สวัสดีครับ เพื่อนๆ ชาวพันทิป ช่วงโควิดที่ผ่านมานี้ ได้ไปไหนและทำอะไรกันมาบ้าง??
ไม่รู้ว่าปกติ เคยทำ Bucket list ที่อยากทำในชีวิต (Bucket list before you die) ไหม
ของผมเคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อนนะ จะเปิดดูเป็นครั้งคราว ตอนที่เบื่อๆ ไม่มีไอเดียหรือหมดไฟ
ถ้าได้เคยทำเหมือนกัน วันนี้ผมเล่าประสบการณ์ที่เพิ่งทำไปไม่นานนี้ เป็น Bucket list ที่เคยจดเอาไว้ ที่จะทำสักวันหนึ่ง โดยครั้งนี้ผมเลือกเอาข้อนึงที่เป็นจุดอ่อนของตัวเอง ด้วยการมาโดด Sky Diving เพื่อเอาชนะความกลัวความสูงของตัวเองครับ
ลองจินตนาการถึง
เสียงใบพัดของเครื่องบินขนาดเล็กจิ๋ว บรรทุกคน 11 คน ที่กำลังไต่ระดับความสูง
สูงขึ้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านหมู่เมฆ และเมื่อมองผ่านหน้าต่างจะเห็นว่าวิวด้านล่างดูกว้างขึ้นเรื่อยๆ
เสียงโลหะกระทบกันของขอบประตูบานเลื่อนสำหรับขึ้นลงของเครื่องบินลำเล็ก ที่ห่างจากเท้าเราแค่ประมาณไม้บรรทัดเดียว ดังตลอดเวลาที่ไต่ระดับ
ช่วงเวลาเหล่านี้ เกิดขึ้นนานหลายนาที
ก่อนที่ครูฝึก (Instructor) จะดึงตัวเรามาล็อคสายรัดกับตัวครูฝึก
เปิดกล้องที่ข้อมือ
เปิดประตูบานเลื่อนที่ดังตลอดทางนั้น และ…….ฟิ้ววววววววววว!!!
ณ ความสูงประมาณ 13,000 ฟุต
(ราวๆ 4,000 เมตร)
สติเราเหมือนดับวูบแบบไฟตัดไปชั่วขณะ…….
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ย้อนกลับไป 26 วันก่อนหน้า ที่หน้าจอเฟสบุ้ค บังเอิญเห็นผู้หญิงคนนึงเป็นบล็อคเกอร์ที่ตามในเฟส เพิ่งพาเพื่อนไปโดด Sky diving มา เธอเล่าว่าเพื่อนเธอเป็นคนกลัวความสูงมาก แต่ก็เพิ่งผ่านมันมาได้พร้อมตามไปอ่านที่เพื่อนเธอบรรยายความรู้สึกต่างๆ ออกมา
พอได้อ่านเรื่องของเธอแล้วก็เกิดคำถามในใจตอนที่กำลังวางแผนทริปว่า
“ เราก็กลัวความสูงมากเหมือนกันนี่นา? ”
แล้วกลับไปเปิดสมุดเล่มบางๆ เล่มนึงที่เคยจด Bucket list สิ่งที่อยากทำตอนยังมีชีวิตอยู่ หนึ่งในนั้นข้อนึงเขียนว่ากระโดด Sky Diving
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจครั้งนี้
จำได้ว่าตอนที่เริ่มเขียนครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เพิ่งจะเริ่มทำ Bucket list ข้อแรกคือ เดินทางไปต่างประเทศคนเดียวนานๆ ตอนนั้นมันดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก กะว่าจะทำอย่างท้ายๆ เลยเพราะรู้ว่าตัวเองกลัวความสูงมาก
ขนาดรถไฟตีลังกาในสวนสนุกยังไม่กล้าเล่นเลย ดีหน่อยที่ตอนที่เดินทางคนเดียวได้สัก 2 ปี เคยตกกระไดพลอยโจนไปเล่นพาราไกดิ้งกับเพื่อนในทริปครั้งนึงที่ตุรกีแบบงงๆ นอกจากนั้นประสบการณ์เกี่ยวกับความสูงแทบไม่มี
จากวันนั้นผ่านมาแล้ว 3 ปี ถึงตอนนี้จะเริ่มรู้สึกมีความกล้ามากขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนั้นในหัว แค่คิดจะเริ่มวางแผน ตัวก็เริ่มสั่นละ ผลคือ คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับ55
สุดท้าย ตัดสินใจได้ว่าถ้ามีคนไปโดดด้วยก็จะลองดู เลยพยายามถามคนรู้จักที่อาจจะไป ผลคือมีแต่คนปฏิเสธ55 ทุกคนบอกว่าน่ากลัวหมดเลย จนแล้วจนรอดเกือบจะไม่ได้ไปละ แต่ท้ายที่สุดก็มีคนนึงตกลงไปด้วย เลยตัดสินใจไปแบบงงๆ ตัวเองเหมือนกัน
หลังจากนั้นก็เหมือนมีชะงักติดหลังตลอดเวลา พอคิดทีไรก็กังวลและเริ่มสั่นทุกที ถามตัวเองเรื่อยๆ ว่า ทำไมเราต้องเลือกไปทำอะไรแบบนี้ด้วย กิจกรรมอื่นๆในชีวิต ก็มีตั้งเยอะ เรายังมีทางเลือกอื่นอยู่นะ
แต่พอมาคิดอีกที รู้สึกว่าใจลึกๆ แล้วบอกว่า ถ้ามีโอกาสละไม่ทำครั้งนี้ คงจะเสียใจทีหลัง เลยพยายามผลักดันตัวเอง จองตั๋ว ล็อกวันเวลาให้เสร็จ จะได้ไม่กลับมาคิดอีก และพยายามสอบถามข้อมูลจากคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ที่ให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง จนมั่นใจว่าปลอดภัยแน่ๆ (ถึงจะไม่ 100% เต็มก็เหอะ)
เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับอีโก้หรือความเท่อะไรเลย สำหรับเรามันยากมาก ยิ่งตอนนี้พอมาทำธุรกิจส่วนตัวและได้อยู่ใกล้ครอบครัวด้วยแล้ว มันเหมือนเรามีคนข้างหลังและภาระรออยู่ ถึงมันจะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุณ์หรือเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อยมากกกกกกก ก็เหอะ แต่คิดต่อว่า ถ้าอีกหน่อยมีครอบครัวของตัวเอง เราอาจจะยิ่งไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงๆ มากขึ้นไปอีก ช่วงนี้ยังอยู่ในจังหวะที่เราจะลองใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่อยากจะทำได้บ้าง เลยคิดว่าอย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือแล้วเสียดายทีหลังดีกว่า
ผมเชื่อว่าทุกคน คงมีช่วงเวลาการตัดสินใจครั้งสำคัญ สำหรับผม ถ้าพยายามคิดแล้ว ตัดสินใจยากจริงๆ วิธีสุดท้ายที่จะทำ คือ ‘ถามหัวใจตัวเอง’
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ตัดภาพมาถึงคืนก่อนโดด คืนนั้นนอนหลับประมาณ 3-4 ช.ม เช้ามานั่งรถไปสถานที่โดดพร้อมกับมองท้องฟ้าครึ้มๆ
หลังจากฝนเพิ่งหยุดตกไม่นาน (ยังไม่โดด ตื่นเห็นท้องฟ้ากับฝนปรอยๆ ก็เริ่มกังวลละ55)
สักพักถึงที่หมาย ทางเจ้าหน้าที่เช็คอากาศ และให้รอสภาพอากาศดีกว่านี้ แต่ยืนยันว่าได้โดดวันนี้แน่นอน
(ไม่รู้ควรจะดีใจไหม55)
ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะลงคิวโดดให้ โดยใครมาก่อนได้คิวก่อน และต้องชั่งน้ำหนัก เซ็นเอกสารที่สรุปๆ ว่าถ้าเป็นอะไรไป บริษัทไม่รับผิดชอบนะ อันนี้ต้องได้เซ็นทุกคน55 แต่บริษัทก็ยืนยันว่า ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงหรือเสียชีวิตมาก่อน
ระหว่างรอคิวขึ้นเครื่องก็พยายามปลุกใจตัวเองเรื่อยๆ
“เราทำได้ๆ”
บางทีสติเริ่มเตลิด ก็สลับมาสวดมนต์ในใจบ้าง55
จนถึงเวลาเรียกคิวขึ้นเครื่อง ในลำเดียวกันมีคนโดด 3 คน ไม่รวมเจ้าหน้าที่
[บนเครื่องมีทั้งหมด 11 คน ได้แก่ นักบิน/ผู้ช่วยนักบิน/ คนที่จะโดดรวมเรา=3คน/ ครูฝึก (Instructor) =3คน ประกบคนที่จะโดดหนึ่งต่อหนึ่ง/ ช่างกล้อง=3คน (1ต่อ1 กับคนที่จะโดด) ]
เราได้คิวโดดคนแรกได้นั่งติดประตูทางเข้าออกของเครื่องบินเลย
ตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องจนอยู่บนเครื่อง ครูฝึกที่ประกบเราพยายามให้กำลังใจ บอกให้หายใจลึกๆ ทำใจสบายๆ เพราะรู้ว่าเรากลัวมาก
ระหว่างเครื่องบินไต่ระดับ บางครั้ง ช่างกล้องที่นั่งติดประตูเหมือนกับเรา ก็เปิดประตูแง้มๆ เหมือนส่องอะไรสักอย่างเป็นระยะๆ ยิ่งทำให้ใจเสียไปอีก เลยเลือกพยายามอยู่กับตัวเองและหันไปมองวิวจากหน้าต่างแทน
ระหว่างที่เครื่องบินไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนแทบไม่ค่อยได้คุยกัน หรืออาจคุยกันแต่สติผมไม่รับข้อมูลแล้วมั้ง55
เวลาเหมือนผ่านไปช้ามาก นาฬิกาหรือที่บอกเวลาก็ไม่มี จนผ่านไปพักใหญ่ๆ จนรู้สึกสงสัยทำไมนานจัง จนต้องถามครูฝึกว่า "ยังไม่สูงพออีกเหรอ? "
เขาตอบ : “เพิ่งครึ่งทางเอง…ยิ่งสูงยิ่งปลอดภัยนะ ทำใจสบายๆ ไว้ดูวิวรอบๆสิ"
ในหัวตอนนั้นเลิกสงสัยละ แบบเอาที่พี่สบายใจเลย เรานั่งเงียบๆ ทำใจและอยู่กับตัวเองต่อไปดีกว่า
เราพยายามทบทวนอยู่หลายรอบมาก โอเคตอนจะโดดอย่าคิดอะไรเลย เงยหน้าขึ้นฟ้า อย่ามองไปข้างล่าง พยายามอย่าหลับตา และเอามือจับสายรัดไว้ก็พอ ที่เหลือครูฝึกที่มัดตัวกับเรา เขาจะจัดการเอง เราแค่เตรียมใจก็พอ55
เสียงเครื่องยนต์และใบพัดเริ่มเบาลงจนสังเกตได้ สติเราถูกดึงจากภวังค์กลับมาอีกครั้ง ช่างกล้องที่นั่งติดกันตรงประตู เช็คอุปกรณ์ตัวเองและเปิดประตูแง้มดู เป็นสัญญาณว่าใกล้เวลาจะต้องโดดแล้ว
เสียงครูฝึกที่นั่งหลังเรา เช็คอุปกรณ์ดึงเราเข้าประชิดเข้าหาตัว รัดอุปกรณ์กับตัวแน่นขึ้น พร้อมเสียงกดกล้องอัด VDO ตรงข้อมือ พร้อมส่งสัญญาณให้ช่างกล้องว่า พร้อม!!
ในใจเราคือ เหมือนนักโทษที่ถึงเวลาประหาร...T_T
สักพักช่างกล้องกระโดดหายลงไปอย่างรวดเร็ว และครูฝึกก็กระเถิบตัวพร้อมกันกับเราที่รัดแน่นติดกันตามมาที่ขอบประตูเครื่องบิน
พระเจ้าถึงไม่มองด้านล่างก็พอรู้ว่า เท้าเราอยู่ขอบประตูเครื่องบิน โดยมีมือครูฝึกจับขอบบนไว้ ก้าวลงไปก็ล่วงลงไปเลย
วินาทีนั้นสมองเบลอไปหมดละ เราได้แต่เงยหน้าขึ้น มือจับสายรัด จนแทบไม่ได้ยินเสียงครูฝึกที่รัดติดกันนับให้สัญญาณ
(ส่วนเราที่จำได้คือ จะทำไรก็ทำไป กูขอมองฟ้าของกูคนเดียว55)
Ok >> Ready >> Go (มาดู VDO ย้อนหลัง)
และ....
..
...
....
ฟิ้ววววววว ทุกอย่างผ่านไปไวมาก ไม่รู้จะอธิบายยังไง
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
พระเจ้าาาา!!
เราเพิ่งตกจากเครื่องบิน และตอนนี้อยู่กลางอากาศกำลังดิ่งลงพื้นด้วยความเร็วสูง!!!
กว่าจะรู้สึกตัวกับบรรยากาศรอบๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เวลาก็ผ่านไปหลายวินาที อารมณ์เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลย55
พร้อมกับความรู้สึกว่า
เราบินได้ (I CAN FLYYYYY!!!) …………………. เรากำลังลอยอยู่บนฟ้า ภาพทุกอย่างรอบๆ เหมือนช้าลง
สักพักครูฝึกบอกให้ยกขาขึ้นและกางแขนออกตามที่สอนก่อนขึ้นเครื่อง ทีแรกไม่อยากปล่อยมือเลย จนหันไปรอบๆ มองเห็นกล้องจากตากล้อง ที่โดดมาก่อนหน้าเราแปปนึง ลอยห่างจากเราไม่ไกล ตอนนั้นรู้สึกเริ่มชินกับสภาพแวดล้อมละ เลยเริ่มปล่อยมือ55
ระหว่างนั้น ก็หันหน้าเข้าหากล้อง พยายามยิ้มและพอจะขยับตัว แต่ลมตีแรงมาก จะขยับแขนยังต้องใช้แรงเพื่อต้านลม แต่ก็พยายามยิ้มไว้ก่อน ทำท่านู่นนี่ที่พอนึกออกไม่กี่ท่า
(ก่อนขึ้นคิดท่าไว้บ้าง พอสถานการณ์จริงลืมหมด55)
จนเวลาผ่านไปหลายสิบวินาที เราเห็นกลุ่มเมฆอยู่ใกล้ตัว ดูจากทิศทางอีกไม่นานเรากำลังจะลอยเข้าผ่านกลุ่มเมฆสีขาว
ครูฝึกเริ่มกระตุกร่มทำเราตกใจกับสภาวะที่เปลี่ยนไปอีกรอบ พร้อมกับความเร็วที่ช้าลง เราจับสายรัดแน่นอีกครั้งและหันไปอีกทีตากล้องข้างๆ ก็หายไปละ
เราได้แต่เตรียมตัวที่จะเข้าผ่านดงก้อนเมฆ ก้อนใหญ่ๆ เมฆที่เราได้แต่เคยแหงนมองบนฟ้าหรือมองจากเครื่องบิน
เป็นความรู้สึกที่ประหลาดอีกครั้ง ตอนผ่านเข้าไปในกลุ่มก้อนเมฆ สีขาวรอบๆ เย็นๆ
[CR] เรื่องเล่าจากบนฟ้า : เปิด Bucket list เผชิญความกลัวกับ Sky Diving
ไม่รู้ว่าปกติ เคยทำ Bucket list ที่อยากทำในชีวิต (Bucket list before you die) ไหม
ของผมเคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อนนะ จะเปิดดูเป็นครั้งคราว ตอนที่เบื่อๆ ไม่มีไอเดียหรือหมดไฟ
ถ้าได้เคยทำเหมือนกัน วันนี้ผมเล่าประสบการณ์ที่เพิ่งทำไปไม่นานนี้ เป็น Bucket list ที่เคยจดเอาไว้ ที่จะทำสักวันหนึ่ง โดยครั้งนี้ผมเลือกเอาข้อนึงที่เป็นจุดอ่อนของตัวเอง ด้วยการมาโดด Sky Diving เพื่อเอาชนะความกลัวความสูงของตัวเองครับ
ลองจินตนาการถึง
เสียงใบพัดของเครื่องบินขนาดเล็กจิ๋ว บรรทุกคน 11 คน ที่กำลังไต่ระดับความสูง
สูงขึ้น และสูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านหมู่เมฆ และเมื่อมองผ่านหน้าต่างจะเห็นว่าวิวด้านล่างดูกว้างขึ้นเรื่อยๆ
เสียงโลหะกระทบกันของขอบประตูบานเลื่อนสำหรับขึ้นลงของเครื่องบินลำเล็ก ที่ห่างจากเท้าเราแค่ประมาณไม้บรรทัดเดียว ดังตลอดเวลาที่ไต่ระดับ
ช่วงเวลาเหล่านี้ เกิดขึ้นนานหลายนาที
ก่อนที่ครูฝึก (Instructor) จะดึงตัวเรามาล็อคสายรัดกับตัวครูฝึก
เปิดกล้องที่ข้อมือ
เปิดประตูบานเลื่อนที่ดังตลอดทางนั้น และ…….ฟิ้ววววววววววว!!!
ณ ความสูงประมาณ 13,000 ฟุต
(ราวๆ 4,000 เมตร)
สติเราเหมือนดับวูบแบบไฟตัดไปชั่วขณะ…….
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ย้อนกลับไป 26 วันก่อนหน้า ที่หน้าจอเฟสบุ้ค บังเอิญเห็นผู้หญิงคนนึงเป็นบล็อคเกอร์ที่ตามในเฟส เพิ่งพาเพื่อนไปโดด Sky diving มา เธอเล่าว่าเพื่อนเธอเป็นคนกลัวความสูงมาก แต่ก็เพิ่งผ่านมันมาได้พร้อมตามไปอ่านที่เพื่อนเธอบรรยายความรู้สึกต่างๆ ออกมา
พอได้อ่านเรื่องของเธอแล้วก็เกิดคำถามในใจตอนที่กำลังวางแผนทริปว่า
“ เราก็กลัวความสูงมากเหมือนกันนี่นา? ”
แล้วกลับไปเปิดสมุดเล่มบางๆ เล่มนึงที่เคยจด Bucket list สิ่งที่อยากทำตอนยังมีชีวิตอยู่ หนึ่งในนั้นข้อนึงเขียนว่ากระโดด Sky Diving
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจครั้งนี้
จำได้ว่าตอนที่เริ่มเขียนครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เพิ่งจะเริ่มทำ Bucket list ข้อแรกคือ เดินทางไปต่างประเทศคนเดียวนานๆ ตอนนั้นมันดูเป็นเรื่องไกลตัวมาก กะว่าจะทำอย่างท้ายๆ เลยเพราะรู้ว่าตัวเองกลัวความสูงมาก
ขนาดรถไฟตีลังกาในสวนสนุกยังไม่กล้าเล่นเลย ดีหน่อยที่ตอนที่เดินทางคนเดียวได้สัก 2 ปี เคยตกกระไดพลอยโจนไปเล่นพาราไกดิ้งกับเพื่อนในทริปครั้งนึงที่ตุรกีแบบงงๆ นอกจากนั้นประสบการณ์เกี่ยวกับความสูงแทบไม่มี
จากวันนั้นผ่านมาแล้ว 3 ปี ถึงตอนนี้จะเริ่มรู้สึกมีความกล้ามากขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนั้นในหัว แค่คิดจะเริ่มวางแผน ตัวก็เริ่มสั่นละ ผลคือ คืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับ55
สุดท้าย ตัดสินใจได้ว่าถ้ามีคนไปโดดด้วยก็จะลองดู เลยพยายามถามคนรู้จักที่อาจจะไป ผลคือมีแต่คนปฏิเสธ55 ทุกคนบอกว่าน่ากลัวหมดเลย จนแล้วจนรอดเกือบจะไม่ได้ไปละ แต่ท้ายที่สุดก็มีคนนึงตกลงไปด้วย เลยตัดสินใจไปแบบงงๆ ตัวเองเหมือนกัน
หลังจากนั้นก็เหมือนมีชะงักติดหลังตลอดเวลา พอคิดทีไรก็กังวลและเริ่มสั่นทุกที ถามตัวเองเรื่อยๆ ว่า ทำไมเราต้องเลือกไปทำอะไรแบบนี้ด้วย กิจกรรมอื่นๆในชีวิต ก็มีตั้งเยอะ เรายังมีทางเลือกอื่นอยู่นะ
แต่พอมาคิดอีกที รู้สึกว่าใจลึกๆ แล้วบอกว่า ถ้ามีโอกาสละไม่ทำครั้งนี้ คงจะเสียใจทีหลัง เลยพยายามผลักดันตัวเอง จองตั๋ว ล็อกวันเวลาให้เสร็จ จะได้ไม่กลับมาคิดอีก และพยายามสอบถามข้อมูลจากคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้ โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ที่ให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง จนมั่นใจว่าปลอดภัยแน่ๆ (ถึงจะไม่ 100% เต็มก็เหอะ)
เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับอีโก้หรือความเท่อะไรเลย สำหรับเรามันยากมาก ยิ่งตอนนี้พอมาทำธุรกิจส่วนตัวและได้อยู่ใกล้ครอบครัวด้วยแล้ว มันเหมือนเรามีคนข้างหลังและภาระรออยู่ ถึงมันจะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุณ์หรือเหตุไม่คาดฝันเล็กน้อยมากกกกกกก ก็เหอะ แต่คิดต่อว่า ถ้าอีกหน่อยมีครอบครัวของตัวเอง เราอาจจะยิ่งไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงๆ มากขึ้นไปอีก ช่วงนี้ยังอยู่ในจังหวะที่เราจะลองใช้ชีวิตและทำในสิ่งที่อยากจะทำได้บ้าง เลยคิดว่าอย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือแล้วเสียดายทีหลังดีกว่า
ผมเชื่อว่าทุกคน คงมีช่วงเวลาการตัดสินใจครั้งสำคัญ สำหรับผม ถ้าพยายามคิดแล้ว ตัดสินใจยากจริงๆ วิธีสุดท้ายที่จะทำ คือ ‘ถามหัวใจตัวเอง’
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
ตัดภาพมาถึงคืนก่อนโดด คืนนั้นนอนหลับประมาณ 3-4 ช.ม เช้ามานั่งรถไปสถานที่โดดพร้อมกับมองท้องฟ้าครึ้มๆ
หลังจากฝนเพิ่งหยุดตกไม่นาน (ยังไม่โดด ตื่นเห็นท้องฟ้ากับฝนปรอยๆ ก็เริ่มกังวลละ55)
สักพักถึงที่หมาย ทางเจ้าหน้าที่เช็คอากาศ และให้รอสภาพอากาศดีกว่านี้ แต่ยืนยันว่าได้โดดวันนี้แน่นอน
(ไม่รู้ควรจะดีใจไหม55)
ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะลงคิวโดดให้ โดยใครมาก่อนได้คิวก่อน และต้องชั่งน้ำหนัก เซ็นเอกสารที่สรุปๆ ว่าถ้าเป็นอะไรไป บริษัทไม่รับผิดชอบนะ อันนี้ต้องได้เซ็นทุกคน55 แต่บริษัทก็ยืนยันว่า ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงหรือเสียชีวิตมาก่อน
ระหว่างรอคิวขึ้นเครื่องก็พยายามปลุกใจตัวเองเรื่อยๆ
“เราทำได้ๆ”
บางทีสติเริ่มเตลิด ก็สลับมาสวดมนต์ในใจบ้าง55
จนถึงเวลาเรียกคิวขึ้นเครื่อง ในลำเดียวกันมีคนโดด 3 คน ไม่รวมเจ้าหน้าที่
[บนเครื่องมีทั้งหมด 11 คน ได้แก่ นักบิน/ผู้ช่วยนักบิน/ คนที่จะโดดรวมเรา=3คน/ ครูฝึก (Instructor) =3คน ประกบคนที่จะโดดหนึ่งต่อหนึ่ง/ ช่างกล้อง=3คน (1ต่อ1 กับคนที่จะโดด) ]
เราได้คิวโดดคนแรกได้นั่งติดประตูทางเข้าออกของเครื่องบินเลย
ตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องจนอยู่บนเครื่อง ครูฝึกที่ประกบเราพยายามให้กำลังใจ บอกให้หายใจลึกๆ ทำใจสบายๆ เพราะรู้ว่าเรากลัวมาก
ระหว่างเครื่องบินไต่ระดับ บางครั้ง ช่างกล้องที่นั่งติดประตูเหมือนกับเรา ก็เปิดประตูแง้มๆ เหมือนส่องอะไรสักอย่างเป็นระยะๆ ยิ่งทำให้ใจเสียไปอีก เลยเลือกพยายามอยู่กับตัวเองและหันไปมองวิวจากหน้าต่างแทน
ระหว่างที่เครื่องบินไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนแทบไม่ค่อยได้คุยกัน หรืออาจคุยกันแต่สติผมไม่รับข้อมูลแล้วมั้ง55
เวลาเหมือนผ่านไปช้ามาก นาฬิกาหรือที่บอกเวลาก็ไม่มี จนผ่านไปพักใหญ่ๆ จนรู้สึกสงสัยทำไมนานจัง จนต้องถามครูฝึกว่า "ยังไม่สูงพออีกเหรอ? "
เขาตอบ : “เพิ่งครึ่งทางเอง…ยิ่งสูงยิ่งปลอดภัยนะ ทำใจสบายๆ ไว้ดูวิวรอบๆสิ"
ในหัวตอนนั้นเลิกสงสัยละ แบบเอาที่พี่สบายใจเลย เรานั่งเงียบๆ ทำใจและอยู่กับตัวเองต่อไปดีกว่า
เราพยายามทบทวนอยู่หลายรอบมาก โอเคตอนจะโดดอย่าคิดอะไรเลย เงยหน้าขึ้นฟ้า อย่ามองไปข้างล่าง พยายามอย่าหลับตา และเอามือจับสายรัดไว้ก็พอ ที่เหลือครูฝึกที่มัดตัวกับเรา เขาจะจัดการเอง เราแค่เตรียมใจก็พอ55
เสียงเครื่องยนต์และใบพัดเริ่มเบาลงจนสังเกตได้ สติเราถูกดึงจากภวังค์กลับมาอีกครั้ง ช่างกล้องที่นั่งติดกันตรงประตู เช็คอุปกรณ์ตัวเองและเปิดประตูแง้มดู เป็นสัญญาณว่าใกล้เวลาจะต้องโดดแล้ว
เสียงครูฝึกที่นั่งหลังเรา เช็คอุปกรณ์ดึงเราเข้าประชิดเข้าหาตัว รัดอุปกรณ์กับตัวแน่นขึ้น พร้อมเสียงกดกล้องอัด VDO ตรงข้อมือ พร้อมส่งสัญญาณให้ช่างกล้องว่า พร้อม!!
ในใจเราคือ เหมือนนักโทษที่ถึงเวลาประหาร...T_T
สักพักช่างกล้องกระโดดหายลงไปอย่างรวดเร็ว และครูฝึกก็กระเถิบตัวพร้อมกันกับเราที่รัดแน่นติดกันตามมาที่ขอบประตูเครื่องบิน
พระเจ้าถึงไม่มองด้านล่างก็พอรู้ว่า เท้าเราอยู่ขอบประตูเครื่องบิน โดยมีมือครูฝึกจับขอบบนไว้ ก้าวลงไปก็ล่วงลงไปเลย
วินาทีนั้นสมองเบลอไปหมดละ เราได้แต่เงยหน้าขึ้น มือจับสายรัด จนแทบไม่ได้ยินเสียงครูฝึกที่รัดติดกันนับให้สัญญาณ
(ส่วนเราที่จำได้คือ จะทำไรก็ทำไป กูขอมองฟ้าของกูคนเดียว55)
Ok >> Ready >> Go (มาดู VDO ย้อนหลัง)
และ....
..
...
....
ฟิ้ววววววว ทุกอย่างผ่านไปไวมาก ไม่รู้จะอธิบายยังไง
_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _
พระเจ้าาาา!!
เราเพิ่งตกจากเครื่องบิน และตอนนี้อยู่กลางอากาศกำลังดิ่งลงพื้นด้วยความเร็วสูง!!!
กว่าจะรู้สึกตัวกับบรรยากาศรอบๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เวลาก็ผ่านไปหลายวินาที อารมณ์เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลย55
พร้อมกับความรู้สึกว่า
เราบินได้ (I CAN FLYYYYY!!!) …………………. เรากำลังลอยอยู่บนฟ้า ภาพทุกอย่างรอบๆ เหมือนช้าลง
สักพักครูฝึกบอกให้ยกขาขึ้นและกางแขนออกตามที่สอนก่อนขึ้นเครื่อง ทีแรกไม่อยากปล่อยมือเลย จนหันไปรอบๆ มองเห็นกล้องจากตากล้อง ที่โดดมาก่อนหน้าเราแปปนึง ลอยห่างจากเราไม่ไกล ตอนนั้นรู้สึกเริ่มชินกับสภาพแวดล้อมละ เลยเริ่มปล่อยมือ55
ระหว่างนั้น ก็หันหน้าเข้าหากล้อง พยายามยิ้มและพอจะขยับตัว แต่ลมตีแรงมาก จะขยับแขนยังต้องใช้แรงเพื่อต้านลม แต่ก็พยายามยิ้มไว้ก่อน ทำท่านู่นนี่ที่พอนึกออกไม่กี่ท่า
(ก่อนขึ้นคิดท่าไว้บ้าง พอสถานการณ์จริงลืมหมด55)
จนเวลาผ่านไปหลายสิบวินาที เราเห็นกลุ่มเมฆอยู่ใกล้ตัว ดูจากทิศทางอีกไม่นานเรากำลังจะลอยเข้าผ่านกลุ่มเมฆสีขาว
ครูฝึกเริ่มกระตุกร่มทำเราตกใจกับสภาวะที่เปลี่ยนไปอีกรอบ พร้อมกับความเร็วที่ช้าลง เราจับสายรัดแน่นอีกครั้งและหันไปอีกทีตากล้องข้างๆ ก็หายไปละ
เราได้แต่เตรียมตัวที่จะเข้าผ่านดงก้อนเมฆ ก้อนใหญ่ๆ เมฆที่เราได้แต่เคยแหงนมองบนฟ้าหรือมองจากเครื่องบิน
เป็นความรู้สึกที่ประหลาดอีกครั้ง ตอนผ่านเข้าไปในกลุ่มก้อนเมฆ สีขาวรอบๆ เย็นๆ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้