คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ก็เข้าใจความคิดของ จขกท นะ ผมก็ไม่ได้ศึกษาศาสนาอื่นๆ เลยไม่รู้ว่ามีศาสนาไหนบ้าง ที่สอนไม่ให้เชื่อในตัวศาสดา เหมือนพระตถาคต และสอนให้เห็น ความจริง ด้วยทางที่บอกไว้ และให้ปฏิบัติเองพึงรู้ได้ด้วยตนเอง
ผมเข้าใจว่า จกขท ต้องการสื่ออะไร ผมเสริมให้ว่า ความมืดมิดไม่ได้เข้ามาครอบงำชีวิตของเราทุกคน แต่ความมืดมิด(อวิชชา) นี้ติดกับจิตเราพาข้ามภพ เวียนว่ายตายเกิด อยู่แบบนี้ พระพุทธองค์ท่านบอกทางที่จะทำลายความมืดมิด(อวิชชา)นี้ เพื่อให้เราหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ แต่หากเราไม่เพียรพยายามปฏิบัติ ตามที่ท่านสอน กลับไปหมกหมุ่นอยู่กับ โลภ โกรธ หลง เพิ่มความมืดมิดยิ่งขึ้นไปอีก เราก็จะเวียนว่ายตายเกิดไปกับความมืดมิด(อวิชชา) ต่อไป
เจตนาคุณดี แต่ความหลง นี่ถอนอยากสุด หลงชั่ว มีสติคิดใหม่ยังแก้ได้ หลงดีเมื่อไหร่หลงงมงาย พระพุทธองค์สอนกาลามสูตรไว้ ก็เพื่อถอนความหลงนี้ มีแต่คนผู้นั้นที่ปฏิบัติที่จะแก้ไขในจิตของเค้าได้ แค่3ข้อ อย่าเชื่อเพียงเพราะเราเป็นตถาคต(ท่านเน้นให้ปฏิบัติเองเห็นเองแจ้งเอง)อย่าเชื่อเพียงเพราะเป็นครูบาอาจารย์ อย่าเชื่อเพียงเพราะตำรา เอาแค่นี้ยังวางไม่ได้เลย ก็แล้วแต่ บุญ วาสนา บารมี ของใครก็ของคนนั้น จะนำพาไปให้เห็นทางธรรม
สาธุในธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ครับ
ผมเข้าใจว่า จกขท ต้องการสื่ออะไร ผมเสริมให้ว่า ความมืดมิดไม่ได้เข้ามาครอบงำชีวิตของเราทุกคน แต่ความมืดมิด(อวิชชา) นี้ติดกับจิตเราพาข้ามภพ เวียนว่ายตายเกิด อยู่แบบนี้ พระพุทธองค์ท่านบอกทางที่จะทำลายความมืดมิด(อวิชชา)นี้ เพื่อให้เราหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดนี้ แต่หากเราไม่เพียรพยายามปฏิบัติ ตามที่ท่านสอน กลับไปหมกหมุ่นอยู่กับ โลภ โกรธ หลง เพิ่มความมืดมิดยิ่งขึ้นไปอีก เราก็จะเวียนว่ายตายเกิดไปกับความมืดมิด(อวิชชา) ต่อไป
เจตนาคุณดี แต่ความหลง นี่ถอนอยากสุด หลงชั่ว มีสติคิดใหม่ยังแก้ได้ หลงดีเมื่อไหร่หลงงมงาย พระพุทธองค์สอนกาลามสูตรไว้ ก็เพื่อถอนความหลงนี้ มีแต่คนผู้นั้นที่ปฏิบัติที่จะแก้ไขในจิตของเค้าได้ แค่3ข้อ อย่าเชื่อเพียงเพราะเราเป็นตถาคต(ท่านเน้นให้ปฏิบัติเองเห็นเองแจ้งเอง)อย่าเชื่อเพียงเพราะเป็นครูบาอาจารย์ อย่าเชื่อเพียงเพราะตำรา เอาแค่นี้ยังวางไม่ได้เลย ก็แล้วแต่ บุญ วาสนา บารมี ของใครก็ของคนนั้น จะนำพาไปให้เห็นทางธรรม
สาธุในธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ครับ
แสดงความคิดเห็น
มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่เอาแต่ความจริงมาสอน มีแต่สอนให้หัดคิด สอนให้ลองพิจารณาด้วยตัวท่านเอง (ไม่ได้สอนให้เชื่อตาม)
ไม่มีจริงๆ
ตลอดระยะเวลา 45 ปีที่ท่านเสด็จ ท่านได้สอนคนตลอด
ท่านไม่เคยบอกว่าฟังแล้วให้เชื่อ แม้แต่ครั้งเดียว
แต่ท่านจะตรัสว่า.....ท่านจงมาฟังสิ่งที่เราจะพูดเถิด
นั่นคือ ท่านต้องการให้เราฟังแล้วคิดตาม ว่าสิ่งที่ท่านกล่าวไปนั้นเป็นจริงไหม ถูกต้องไหม
ท่านให้เราคิดเอาเอง พิจารณาเอง ไตร่ตรองเอง
ท่านเพียงนำเความจริงมาพูดให้เราฟังเท่านั้น
ท่านพูดเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของเรา ว่าฟังท่านแล้วเห็นจริงตามที่ท่านบอกเราไหม
ส่วนการเชื่อเรื่องอะไรก็ตาม หรือฟังมาจากใครก็ตาม อันนี้ต่างหากที่ล่อแหลม
พระพุทธเจ้าท่านจึงได้บัญญัติเรื่องของการเชื่อไว้
เพื่อป้องกันไม่ให้เราพลาด
ไปหลงเชื่ออะไรที่ผิดๆเข้า
ดังปรากฏในกาลามสูตรที่เราได้เห็นกันทุกวันนี้ไง
- ความเชื่อแบบผิดๆ (ความหลง-ความงมงาย)
- ความคิดหรือความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง (มิจฉาทิฏฐิ)
- ความไม่รู้เท่าทันตามความเป็นจริง
- ความไม่รู้แจ้งเห็นจริง (อวิชชา)
....เหล่านี้ เป็นภัยยิ่งยวด
เพราะการใช้ชีวิตของคนเรานั้น มันเสมือนท่านได้ลงเรือพายลำน้อยๆ พายไปท่ามกลางมหาสมุทรที่มืดมิด แถมไร้เข็มทิศนำทางอีกต่างหาก
ที่ร้ายกว่านั้นคือ หากท่านมีเข็มทิศอยู่ในมือ แต่เข็มทิศนั้นมันชี้นำท่านไปผิดทิศผิดทางอยู่ตลอดเวลาล่ะ?
เมื่อเป็นแบบนี้....แล้วเมื่อไหร่ท่านจึงจะไปถึงฝั่ง ตามที่ท่านปรารถนาได้?
และระหว่างทาง หากเจอพายุฟ้าฝนกระหน่ำซ้ำอีกล่ะ จะไปรอดถึงฝั่งได้ไหมละนั่น?
ในเมื่อพายุมันเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ เราไม่มีทางรู้มันหรอก
และจะรุนแรงปานไหน ก็เกินกว่าวิสัยที่เราจะไปรู้ล่วงหน้าได้อีก (ต่อให้รู้ล่วงหน้าก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีครับ)
** อย่ายอมให้ความมืดมิดเข้ามาครอบงำชีวิตของท่านเช่นนั้นเด็ดขาด !!! **