ ก็สัมภาษณ์แบบเก่าอีก คำถามเดิมซ้ำๆ วนๆ ไป (เราแอบคิดในใจว่า เค้าคงจะให้เราหลุดอะไรออกมาสักอย่าง แต่เราก็ตอบแบบเดิม เพราะเราพูดความจริง) 
จนท. : รู้จักเพื่อนคนนี้ได้ยังไง?
เรา : เมื่อก่อนเค้าเคยเป็นลูกค้าเรา เราเคยพาเค้าไปเที่ยวทริปยุโรป จากนั้นก็เลยสนิทกัน จนคบกันเป็นเพื่อน แล้วก็เที่ยวด้วยกันมาตลอด เพราะไลฟ์สไตล์เราคล้ายๆ กัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน
จนท. : รู้จักกันกี่ปีแล้ว?
เรา : 5-6 ปี แล้ว
จนท. : บ้านที่อยู่เมืองไทยเป็นบ้านใคร
เรา : บ้านเราเอง เราซื้อ
จนท. : ซื้อมากี่ปีแล้ว?
เรา : ราวๆ 15 ปี แล้ว ผ่อนจะหมดแล้ว
จนท : เอาเงินจากไหนมาซื้อบ้าน?
เรา : ก็กู้ธนาคารไง
จนท. : บ้านราคาเท่าไหร่?
เรา : .x.x ล้านบาท
จนท. : บ้านเลขที่เท่/าไหร่?
เรา : xxx/xx ฯลฯ แล้ว จนท. ก็เสริชข้อมูลกูเกิ้ลดูบ้านเรา แล้วมาบอกเราว่า หาบ้านเราไม่เจอ เราก็บอกว่า มันเป็นหมู่บ้าน ถ้าอยากหาเจอก็ใส่ชื่อหมู่บ้านสิ ใส่บ้านเลขที่ มันไม่เจอหรอก จนท. ก็บอกว่า อ้าว แล้วที่บอกว่า xxx/xx นี่คืออะไร เราก็บอกว่า เอ้า ก็มันบ้านเลขที่ไง ไม่ใช่ชื่อหมู่บ้าน แล้ว จนท. ก็ว่า เออๆ ไม่เป็นไร เพราะกูเกิ้ลแมพฯ บางทีก็เป็นแบบนี้ ไอเข้าใจยู
จากนั้นก็ซักถามเราเกี่ยวกับงานของเรา เราก็อธิบายรายละเอียดงานให้ฟัง ว่าตัวเราอ่ะเป็นฟรีแลนซ์ ไม่ได้ทำประจำกับบริษัทฯ ไหน แต่ก่อนหน้านี้อยู่บริษัทฯ xxxx เค้าก็เสริชหาชื่อบริษัทฯ ก็เจอ แล้วอีกบริษัทฯ ทัวร์อีกอัน เราก็บอกไปตามความจริงว่า มันปิดตัวลงไปแล้ว แล้วเค้าก็เสริชอีก ก็เจอเวปฯ แต่คือมันก็ไม่อัพเดทไง ทีนี้เค้าขอดูงานเราในโน๊ตบุ๊ค เราก็เปิดให้ดู เค้าขอดูที่เราคุยกับลูกค้า เราก็ให้เค้าดู มีการโอนเงินจากลูกค้าต่างๆ เราก็ให้ดูสลิปฯ เพราะเราคุยกับ ลค. ส่วนใหญ่ทางเฟซบุ๊คฯ คือไม่มีอะไรที่เราปิดบังเลย แล้วเค้าก็ออกไปอีก ทิ้งให้เรานั่งอยู่แบบนั้นเป็น 2-3 ชั่วโมง จนเราเหนื่อย ง่วง จะหลับ เราขอเข้าห้องน้ำ แล้วเค้าก็เอาขนมเป็นเจลลี่มาให้เรากิน แต่เรากินไม่ลงเราเหนื่อยมากๆ เราก็ยังนั่งรอต่อไป แต่ห้องข้างๆ เรา คือ เป็นเพื่อนเรา และถัดอีกห้องเป็น ผช. คนเกาหลี หรือญีปุ่นหรือจีน ไม่แน่ใจ ก็โดนแบบพวกเรา จากนั้น เราได้ยินเค้าคุยกับเพื่อนเรา ถามเหมือนเดิมอีก จนสุดท้ายก็มาบอกเราว่า เราจะโดนยกเลิกวีซ่านะ จะเข้าประเทศไม่ได้เป็นเวลา 5 ปี แต่ถ้าอยากมาก่อน 5 ปี ก็ให้ไปยื่นขอวีซ่าใหม่ได้ วินาทีนั้นคือ เราอึ้ง หูอื้อ แต่ก็นิ่งไม่ได้อะไรมาก เพราะใจลึกๆ ก็ไม่ได้ว่าชอบอเมริกาเท่าไหร่หรอก แต่ที่ไปก็เพราะว่าคิดว่า ครั้งนึงในชีวิตขอไปเหยียบหน่อยเหอะ ก็แค่นั้น เพราะหลักๆ เลยคือเราเที่ยวยุโรปบ่อยมากๆ วีซ่ายุโรปเราก็ได้ระยะยาว เท่าอายุพาสปอร์ตอยู่แล้ว
.......หลังจาก ให้เราเซ็นต์และพิมพ์ลายนิ้วมือจบแล้ว ก็มี จนท. ผู้หญิงแก่ๆ ร่างใหญ่เดินมาบอกว่า ให้เราถอดแหวน ต่างหู นาฬิกา ออกให้หมด แม้แต่ที่ผูกผมเรา ก็ไม่ให้ และก็ให้เอาเงินทุกบาทในกระเป๋ามาใส่ซองพลาสติกใสๆ ไว้ แล้วก็ให้เราเอาของไปเก็บที่ห้องเก็บของ พาเราเดินทางออกมา เราออกมาเจอเพื่อนโดนใส่กุญแจมือ และก็ ผญ.เกาหลีคนนั้นอีกคน เค้าก็มาใส่แจมือเรา เราก็บอกว่า "ยูไม่จำเป็นต้องขนาดนี้กับไอไหม ไอไม่ได้เป็นมาตรกรนะ" นางก็บอกว่า มันเป็นกฎของเค้า จากนั้นก็พาเรากับเพื่อน และ ผช.เกาหลีคนนั้น ออกไปขึ้นรถ ลักษณะรถก็คือรถนักโทษนั่นล่ะค่ะ แต่ตรงข้างรถจะเขียนว่า immigration อะไรสักอย่างอ่ะแหละ เค้าพาขับรถออกไปจากสนามบินที่ไกลมากๆ ไปอีกเมืองนึงเลย เราไม่รู้ว่าเมืองอะไรอะไร พอไปถึง มันก็คือ คุกดีๆ นี่เอง วินาทีนั้นคือ เราแทบอยากจะร้องไห้ รถเลี้ยวเข้าไปก็มีรั้วใหญ่ แล้วต้องมีคนมาไขเปิดประตู พอลงรถ จทน. ก็พาเข้าไปเป็นประตูล็อคแน่นหนาอีกชั้น และมี จนท. เป็นห้องใหญ่ๆ มีคอมพิวเตอร์ และมีห้องขัง เค้าถอดกุญแจมือเราออก แล้วให้เข้าไปนั่งในห้องสี่เหลี่ยมที่มีส้วมโดดๆ แล้วก็มีก๊อกน้ำ แค่นั้น สักพัก จนท. ผช. คนนึง ก็เอาขนมปังกับแอปเปิ้ลมาโยนให้เราทางช่องเล็กตรงๆ ประตู รอไปสักพักใหญ่ๆ เค้าก็มาเรียกชือให้เราออกไป ทำประวัติ เซ็นต์เอกสาร และรับกระเป๋า ในนั้นมีเสื้อผ้า รองเท้า ผ้าเช็ดตัว แล้วก็ให้เรากลับเข้าไปในห้องเหมือนเดิม แล้วมาเรียกเพื่อนเราไปทำเหมือนกัน จากนั้นก็พาเราสองคนไปอีกห้องนึง แล้วบอกว่า ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วเอาเสื้อผ้าตัวเอง ใส่กระเป๋าใบนั้น  พระเจ้าช่วย !!! ชุดที่เราต้องเปลี่ยนคือ เป็นชุดสีส้มๆ เหลืองๆ เหมือนคนคุกนั่นล่ะค่ะ ให้เราสองคนใส่ เสื้อใน กางเกงใน รองเท้า ก็คือ ต้องใส่ทุกอย่างที่เค้าให้มา แล้วก็ให้เรากลับออกมา นั่งห้องสี่เหลี่ยมนั้นเหมือนเดิม แต่นั่งกับเพื่อน ระหว่างนั้น เราน้ำตาไหลพรากๆ ร้องแบบไม่อายแล้ว คือรู้สึกเลยว่า ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ ถ้าจะส่งกลับก็แค่รอให้มีไฟล์ทถัดไป แล้วส่งกลับก็ได้ ทำไมต้องเอามาขังไว้ด้วย เรากับเพื่อนกอดคอกันร้องไห้ ไม่คิดว่า ชีวิตนี้เราสองคน จะมาเจออะไรแบบนี้เลย.....จากนั้น มีเจ้าหน้าที่ มาพาไปอีกห้อง เป็นห้องพยาบาล เค้าพาเราไปตรวจฉี่ ตรวจร่างกาย แล้วก็สอบถามปัญหาสุขภาพจิต ทุกอย่างไม่มีปัญหา แล้วเราก็กลับมานั่งรอที่ห้องสี่เหลี่ยมนั่นอีก เวลาตอนนั้น ก็ราวๆ เที่ยงคืนแล้ว เราทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ร้องไห้จนปวดตาแล้ว สักพักมีเจ้าหน้าที่ มาพาเราสองคน เดินไปอีกทางนึง เป็นห้องมีประตู 2 ชั้น แล้วไปส่งเข้าห้อง เป็นห้องสีเหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ และปิดถึบ มีส้วมกับก๊อกน้ำ และเตียงสองชั้น เราแอบดูนาฬิกาตอนเดินเข้ามาเป็นเวลา ตี 2 เราปีนขึ้นเตียงแล้วเผลอหลับไป รู้สึกตัวตื่น เพราะคิดว่า คงเช้าแล้ว เราคงได้กลับบ้านแล้ว เลยลงมานั่งกับเพื่อน สักพัก จนท. มาตะโกนด่าว่า ให้กลับขึ้นไปนั่งข้างบน ห้ามนั่งด้วยกัน เราก็งงๆ ว่า มันเป็นอะไร ทำไมนั่งด้วยกันไม่ได้ เราจ้องหน้าเขม็ง แล้ว จนท. ก็เดินไป สักพัก เอาอาหาร ถาดหลุมเป็นโจ๊กเละๆ สีเหมือนโคลน และมีก้อนเนื้อปั้นๆ ชิ้นเล็กๆ 2 ก้อน มาให้เรากิน แต่เรากินไม่ลง สักพัก จนท. ก็มาเก็บจาน (ปล.เวลานั้น เป็นเวลาแค่ ตี 5 เอง เราเข้าใจผิดว่ามันเช้าแล้ว) พอประมาณ ใกล้จะ 8 โมง มี จนท. อีกคนนึงมาเปิดช่องเล็กๆ เอาซาวเบ้าแบบวิทยุ am มาให้เราสองคน เราเลยถามเค้าว่า เราจะได้กลับตอนไหน จนท. คนนั้นแจ้งว่า เราต้องติดอยู่อีก 1 คืน เรานี่ร้องไห้ออกมาเสียงดังมาก เราโกรธมากว่า ทำไมต้องเอาเรามาขังไว้ เราตะโกนด่า จนท. คนนั้น ว่า เราไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร เราไม่ใช่ฆาตรกร หรือทำอะไรผิด ประวัติเราดีมาตลอด พวกคุณทำแบบนี้กับเราไม่ได้นะ เอาเรามาใส่กุญแจมือ เอามาใส่ชุดคนคุก เอาเรามาขังคุก ให้กินข้าวที่เป็นเหมือนอาหารหมา แถมห้องก็ไม่มีวิวอะไรให้ดู คือเหมือนนักโทษมากๆ อ่ะ ต้องการอะไรหรอ จนท. คนนั้นก็บอกว่า ใจเย็นๆ นะ เนี่ย ไม่ใช่แค่พวกยูสองคนนะ มีคนประเทศอื่นติดเยอะแยะ ยิ่งคนจีนน่ะ นู่นน่ะห้องนั้น เยอะมากๆ เราก็เลย เถียงไปว่า "เราไม่สนใจว่าประเทศไหนจะติดแบบไหน หรือมีปัญหาอะไร แต่เราคนไทย เราไม่เคยทำผิดกฎหมาย และคนไทยไปไหนก็เคารพกฎของบ้านเมืองนั้นๆ มาตลอด ทำไมพวกคุณต้องทำขนาดนี้กับเรา แล้วนี่ยังจะมาขังอีกคืนนึง มันใช่หรอ" จนท. คนนั้นก็ตอบเราว่า "ยูไม่ได้ทำอะไรผิด ยูไม่มีปัญหาอะไรเลย ยูกลับไปก็ไม่ได้ขึ้นศาล หรือเสียประวัติอะไร ยูยังสามารถขอวีซ่ากลับมาใหม่ได้ ตอนนี้ประเทศของเรามีการเลือกตั้ง เลยมีปัญหานิดหน่อยกับการคัดคนเข้าประเทศ บลาๆๆๆๆ" เราก็ตอบไปว่า "เราไม่อยากมาแล้ว และไม่คิดจะมาแล้ว ทำกันขนาดนี้ มันเลวร้ายเกินไป" แล้ว จนท. ก็ออกไป เราได้แต่ทำใจ แล้วปีนกลับขึ้นไปนอนฝืนหลับตา จนเผลอหลับไปจริงๆ จนกระทั่งมี จนท.อีกคนมาเคาะประตูห้องเสียงดังปังๆๆๆๆๆๆๆ เหมือนมีไฟไหม้ บอกให้พวกเราลุกขึ้น เราก็ลุกแบบงงๆ แต่ได้ยินว่า เราจะได้กลับเมืองไทยวันนี้เแล้ว จากนั้นก็มี จนท. มารับเราสองคนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ใส่กุญแจมือ นั่งรถคุกเหมือนเดิม เพื่อกลับไปยังสนามบิน พอถึงสนามบิน เค้าถึงปลดกุญแจมือ แล้วให้เราลากกระเป๋าขึ้นเครื่อง จนท.มาส่งเราสองคนกับเพื่อนจนถึงประตูเครื่อง แล้วเค้าก็คืนโทรศัพท์มือถือ และพาสปอร์ต...
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่