The Corpse Bride
เป็นเวลาเกือบเก้าสิบกว่าปี ที่เห็นร่างสูงเพรียวในชุดเจ้าสาวจากหน้ากระจกของร้านขายชุดเจ้าสาวเล็ก ๆ ใน Chihuahua เม็กซิโก นางแบบที่เหมือนมีชีวิตจริงๆนี้คือหุ่นโชว์ที่ La Popular ร้านขายชุดเจ้าสาวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วอเมริกาและยุโรปเพื่อมาพิสูจน์ความจริง
ตัวหุ่นถูกออกแบบให้มีความใกล้เคียงกับมนุษย์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวขาวซีด, เส้นเลือดและริ้วรอยที่บริเวณฝ่ามือ, เล็บที่ผุกร่อนและลายนิ้วมือ หลายคนเชื่อว่า หุ่นตัวนี้อาจอาจเป็นร่างของลูกสาวเจ้าของร้านที่ถูกดองรักษาสภาพศพเอาไว้ ก่อนจะใช้เป็นหุ่นโชว์ชุดเจ้าสาวในเวลาต่อมา
La Pascualita หรือ "Little Pascuala" ปรากฏตัวครั้งแรกบนหน้าต่างโชว์ของร้านขายชุดเจ้าสาวที่มีชื่อเสียงแห่งนี้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1930
ใบหน้าที่มีเลือดฝาดและดวงตากลมโตของนางแบบพร้อมผมจริง ลักษณะเหล่านี้ดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมารวมทั้งพนักงานในร้าน ก่อนที่จะมีคนสังเกตเห็นความคล้ายคลึงอย่างโดดเด่นระหว่างหุ่นโชว์กับลูกสาวเจ้าของร้านที่เพิ่งเสียชีวิตไป ข่าวลือจึงแพร่หลายออกไป
ตามคำบอกเล่า Pascuala Esparza เจ้าของร้านมีลูกสาวที่งดงาม (ชื่อของเธอสูญหายไปในประวัติศาสตร์) ซึ่งถูกกำหนดให้แต่งงานกับคนรักของเธอ
แต่ในวันแต่งงานของเธอ เธอถูกแมงมุมแม่ม่ายดำกัดและเสียชีวิต Esparza รู้สึกสะเทือนใจที่สูญเสียลูกสาวไป เธอจึงเก็บศพไว้และเก็บรักษาศพไว้ไม่ให้เน่าด้วยยา และนำมาวางโชว์ไว้ที่หน้าร้านเพื่อที่เธอจะได้เป็นเจ้าสาวในความตายที่ตอนมีชีวิตไม่อาจเป็นได้
เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดทำให้ชาวบ้านเริ่มไม่พอใจ มีโทรศัพท์เข้ามาต่อว่าEsparza แต่เธอปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหลายและบอกว่า La Pascualita เป็นหุ่นนางแบบที่ถูกทำมาอย่างประณีต แต่มันก็สายเกินไปไม่มีใครเชื่อเธอ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเพ้อฝันมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นการมาเยี่ยมยามค่ำคืนของนักมายากลชาวฝรั่งเศสที่รักเธอซึ่งทำให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง จากนั้นทั้งสองก็เต้นรำตลอดทั้งคืนดื่มและเฉลิมฉลองช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยกัน ยังมีเรื่องราวที่น่ากลัวอีกมากมายเช่น เธอจ้องมองตามลูกค้าไปรอบ ๆ ร้าน หรือเธอเปลี่ยนตำแหน่งเมื่อไม่มีใครสนใจก็มีอยู่มากมาย
"ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปใกล้ Pascualita มือของฉันจะเหงื่อแตก" คนงานในร้านคนหนึ่งกล่าว "มือของเธอเหมือนจริงมากและเธอยังมีเส้นเลือดที่ขาด้วย
ฉันเชื่อว่าเธอเป็นคนจริงๆ"
Mario Gonzalez เจ้าของร้านคนปัจจุบันอยากรักษาตำนานให้คงอยู่ จึงเปลี่ยนชุดของเธอสองครั้งต่อสัปดาห์หลังม่านที่กั้นไว้และบอกว่าเพื่อความสุภาพเรียบร้อยของหุ่น ว่ากันว่ามีพนักงานที่ใกล้ชิดและไว้ใจได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้แต่งกายและถอดเสื้อผ้าของเธอ หนึ่งในนั้นเคยเห็นเธอตอนไม่ได้แต่งตัวเชื่อว่า“ ไม่ใช่ร่างกายหุ่น” ส่วนผู้คนที่มีความเชื่อว่าจริงได้นำดอกไม้,เทียน และเครื่องบรรณาการอื่น ๆมาวางไว้หน้าร้าน
Mario Gonzalez สนุกกับการมีชื่อเสียงจากเรื่องราวนี้เพราะ La Pascualita ได้นำผู้คนมากมายมาสู่ร้านซึ่งเขาตั้งใจที่จะรักษามันไว้อย่างนั้น บนหน้าตู้โชว์มีป้ายแสดงคำว่า "La Casa De Pascualita" หรือ "The Home of La Pascualita" อย่างภาคภูมิใจ เมื่อมีคนถามว่าหุ่นเป็นมัมมี่จริงๆหรือไม่ เขาก็ยิ้มและส่ายหัว "เป็นเรื่องจริงหรือไม่แต่หลายคนก็เชื่อ ฉันไม่สามารถพูดได้จริงๆ"
ที่มา Road Trippers / บิดเบี้ยวเล็กน้อย / Banderas News / ภาพร่างในอดีต
A Pair Of Shoes
George Parrott หรือ Big Nose George เป็นคนเลี้ยงวัวใน American Wild West ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เขามีจมูกที่ใหญ่จึงได้รับฉายาว่า
Big Nose แก๊งของเขาประสบความสำเร็จในอาชีพการปล้นเกวียนบรรทุกสินค้า ในสมัยนั้นการทำธุรกรรมทางธุรกิจทั้งหมดทำด้วยเงินสดและรถโดยสารมักจะพกเงินพันธบัตรจำนวนมากโดยเฉพาะในช่วงวันจ่ายเงินเดือน
ย้อนกลับไปในปี1878 แก๊งของ Georgeตัดสินใจปล้นรถไฟ Union Pacific ที่จะนำเงินเดือนไปให้กับพนักงาน พวกเขาพบรางรถไฟที่เงียบสงบใกล้กับ Medicine Bow River ในไวโอมิง เขาคลายเหล็กในรางและรอให้รถไฟมาถึง แต่พนักงานรถไฟตาไวและเห็นรางที่ถูกงัดแงะจึงทำการซ่อมแซมและแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนที่รถไฟจะมาถึง
George และแก๊งหนีไปที่ Rattlesnake Canyon ที่ฐานของ Elk Mountain โดยมีเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายสองคนไล่ตามไปติดๆคือ Robert Widdowfield รองนายอำเภอไวโอมิงและ Tip Vincent นักสืบแห่งยูเนี่ยนแปซิฟิก เมื่อทั้งสองคนมาถึง Rattlesnake Canyon พวกเขาก็เห็นเถ้าถ่านของกองไฟที่ถูกดับอย่างเร่งรีบ ขณะที่ Widdowfield ก้มลงเพื่อสังเกตุไฟก็ถูกยิงเข้าที่หน้าทำให้เขาตายในทันที ส่วน Vincent วิ่งหนีแต่ก็ไม่รอดโดยปืนถูกยิงออกมาจากพุ่มไม้
Union Pacific Railroad เพิ่มค่าหัวสำหรับ Georgeเป็น 10,000 ดอลลาร์ในทันที ต่อมาเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าเป็น 20,000 ดอลลาร์
สองปีต่อมา George และแก๊งยังคงใหญ่ขึ้น จนกระทั่งเขาเมาในบาร์แห่งหนึ่งในเมือง Miles City, Montana และโอ้อวดถึงเรื่องที่ Elk Mountain
เขาจึงถูกจับและถูกส่งตัวขึ้นศาล ซึ่งศาลพิจารณาคดีตัดสินว่าเขามีความผิดและถูกตัดสินให้แขวนคอ
22 มีนาคม 1881สิบวันก่อนกำหนดประหาร George พยายามหลบหนี เขาใช้มีดพกเลื่อยห่วงขาที่มัดไว้และฟาดหัวผู้คุม Robert Rankin จนกะโหลกแตก แม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ Rankin ได้โทรหา Rosa ภรรยาของเขาให้ใช้ปืนจี้ George กลับไปที่ห้องขังได้
เมื่อข่าวการพยายามหลบหนีแพร่กระจายไปทั่วเมืองกลุ่มคนที่โกรธแค้นบุกเข้าไปในคุกลาก George ออกมาทำร้ายและมัดเขาไว้กับเสาโทรเลข
ไม่มีใครมารับศพ หมอThomas Maghee และ John Eugene Osborne จึงเอาร่างของ George ไปผ่าศึกษาสมองเพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับอาชญากรรม
ของเขา โดยผ่าส่วนบนของกะโหลกศีรษะเพื่อตรวจดูสมอง แต่ไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสมองของอาชญากรกับสมองที่ "ปกติ"
การศึกษาของ Osborne เริ่มกลายเป็นเรื่องประหลาดมากขึ้น ครั้งแรกเขาทำหน้ากากใบหน้าของ George โดยใช้ปูนปลาสเตอร์ จากนั้นก็เอาผิวหนังต้นขาและหน้าอกส่งไปที่โรงฟอกหนังใน Denver พร้อมคำสั่งลับเฉพาะให้ทำรองเท้าและถุงยา ส่วนที่เหลือของร่างถูกแยกชิ้นส่วนไปเก็บไว้ในถังวิสกี้ที่เต็มไปด้วยสารละลายเกลือ
ในปี1893 Osborne เข้าสู่การเมืองและกลายเป็นผู้ว่าการรัฐไวโอมิงคนแรก ต่อมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศภายใต้ประธานาธิบดี Wilson กล่าวกันว่าเขาสวมรองเท้าจากผิวหนังของ George ออกงานแรกในฐานะผู้ว่าการ
ฝากะโหลกศีรษะที่ถูกเลื่อยออกได้ถูกยกให้กับ Lillian Heath ผู้ช่วยวัย 15 ปีของเขา ซึ่งต่อมากลายเป็นแพทย์หญิงคนแรกในไวโอมิง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเธอใช้ฝากระโหลกเป็นที่เขี่ยบุหรี่และเป็นdoorstop ในสำนักงานของเธอ
Big Nose George เกือบจะถูกลืมไปแล้วจนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคมในปี 1950 เมื่อคนงานก่อสร้างขุดพบถังวิสกี้ที่เต็มไปด้วยกระดูกในการสร้างอาคารใหม่ ภายในถังมีกระโหลกด้านบนที่ถูกเลื่อยออก, ส่วนผสมของผัก 1 ขวด และรองเท้าหนึ่งคู่
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรู้ว่าซากศพนี้เป็นของใครแต่ขอตรวจสอบก่อน จากนั้นก็มีคนจำหัวกะโหลกที่ Heath เก็บไว้ได้โดยเธออายุแปดสิบกว่าและยังมีชีวิตอยู่ จึงนำฝากระโหลกมาครอบกันซึ่งพอดีกับกะโหลกที่พบในถัง หลายทศวรรษต่อมาจึงมีการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ผล
ปัจจุบันรองเท้าที่ทำจากหนังของ Big Nose George พร้อมกับส่วนล่างของกะโหลกศีรษะและหน้ากากแห่งความตายของเขาถูกจัดแสดงอย่างถาวรที่พิพิธภัณฑ์ Carbon County ในรอว์ลินส์รัฐไวโอมิง ส่วนฝากระโหลกอยู่ที่ Union Pacific Museum ใน Omaha, Nebraska แต่ไม่พบถุงยาที่ทำจากผิวหนังของเขา
ที่มา Wikipedia / Legends of America / WyoHistory.org
Cr.
https://www.amusingplanet.com/2017/05/george-parrot-man-who-became-pair-of.html / KAUSHIK PATOWARY
Negro of Banyoles
ในปี คศ.1830 Jules Verreaux พ่อค้าชาวฝรั่งเศสที่ชอบสะสมตัวอย่างของสัตว์แปลกๆ จากดินแดนโพ้นทะเลมาขายให้พิพิธภัณฑ์ในยุโรป เขามีความคิดจะขายศพของชนพื้นเมืองจากแอฟริกาซึ่งคาดว่าจะทำกำไรได้ดีกว่าซากสัตว์ต่างๆ ความคิดนี้เกิดขึ้นหลังจากบังเอิญได้เข้าร่วมในพิธีฝังศพของนักรบจากเผ่า San หรือชาว Bushman ในพื้นที่ Botswana ในปัจจุบัน หลังจากพิธีเสร็จสิ้นแล้ว คืนนั้นเขาย้อนกลับไปขุดเอาศพชายผู้เสียชีวิตนั้นขึ้นมาจากหลุม โดยตัดศรีษะและถลกหนังร่างกายบางส่วนพร้อมทั้งเลาะเอากระดูกชิ้นใหญ่เช่นแขนขาเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้าย
Verreaux ใช้ไม้อัดตัดเป็นทรงไว้ดามแทนกระดูกบางชิ้น ใส่เหล็กลวดดัดดามเป็นกระดูกสันหลังและทำการรักษาผิวหนังไม่ให้เน่า ยัดไส้ในด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หลังจากประกอบเป็นรูปทรงได้แล้วเขาก็บรรจุใส่ลังไม้ขนขึ้นเรือไปพร้อมกับซากสัตว์ต่างๆส่งไปฝรั่งเศส
ซากนักรบจากแอฟริกาโชว์อยู่ในร้าน Taxidermy บนถนน St. Fiacre ในปารีส เป็นที่สะดุดตาของผู้คน จนหนังสือพิมพ์St. Fiacre ต้องมาสัมภาษณ์ โดย Verreaux เล่าให้ฟังอย่างละเอียดทั้งหมด ต่อมาร่างของนักรบ Bushman ได้หายไปไม่มีใครพบเห็นนานกว่า 50กว่าปี
และในงาน World Expo 1888 ซึ่งจัดขึ้นที่ Barcelona มีการแจกใบปลิวโฆษณาในงานมีข้อความเชิญไปชมร่างของนักรบแอฟริกันของจริงที่พิพิธภัณฑ์แห่ง Barcelona ที่ใหม่ของร่างชายจากแดนไกล ไม่มีใครรู้ประวัติหรือแม้แต่ชื่อจริงของเขา ในปี 1916 Francisco Darder ผู้ก่อตั้ง Darder Museum ในเมือง Banyoles ได้รับร่างมาจัดแสดงต่อ สุดท้ายเขาได้ชื่อเรียกตามสถานที่ๆเขาได้อยู่ยาวนานที่สุดคือ Negro of Banyoles
Negro of Banyoles เคยถุกคาดคะเนอายุจากสภาพฟันว่าตายเมื่ออายุ 27ปี มีความสูงราวๆ 135 ซม. จัดเครื่องแต่งกายใหม่พร้อมหอกและเครื่องประดับ ดวงตาทำด้วยลูกแก้ว ผิวหนังถูกลงเคลือบด้วยยาขัดรองเท้า เพื่อปกปิดความเสื่อมของซากหนังมนุษย์และให้คงสีดำเหมือนสีผิวตามชาติพันธ์เดิม และถูกจัดแสดงในตู้กระจกกลาง Darder Museum นับแต่นั้นมา
จนกระทั่งต้นปี 1990 เมื่อ Alphonse Arcelin แพทย์ชาวเฮติได้เขียนจดหมายประท้วงถึงนายกเทศมนตรีของ Banyoles ขอให้เขานำซากศพของชายชาวแอฟริกันออกจากการจัดแสดงซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในวงสื่อ ในที่สุดก็จะส่งผลให้ Negro of Banyolesกลับคืนสู่บอตสวานา และได้รับการฝังศพแบบคริสเตียนที่สวนสาธารณะในเมือง Gaborone
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ร่างใหม่แต่ไร้ชีวิต
ตัวหุ่นถูกออกแบบให้มีความใกล้เคียงกับมนุษย์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวขาวซีด, เส้นเลือดและริ้วรอยที่บริเวณฝ่ามือ, เล็บที่ผุกร่อนและลายนิ้วมือ หลายคนเชื่อว่า หุ่นตัวนี้อาจอาจเป็นร่างของลูกสาวเจ้าของร้านที่ถูกดองรักษาสภาพศพเอาไว้ ก่อนจะใช้เป็นหุ่นโชว์ชุดเจ้าสาวในเวลาต่อมา
La Pascualita หรือ "Little Pascuala" ปรากฏตัวครั้งแรกบนหน้าต่างโชว์ของร้านขายชุดเจ้าสาวที่มีชื่อเสียงแห่งนี้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1930
ใบหน้าที่มีเลือดฝาดและดวงตากลมโตของนางแบบพร้อมผมจริง ลักษณะเหล่านี้ดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมารวมทั้งพนักงานในร้าน ก่อนที่จะมีคนสังเกตเห็นความคล้ายคลึงอย่างโดดเด่นระหว่างหุ่นโชว์กับลูกสาวเจ้าของร้านที่เพิ่งเสียชีวิตไป ข่าวลือจึงแพร่หลายออกไป
ตามคำบอกเล่า Pascuala Esparza เจ้าของร้านมีลูกสาวที่งดงาม (ชื่อของเธอสูญหายไปในประวัติศาสตร์) ซึ่งถูกกำหนดให้แต่งงานกับคนรักของเธอ
แต่ในวันแต่งงานของเธอ เธอถูกแมงมุมแม่ม่ายดำกัดและเสียชีวิต Esparza รู้สึกสะเทือนใจที่สูญเสียลูกสาวไป เธอจึงเก็บศพไว้และเก็บรักษาศพไว้ไม่ให้เน่าด้วยยา และนำมาวางโชว์ไว้ที่หน้าร้านเพื่อที่เธอจะได้เป็นเจ้าสาวในความตายที่ตอนมีชีวิตไม่อาจเป็นได้
เมื่อข่าวลือแพร่สะพัดทำให้ชาวบ้านเริ่มไม่พอใจ มีโทรศัพท์เข้ามาต่อว่าEsparza แต่เธอปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหลายและบอกว่า La Pascualita เป็นหุ่นนางแบบที่ถูกทำมาอย่างประณีต แต่มันก็สายเกินไปไม่มีใครเชื่อเธอ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเพ้อฝันมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นการมาเยี่ยมยามค่ำคืนของนักมายากลชาวฝรั่งเศสที่รักเธอซึ่งทำให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง จากนั้นทั้งสองก็เต้นรำตลอดทั้งคืนดื่มและเฉลิมฉลองช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยกัน ยังมีเรื่องราวที่น่ากลัวอีกมากมายเช่น เธอจ้องมองตามลูกค้าไปรอบ ๆ ร้าน หรือเธอเปลี่ยนตำแหน่งเมื่อไม่มีใครสนใจก็มีอยู่มากมาย
"ทุกครั้งที่ฉันเข้าไปใกล้ Pascualita มือของฉันจะเหงื่อแตก" คนงานในร้านคนหนึ่งกล่าว "มือของเธอเหมือนจริงมากและเธอยังมีเส้นเลือดที่ขาด้วย
ฉันเชื่อว่าเธอเป็นคนจริงๆ"
Mario Gonzalez เจ้าของร้านคนปัจจุบันอยากรักษาตำนานให้คงอยู่ จึงเปลี่ยนชุดของเธอสองครั้งต่อสัปดาห์หลังม่านที่กั้นไว้และบอกว่าเพื่อความสุภาพเรียบร้อยของหุ่น ว่ากันว่ามีพนักงานที่ใกล้ชิดและไว้ใจได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้แต่งกายและถอดเสื้อผ้าของเธอ หนึ่งในนั้นเคยเห็นเธอตอนไม่ได้แต่งตัวเชื่อว่า“ ไม่ใช่ร่างกายหุ่น” ส่วนผู้คนที่มีความเชื่อว่าจริงได้นำดอกไม้,เทียน และเครื่องบรรณาการอื่น ๆมาวางไว้หน้าร้าน
Mario Gonzalez สนุกกับการมีชื่อเสียงจากเรื่องราวนี้เพราะ La Pascualita ได้นำผู้คนมากมายมาสู่ร้านซึ่งเขาตั้งใจที่จะรักษามันไว้อย่างนั้น บนหน้าตู้โชว์มีป้ายแสดงคำว่า "La Casa De Pascualita" หรือ "The Home of La Pascualita" อย่างภาคภูมิใจ เมื่อมีคนถามว่าหุ่นเป็นมัมมี่จริงๆหรือไม่ เขาก็ยิ้มและส่ายหัว "เป็นเรื่องจริงหรือไม่แต่หลายคนก็เชื่อ ฉันไม่สามารถพูดได้จริงๆ"
Big Nose แก๊งของเขาประสบความสำเร็จในอาชีพการปล้นเกวียนบรรทุกสินค้า ในสมัยนั้นการทำธุรกรรมทางธุรกิจทั้งหมดทำด้วยเงินสดและรถโดยสารมักจะพกเงินพันธบัตรจำนวนมากโดยเฉพาะในช่วงวันจ่ายเงินเดือน
ย้อนกลับไปในปี1878 แก๊งของ Georgeตัดสินใจปล้นรถไฟ Union Pacific ที่จะนำเงินเดือนไปให้กับพนักงาน พวกเขาพบรางรถไฟที่เงียบสงบใกล้กับ Medicine Bow River ในไวโอมิง เขาคลายเหล็กในรางและรอให้รถไฟมาถึง แต่พนักงานรถไฟตาไวและเห็นรางที่ถูกงัดแงะจึงทำการซ่อมแซมและแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนที่รถไฟจะมาถึง
George และแก๊งหนีไปที่ Rattlesnake Canyon ที่ฐานของ Elk Mountain โดยมีเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายสองคนไล่ตามไปติดๆคือ Robert Widdowfield รองนายอำเภอไวโอมิงและ Tip Vincent นักสืบแห่งยูเนี่ยนแปซิฟิก เมื่อทั้งสองคนมาถึง Rattlesnake Canyon พวกเขาก็เห็นเถ้าถ่านของกองไฟที่ถูกดับอย่างเร่งรีบ ขณะที่ Widdowfield ก้มลงเพื่อสังเกตุไฟก็ถูกยิงเข้าที่หน้าทำให้เขาตายในทันที ส่วน Vincent วิ่งหนีแต่ก็ไม่รอดโดยปืนถูกยิงออกมาจากพุ่มไม้
Union Pacific Railroad เพิ่มค่าหัวสำหรับ Georgeเป็น 10,000 ดอลลาร์ในทันที ต่อมาเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าเป็น 20,000 ดอลลาร์
สองปีต่อมา George และแก๊งยังคงใหญ่ขึ้น จนกระทั่งเขาเมาในบาร์แห่งหนึ่งในเมือง Miles City, Montana และโอ้อวดถึงเรื่องที่ Elk Mountain
เขาจึงถูกจับและถูกส่งตัวขึ้นศาล ซึ่งศาลพิจารณาคดีตัดสินว่าเขามีความผิดและถูกตัดสินให้แขวนคอ
22 มีนาคม 1881สิบวันก่อนกำหนดประหาร George พยายามหลบหนี เขาใช้มีดพกเลื่อยห่วงขาที่มัดไว้และฟาดหัวผู้คุม Robert Rankin จนกะโหลกแตก แม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ Rankin ได้โทรหา Rosa ภรรยาของเขาให้ใช้ปืนจี้ George กลับไปที่ห้องขังได้
เมื่อข่าวการพยายามหลบหนีแพร่กระจายไปทั่วเมืองกลุ่มคนที่โกรธแค้นบุกเข้าไปในคุกลาก George ออกมาทำร้ายและมัดเขาไว้กับเสาโทรเลข
ไม่มีใครมารับศพ หมอThomas Maghee และ John Eugene Osborne จึงเอาร่างของ George ไปผ่าศึกษาสมองเพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับอาชญากรรม
ของเขา โดยผ่าส่วนบนของกะโหลกศีรษะเพื่อตรวจดูสมอง แต่ไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสมองของอาชญากรกับสมองที่ "ปกติ"
การศึกษาของ Osborne เริ่มกลายเป็นเรื่องประหลาดมากขึ้น ครั้งแรกเขาทำหน้ากากใบหน้าของ George โดยใช้ปูนปลาสเตอร์ จากนั้นก็เอาผิวหนังต้นขาและหน้าอกส่งไปที่โรงฟอกหนังใน Denver พร้อมคำสั่งลับเฉพาะให้ทำรองเท้าและถุงยา ส่วนที่เหลือของร่างถูกแยกชิ้นส่วนไปเก็บไว้ในถังวิสกี้ที่เต็มไปด้วยสารละลายเกลือ
ในปี1893 Osborne เข้าสู่การเมืองและกลายเป็นผู้ว่าการรัฐไวโอมิงคนแรก ต่อมาเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศภายใต้ประธานาธิบดี Wilson กล่าวกันว่าเขาสวมรองเท้าจากผิวหนังของ George ออกงานแรกในฐานะผู้ว่าการ
ฝากะโหลกศีรษะที่ถูกเลื่อยออกได้ถูกยกให้กับ Lillian Heath ผู้ช่วยวัย 15 ปีของเขา ซึ่งต่อมากลายเป็นแพทย์หญิงคนแรกในไวโอมิง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเธอใช้ฝากระโหลกเป็นที่เขี่ยบุหรี่และเป็นdoorstop ในสำนักงานของเธอ
Big Nose George เกือบจะถูกลืมไปแล้วจนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งของเดือนพฤษภาคมในปี 1950 เมื่อคนงานก่อสร้างขุดพบถังวิสกี้ที่เต็มไปด้วยกระดูกในการสร้างอาคารใหม่ ภายในถังมีกระโหลกด้านบนที่ถูกเลื่อยออก, ส่วนผสมของผัก 1 ขวด และรองเท้าหนึ่งคู่
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรู้ว่าซากศพนี้เป็นของใครแต่ขอตรวจสอบก่อน จากนั้นก็มีคนจำหัวกะโหลกที่ Heath เก็บไว้ได้โดยเธออายุแปดสิบกว่าและยังมีชีวิตอยู่ จึงนำฝากระโหลกมาครอบกันซึ่งพอดีกับกะโหลกที่พบในถัง หลายทศวรรษต่อมาจึงมีการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ผล
ปัจจุบันรองเท้าที่ทำจากหนังของ Big Nose George พร้อมกับส่วนล่างของกะโหลกศีรษะและหน้ากากแห่งความตายของเขาถูกจัดแสดงอย่างถาวรที่พิพิธภัณฑ์ Carbon County ในรอว์ลินส์รัฐไวโอมิง ส่วนฝากระโหลกอยู่ที่ Union Pacific Museum ใน Omaha, Nebraska แต่ไม่พบถุงยาที่ทำจากผิวหนังของเขา
ที่มา Wikipedia / Legends of America / WyoHistory.org
Cr.https://www.amusingplanet.com/2017/05/george-parrot-man-who-became-pair-of.html / KAUSHIK PATOWARY
Verreaux ใช้ไม้อัดตัดเป็นทรงไว้ดามแทนกระดูกบางชิ้น ใส่เหล็กลวดดัดดามเป็นกระดูกสันหลังและทำการรักษาผิวหนังไม่ให้เน่า ยัดไส้ในด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หลังจากประกอบเป็นรูปทรงได้แล้วเขาก็บรรจุใส่ลังไม้ขนขึ้นเรือไปพร้อมกับซากสัตว์ต่างๆส่งไปฝรั่งเศส
ซากนักรบจากแอฟริกาโชว์อยู่ในร้าน Taxidermy บนถนน St. Fiacre ในปารีส เป็นที่สะดุดตาของผู้คน จนหนังสือพิมพ์St. Fiacre ต้องมาสัมภาษณ์ โดย Verreaux เล่าให้ฟังอย่างละเอียดทั้งหมด ต่อมาร่างของนักรบ Bushman ได้หายไปไม่มีใครพบเห็นนานกว่า 50กว่าปี
และในงาน World Expo 1888 ซึ่งจัดขึ้นที่ Barcelona มีการแจกใบปลิวโฆษณาในงานมีข้อความเชิญไปชมร่างของนักรบแอฟริกันของจริงที่พิพิธภัณฑ์แห่ง Barcelona ที่ใหม่ของร่างชายจากแดนไกล ไม่มีใครรู้ประวัติหรือแม้แต่ชื่อจริงของเขา ในปี 1916 Francisco Darder ผู้ก่อตั้ง Darder Museum ในเมือง Banyoles ได้รับร่างมาจัดแสดงต่อ สุดท้ายเขาได้ชื่อเรียกตามสถานที่ๆเขาได้อยู่ยาวนานที่สุดคือ Negro of Banyoles
Negro of Banyoles เคยถุกคาดคะเนอายุจากสภาพฟันว่าตายเมื่ออายุ 27ปี มีความสูงราวๆ 135 ซม. จัดเครื่องแต่งกายใหม่พร้อมหอกและเครื่องประดับ ดวงตาทำด้วยลูกแก้ว ผิวหนังถูกลงเคลือบด้วยยาขัดรองเท้า เพื่อปกปิดความเสื่อมของซากหนังมนุษย์และให้คงสีดำเหมือนสีผิวตามชาติพันธ์เดิม และถูกจัดแสดงในตู้กระจกกลาง Darder Museum นับแต่นั้นมา
จนกระทั่งต้นปี 1990 เมื่อ Alphonse Arcelin แพทย์ชาวเฮติได้เขียนจดหมายประท้วงถึงนายกเทศมนตรีของ Banyoles ขอให้เขานำซากศพของชายชาวแอฟริกันออกจากการจัดแสดงซึ่งทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในวงสื่อ ในที่สุดก็จะส่งผลให้ Negro of Banyolesกลับคืนสู่บอตสวานา และได้รับการฝังศพแบบคริสเตียนที่สวนสาธารณะในเมือง Gaborone