ขอออกตัวก่อนเลยนะคะว่าตั้งแต่เด็กจนโตมาอายุ 30 นี้เราไม่เคยอยู่ในสถานะที่แอบชอบคนใกล้ตัวเลย อย่างมากก็แอบชอบรุ่นพี่โรงเรียนแต่ก็จะเปิดเผยกรี๊ดกร๊าดไปทั่วเวลาเขาเดินผ่าน แบบเจ้าตัวรู้ เพื่อนรู้ ทุกคนรู้ เป็นผู้หญิงกระดี๊กระด๊าเปิดเผยอ่ะค่ะ รู้สึกยังไงจะแสดงแบบนั้น มีแฟนเป็นตัวเป็นตน 2 คน คนแรกคบกันเก้าปีแล้วเลิกตอนจบมหาวิทยาลัย อีกหนึ่งคนคบกันมา 7 ปีแล้วค่ะ แต่งงานกันเมื่อสี่ปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีแพลนมีลูกนะคะ เรายังคงคบกันแบบเด็กๆ เป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวด้วยกันไปเรื่อยๆ เราเองก็ไม่อยากมีลูกเพราะเรารู้ตัวเองว่าเรายังเด็กมาก (นิสัยเรายังคิดอะไรเป็นเด็กมากจริงๆ) เอาล่ะค่ะเอาเป็นว่า เราแต่งงานแล้ว !!!!
เรื่องราวที่จะเล่าให้ทุกคนฟังต่อจากนี้มันคือถ้อยคำมากมายที่เราพูดคุยกับใครไม่ได้จริงๆ เพราะมันคือเรื่องที่ผิด ผิดมหันต์ ผิดไปหมดทุกด้าน เราอึกอัดมากและขอทางช่วยหลุดพ้นความรู้สึกนี้ด้วยนะคะ เราไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น และไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
เราได้มีโอกาสรู้กับน้องผู้ชายคนนึงที่จะเข้ามาเป็นเด็กฝึกงานที่ทำงานก่อนช่วงที่โควิดระบาดค่ะ เนื่องจากเราเป็นรุ่นพี่มหาลัยเดียวกันหัวหน้าเลยมอบหมายให้เราทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลและให้คำปรึกษาน้องคนนี้ วันแรกที่เจอกันก็เห็นแหล่ะว่าน้องเค้าน่ารักจัง แต่เราไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ชายหล่อนะคะเพราะแฟนเราก็หล่อเหมือนกัน 555 แค่รับรู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายหล่อๆจิ้มลิ้มๆคนนึงที่ต้องเนื้อหอมในที่ทำงานแน่ๆเลย และก็ได้แลกไลน์เพื่อเอาไว้ติดต่อเรื่องงานกัน จากนั้นที่ทำงานก็ประกาศให้ทำงานที่บ้านเพราะสถานการณ์โควิด เราก็ไม่ได้เจอกันอีดนานมากหลายเดือน แต่ในระยะนั้นก็มีคุยไลน์กันเรื่องงานบ้างนานๆที คุยกันแค่เรื่องงานจริงๆ รู้เรื่องแล้วก็คือจบ ไม่ได้สนิทอะไรกัน
พอถึงเวลากลับมาทำงานจริงจังอีกครั้ง เราก็ยิ่งต้องคุยเรื่องงานกันมากขึ้น นั่งโต๊ะติดกัน เริ่มเทรนด์งานกันแบบจริงจังก็จะมีเรื่องราวมากมายแชร์ให้น้องฟัง เราเป็นผู้หญิงคุยเก่งกับคนที่ถูกคออ่ะค่ะ ซึ่งน้องเค้าคุยกับเราถูกคอ คุยได้ทุกเรื่อง แซวอะไรไปตบมุกกลับได้เหมือนรู้ทันกันหมด จนเพื่อนๆที่ทำงานก็จะบอกว่าเราสองคนช่างเหมาะที่จะเป็นพาร์ทเนอร์กันจริงๆ รับฝีปากกันได้สบายมาก จากคุยกันแค่เรื่องงาน ก็เริ่มคุยกันเรื่องอื่นมากขึ้น เรื่องมหาลัยของเราสองคน เรื่องอาหาร เรื่องที่เที่ยว มันเหมือนไลฟ์สไตล์เราเหมือนกันไปหมดเลยเลยคุยกันสนิทใจ แล้วช่วงพักกลางวันเราก็ต้องพาน้องออกไปสำรวจร้านอาหารแถวๆที่ทำงานทุกวันเลยค่ะในช่วงแรกๆ แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะถ้าไม่พาน้องไปก็ต้องออกไปคนเดียวอยู่แล้ว เลยรู้สึกดีที่เดี๋ยวนี้มีเพื่อนไปกินข้าวด้วยกัน
บางคนอาจสงสัยว่าเราไม่มีเพื่อนที่ทำงานหรอ มีนะคะพวกเราอยู่กันแบบครอบครัวเหมือนพี่น้อง สนิทกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แต่เราไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษเลย นึกออกมั้ยคะ คือมีเพื่อนเป็นกลุ่มแต่เราไม่มีใครที่เป็นพิเศษที่เข้ากับเราได้ทุกเรื่อง ส่วนเวลาไปทานข้าวที่นี่จะพักไม่ตรงกันค่ะ แล้วแต่งานใครเสร็จก่อน ก็เลยต่างคนต่างออกไปหามากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างมากก็คือซื้อเข้ามาฝากคนอื่นๆด้วยแล้วค่อยมากินพร้อมกันในที่ทำงาน แต่จะให้หาเวลาออกไปพร้อมกันจะยากมาก พอมีน้องคนนี้ไปด้วยทุกๆวันก็เลยรู้สึกว่าเค้าเป็นเพื่อนสนิทคนนึง ซึ่งทุกอย่างสำหรับเราตอนนั้นปกติมาก ไม่มีอะไรที่เอะใจได้ว่าเราไปไกลแค่ไหนยังไง
คนที่ทำงานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้ว่าเราแต่งงานแล้ว (ยกเว้นกลุ่มที่สนิทกัน) เค้าก็จะชอบแซวชอบจับคู่ว่าเหมาะสมกันจังเลย (ขออวยตัวเองนิดนึงนะคะ คือเราก็จัดว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาดีต้นๆของที่ทำงานนิดนึง) คนเค้าเลยชอบแซวๆว่าสวยหล่อเหมาะสมจังเลย ซึ่งเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เราได้แต่บอกทุกคนว่าเหมือนพี่สาวน้องสาวมากกว่ามั้ย ... เพราะเราคิดว่าน้องเค้าไม่แมนค่ะ แต่ไม่เคยถามนะคะ ด้วยความที่หน้าตาดี น่ารัก จิ้มลิ้ม ขร้เล่น นิสัยค่อนข้างละเอียดอ่อนแบบผู้หญิง ดูเข้าใจอารมณ์ผู้หญิงดีมาก และไม่เคยเห็นพูดถึงแฟนให้ฟัง เราเลยคิดว่าเค้าไม่ได้ชอบผู้หญิงค่ะ เราเลยชอบเรียกสรรพนามแทนเค้าเวลาคุยกับคนอื่นว่า น้องสาวเรา
พอเวลาผ่านไปสักพักนึง ไม่นานนะคะ เราสองคนสนิทกันเร็วมาก จนมีวันนึงวันแรกที่เรารู้สึกว่าความรู้สึกเราไม่ปกติ คือน้องเค้าจะส่งไฟล์ผ่านให้ทาง messenger ซึ่งเรายังไม่เคยมีเฟซบุ๊คของกันและกันมาก่อน เราก็เอาโทรศัพท์น้องมาแล้วพิมพ์ชื่อเฟซเราให้ น้องก็ถามมาว่า แอดเฟซได้มั้ยครับ? แล้วเค้าก็แอดมาเราก็รับแอดแล้วนั่งทำงานต่อปกติ สักพักนึงเค้าก็ถามขึ้นมาว่า พี่แต่งงานแล้วหรอ? เราก็ตอบแบบไม่ได้คิดอะไรว่า อื้อ น้องเค้าก็สีหน้าเปลี่ยนนิดนึงแล้วพูดว่าพี่ยังดูเด็กอยู่เลย เราแซวๆตัวเองว่า ช่าย พี่ยังเด็กอยู่เลยเนาะโดยเฉพาะสมอง 5555 แล้วเค้าก็ไม่ขำ ซึ่งปกติเค้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก และถึงเวลาเลิกงานพอดีเค้าก็ขอตัวกลับบ้าน เราก็เลย เอ๊ะ!?!
จากความรู้สึก เอ๊ะ!?! ในเย็นวันนั้น ทำให้เราเหมือนหันมาสนใจเค้าประมาณว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอะไร แต่ไม่ได้ถามนะคะ เราเป็นคนชอบสังเกต เราก็เลยหันมาสังเกตทุกอย่างที่เค้าเป็น เราคิดว่ามันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราตกไปอยู่ในโลกของเค้ามากเกินไป เราเริ่มสังเกตเห็นว่าเค้าจะชวนเราคุยในแชทบ่อยมาก นั่งทำงานอยู่ด้วยกันก็ชอบแชร์โปรโมชั่นของกินที่เราชอบมาให้ กลับบ้านก็จะทักมาชวนคุยเรื่องงานบ้าง เรื่องของกินบ้างบ่อยๆ บางวันเค้าลางานไปทำธุระส่วนตัวก็จะชอบถ่ายรูปมาบอกว่ามาทำธุระจริงๆนะไม่ได้หนีงาน กลางคืนคืนไหนที่เค้าจะไปเที่ยวกลางคืนเค้าก็จะพิมพ์มาบอกเราว่าคืนนี้ขอเถลไถลนะครับพี่ไม่ต้องรอตรวจงาน เวลาบอกว่าวันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนขอออกก่อน เค้าก็จะส่งรูปกินข้าวพร้อมกับหน้าเพื่อนผู้ชายมาให้ดู มีวันนึงเราส่งรูปเรากินข้าวกับสามีกลับไปให้เค้าบ้าง เค้าก็ส่งรูปกินข้าวที่มีมือคนติดมาส่งกลับมาด้วย แล้วก็บอกว่าพี่จะขิงทำไม ผมก็มีคนกินด้วยเหมือนกัน (แต่ในรูปคือมือผู้ชายนะคะ เราก็เลยยิ่งมั่นใจว่าน้องเค้าไม่ได้ชอบผู้หญิง) และความรู้สึกตอนนั้นคือ แปล๊บๆจี๊ดๆ ที่หัวใจ
เราขอเล่าความน่ารักของเค้าที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีเค้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วให้ฟังนะคะ เช่น บางครั้งจะโทรมาตอนเช้าถามว่าเอาข้าวอะไรมั้ยเค้าออกไปซื้อข้าว ทุกกลางวันเค้าจะมาถามเราก่อนว่าวันนี้จะกินอะไรดีครับเค้าจะพาเราเดินไปซื้อด้วยกันทุกครั้งหรือไม่ก็ซื้อมาให้ถ้าเรางานยุ่ง มีครั้งนึงเราบอกเราจะไปซื้อขนมจีนเค้าก็บอกว่าไปครับไปด้วย พอไปถึงร้านเค้าก็ไม่ซื้อบอกว่ามีนัดกินข้าวกับเพื่อนอีกแผนกนึง แล้วเค้าก็เดินเข้ามาส่งและออกไปอีกรอบ เวลาเรางอนเพื่อนที่ทำงาน (เราเป็นคนขี้งอน) เค้าก็ชอบพูดกับเพื่อนๆเราว่า พี่ๆปล่อยให้งอนไปเถอะ ถ้าไม่มีคนง้อเดี๋ยวก็เลิกงอนเอง แต่สักพักเค้าก็จะมานั่งข้างๆจับแขนเราแล้วถามว่ากินไอติมมั้ยครับ (เค้ารู้ว่าเราชอบกินไอติมเค้าจะเข้ามาทำแบบนี้เสมอเวลาเรารู้สึกไม่ดี) เวลาออกไปหาซื้อของกินข้างนอกแล้วร้านที่อยากกินปิดเราชอบยืนงอแงหน้าร้าน เค้าก็จะมาจูงมือพาเราเดินออกไปจากตรงนั้น บางวัน(ไม่บ่อย)หลังเลิกงานเรายังไม่กลับบ้านเราจะชอบไปซื้อขนมที่ห้างแถวๆที่ทำงานเค้าเคยตามมาด้วย ก็แยกย้ายกันไปซื้อของตามปกติ บางครั้งเค้ารู้ว่าเราไปแต่ไม่บอกเค้าก็จะบอกว่าทำไมไม่ชวนครับจะไปด้วยพี่จะได้ไม่เหงา หรือบางครั้งบอกแล้วเค้าไม่ว่างมาเค้าก็จะคอยพิมพ์ถามว่ากลับรึยัง เราเคยรอตรวจงานจากเค้าจนดึกก็ไม่ส่งมาแล้วเราก็นอยด์ๆบ่นๆไปว่าว่างจากเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ค่อยทำให้พี่ละกัน เค้าก็พิมพ์กลับมาว่าไม่มีเรื่องอื่นหรอกครับเรื่องของพี่ผมให้มาก่อนที่หนึ่งตลอดแหล่ะ เรื่องประมาณนี้เป็นต้นนะคะ มันทำให้เราค่อยๆรู้สึกดีจัง ทำไมน้องเป็นคนน่ารักจัง เหมือนมีเพื่อนสนิทที่นิสัยน่ารักมากคนนึงเข้ามาอยู่ในชีวิต (ตอนนั้นคิดแบบนี้)
จนมาระยะหลังเราคุยกันทาฃแชทน้อยลงค่ะเพราะเรื่องงานลงตัวแล้ว ไม่มีอะไรต้องเทรนด์น้องแล้ว ก็คุยกันเรื่องทั่วไปประปราย ตั้งแต่ต้นส่วนมากเค้าจะเป็นคนทักเรามาหาเรื่องคุยก่อน มีวันนึงสามีเราไปรับกลับบ้านแล้วฝนจะตกเราก็ถามสามีว่าเอาน้องไปส่งลงหน้าซอยบ้านได้มั้ยฝนจะตกแล้ว เค้าก็บอกว่าได้ๆ เราก็ถามน้องเค้าว่าไปด้วยกันมั้ย แต่แฟนพี่มารับนะ เค้าก็บอกว่ายังไงก็ได้ครับผมสบายๆอยู่แล้ว มันเป็นวันที่เรารู้สึกผิดมากครั้งนึงเลยค่ะ ด้วยความที่ตอนนั้นเรายังไม่ทันได้สำรวจใจตัวเอง พอขึ้นรถมาบรรยากาศอึมครึมมาก เราก็แนะนำน้องให้สามีรู้จัก (จริงๆเค้าได้ยินชื่อน้องมานานแล้วค่ะ เราจะเล่าให้ฟังบ่อยๆ) สามีเราเค้าก็พูดว่า คนนี้นี่เองที่ทักมาหาแฟนพี่บ่อยๆก็นึกว่าหนุ่มที่ไหน แล้วแฟนเราก็หัวเราะ แล้วน้องเค้าก็เงียบๆ ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างเค้าสองคนอีกเลย เราก็เลยชวนน้องคุยเรื่องงานนู่นนี่นั่นจนส่งเค้าลงรถไป ... หลังจากวันนั้นมา เรารู้สึกได้ว่าเราแชทคุยกันน้อยมาก กลับกลายเป็นเราที่ต้องรอแชทดังในเวลาเดิมๆที่เค้าชอบทักมา พอเค้าไม่ทักเราก็ต้องหาเรื่องทักไป เราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเราขาดอะไรไป เราเฝ้ารอ และก็หลับไปแบบนี้หลายอยู่คืน จนเราแอบนอนร้องไห้เพราะรู้สึกกำลังจะเสียอะไรบางอย่างไปจริงๆ แล้วมันเป็นวันที่เราตัดสินใจได้ว่าไม่เอาแล้วนะ เราจะต้องรักษาระยะห่างกัน เราจะปล่อยให้เค้าเข้ามาในใจไม่ได้ เราแต่งงานแล้ว!!!
หลังจากวันที่เราตั้งมั่นได้ ตื่นมาเราก็รู้สึกดีขึ้นนะคะ สบายใจ เจอหน้ากันก็คุยกันปกติ ไม่ค่อยแซวกันหรือคุยเล่นอะไรมาก ทำได้อยู่สามวันค่ะ เค้าก็ยังคงเข้ามาทำตัวน่ารักๆกับเราเหมือนเดิม แล้วเราก็ไปสนิทกับเค้าเหมือนเดิม เราเริ่มรู้แล้วแหล่ะว่าเราคงชอบความน่ารักแบบที่เค้าเป็นแน่ๆเลย แต่ไม่ได้คิดจะเป็นอะไรอย่างอื่นนะคะ แค่อยากมีเค้าอยู่ในชีวิต สร้างสีสรรค์แบบนี้ไปเรื่อยๆแค่นี้ก็มีความสุข จนเมื่อเร็วๆนี้เค้าก็พูดขึ้นมาว่าเค้าจะฝึกงานอีกแค่เดือนเดียวแล้วนะ เราลืมเวลาไปเลยค่ะพอนึกขึ้นมาได้น้ำตาเราก็เอ่อขึ้นมา เรานึกภาพไม่ออกว่าหลังจากนั้นที่เค้าจากไปโต๊ะที่เคยนั่ง ข้าวกลางวันที่เคยกินด้วยกัน บรรยากาศดีๆที่เราคุยกันเล่นกัน มันจะหายไปแต่เหลือทิ้งไว้แค่ร่องรอยให้เรานั่งมองมันทุกวัน มันจะเป็นยังไง พอเค้าเดินออกไปเราสองคนก็จะกลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก คงไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอีกแล้วเพราะเราเป็นคนรักษาความสัมพันธ์กับคนไม่เก่ง และก็จะกลายเป็นคนไม่รู้จักกันในที่สุด เราเสียใจจังเลยค่ะที่เรามีเค้าอยู่ในชีวิตต่อไปไม่ได้ คืนนั้นระหว่างขับรถเราเลยโทรไปหาเค้าแล้วไม่มีอะไรจะพูดนอกจากร้องไห้ให้เค้าฟัง แต่ก็ได้แค่บอกไปว่าเครียดเรื่องงานอยากระบายเฉยๆ เราไม่กล้าบอกใครหรอกว่าเราเสียใจที่เค้าจะไปแม้แต่ตัวเค้าเองเราก็ไม่อยากบอก เพราะเราไม่อยากให้ความสัมพันธ์ซับซ้อนมันเกิดขึ้นในชีวิตเรา
เราแค่อยากมาระบายความอัดอั้นให้คนไม่รู้จักฟัง เราแอบร้องไห้มาหลายวันแล้วค่ะร้องทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าเวลาที่เค้าจะอยู่ที่นี่เหลือน้อยจังเลย เราไม่มีจิตใจทำงานเวลาที่เค้าไม่อยู่หรือลางาน ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เราก็สึกเหงาไม่มีคนมาเจ๊าะแจ๊ะด้วย เราเป็นคนยึดติด ยึดติดจนเป็นทุกข์ ไม่ชอบเลยค่ะ รู้ด้วยว่ารู้สึกแบบนี้กับใครมันไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราอยากหยุด เราจะจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ยังไงดีคะ ทำยังไงให้เราหยุดนึกถึงความน่ารักของเค้า และให้เค้าจากไปแบบที่เราไม่เป็นทุกข์อยู่แบบวันนี้ ... สักวันที่เค้าจากไปนานพอเราก็จะชินไปเองใช่มั้ยคะ
ขอวิธีตัดใจจากความชอบที่ไม่มีทางเป็นไปได้หน่อยค่ะ หัวใจไม่ไหวแล้ว
เรื่องราวที่จะเล่าให้ทุกคนฟังต่อจากนี้มันคือถ้อยคำมากมายที่เราพูดคุยกับใครไม่ได้จริงๆ เพราะมันคือเรื่องที่ผิด ผิดมหันต์ ผิดไปหมดทุกด้าน เราอึกอัดมากและขอทางช่วยหลุดพ้นความรู้สึกนี้ด้วยนะคะ เราไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้น และไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
เราได้มีโอกาสรู้กับน้องผู้ชายคนนึงที่จะเข้ามาเป็นเด็กฝึกงานที่ทำงานก่อนช่วงที่โควิดระบาดค่ะ เนื่องจากเราเป็นรุ่นพี่มหาลัยเดียวกันหัวหน้าเลยมอบหมายให้เราทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแลและให้คำปรึกษาน้องคนนี้ วันแรกที่เจอกันก็เห็นแหล่ะว่าน้องเค้าน่ารักจัง แต่เราไม่เคยหวั่นไหวกับผู้ชายหล่อนะคะเพราะแฟนเราก็หล่อเหมือนกัน 555 แค่รับรู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายหล่อๆจิ้มลิ้มๆคนนึงที่ต้องเนื้อหอมในที่ทำงานแน่ๆเลย และก็ได้แลกไลน์เพื่อเอาไว้ติดต่อเรื่องงานกัน จากนั้นที่ทำงานก็ประกาศให้ทำงานที่บ้านเพราะสถานการณ์โควิด เราก็ไม่ได้เจอกันอีดนานมากหลายเดือน แต่ในระยะนั้นก็มีคุยไลน์กันเรื่องงานบ้างนานๆที คุยกันแค่เรื่องงานจริงๆ รู้เรื่องแล้วก็คือจบ ไม่ได้สนิทอะไรกัน
พอถึงเวลากลับมาทำงานจริงจังอีกครั้ง เราก็ยิ่งต้องคุยเรื่องงานกันมากขึ้น นั่งโต๊ะติดกัน เริ่มเทรนด์งานกันแบบจริงจังก็จะมีเรื่องราวมากมายแชร์ให้น้องฟัง เราเป็นผู้หญิงคุยเก่งกับคนที่ถูกคออ่ะค่ะ ซึ่งน้องเค้าคุยกับเราถูกคอ คุยได้ทุกเรื่อง แซวอะไรไปตบมุกกลับได้เหมือนรู้ทันกันหมด จนเพื่อนๆที่ทำงานก็จะบอกว่าเราสองคนช่างเหมาะที่จะเป็นพาร์ทเนอร์กันจริงๆ รับฝีปากกันได้สบายมาก จากคุยกันแค่เรื่องงาน ก็เริ่มคุยกันเรื่องอื่นมากขึ้น เรื่องมหาลัยของเราสองคน เรื่องอาหาร เรื่องที่เที่ยว มันเหมือนไลฟ์สไตล์เราเหมือนกันไปหมดเลยเลยคุยกันสนิทใจ แล้วช่วงพักกลางวันเราก็ต้องพาน้องออกไปสำรวจร้านอาหารแถวๆที่ทำงานทุกวันเลยค่ะในช่วงแรกๆ แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะถ้าไม่พาน้องไปก็ต้องออกไปคนเดียวอยู่แล้ว เลยรู้สึกดีที่เดี๋ยวนี้มีเพื่อนไปกินข้าวด้วยกัน
บางคนอาจสงสัยว่าเราไม่มีเพื่อนที่ทำงานหรอ มีนะคะพวกเราอยู่กันแบบครอบครัวเหมือนพี่น้อง สนิทกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แต่เราไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษเลย นึกออกมั้ยคะ คือมีเพื่อนเป็นกลุ่มแต่เราไม่มีใครที่เป็นพิเศษที่เข้ากับเราได้ทุกเรื่อง ส่วนเวลาไปทานข้าวที่นี่จะพักไม่ตรงกันค่ะ แล้วแต่งานใครเสร็จก่อน ก็เลยต่างคนต่างออกไปหามากินกันเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างมากก็คือซื้อเข้ามาฝากคนอื่นๆด้วยแล้วค่อยมากินพร้อมกันในที่ทำงาน แต่จะให้หาเวลาออกไปพร้อมกันจะยากมาก พอมีน้องคนนี้ไปด้วยทุกๆวันก็เลยรู้สึกว่าเค้าเป็นเพื่อนสนิทคนนึง ซึ่งทุกอย่างสำหรับเราตอนนั้นปกติมาก ไม่มีอะไรที่เอะใจได้ว่าเราไปไกลแค่ไหนยังไง
คนที่ทำงานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้ว่าเราแต่งงานแล้ว (ยกเว้นกลุ่มที่สนิทกัน) เค้าก็จะชอบแซวชอบจับคู่ว่าเหมาะสมกันจังเลย (ขออวยตัวเองนิดนึงนะคะ คือเราก็จัดว่าเป็นผู้หญิงหน้าตาดีต้นๆของที่ทำงานนิดนึง) คนเค้าเลยชอบแซวๆว่าสวยหล่อเหมาะสมจังเลย ซึ่งเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เราได้แต่บอกทุกคนว่าเหมือนพี่สาวน้องสาวมากกว่ามั้ย ... เพราะเราคิดว่าน้องเค้าไม่แมนค่ะ แต่ไม่เคยถามนะคะ ด้วยความที่หน้าตาดี น่ารัก จิ้มลิ้ม ขร้เล่น นิสัยค่อนข้างละเอียดอ่อนแบบผู้หญิง ดูเข้าใจอารมณ์ผู้หญิงดีมาก และไม่เคยเห็นพูดถึงแฟนให้ฟัง เราเลยคิดว่าเค้าไม่ได้ชอบผู้หญิงค่ะ เราเลยชอบเรียกสรรพนามแทนเค้าเวลาคุยกับคนอื่นว่า น้องสาวเรา
พอเวลาผ่านไปสักพักนึง ไม่นานนะคะ เราสองคนสนิทกันเร็วมาก จนมีวันนึงวันแรกที่เรารู้สึกว่าความรู้สึกเราไม่ปกติ คือน้องเค้าจะส่งไฟล์ผ่านให้ทาง messenger ซึ่งเรายังไม่เคยมีเฟซบุ๊คของกันและกันมาก่อน เราก็เอาโทรศัพท์น้องมาแล้วพิมพ์ชื่อเฟซเราให้ น้องก็ถามมาว่า แอดเฟซได้มั้ยครับ? แล้วเค้าก็แอดมาเราก็รับแอดแล้วนั่งทำงานต่อปกติ สักพักนึงเค้าก็ถามขึ้นมาว่า พี่แต่งงานแล้วหรอ? เราก็ตอบแบบไม่ได้คิดอะไรว่า อื้อ น้องเค้าก็สีหน้าเปลี่ยนนิดนึงแล้วพูดว่าพี่ยังดูเด็กอยู่เลย เราแซวๆตัวเองว่า ช่าย พี่ยังเด็กอยู่เลยเนาะโดยเฉพาะสมอง 5555 แล้วเค้าก็ไม่ขำ ซึ่งปกติเค้าเป็นคนอารมณ์ดีมาก และถึงเวลาเลิกงานพอดีเค้าก็ขอตัวกลับบ้าน เราก็เลย เอ๊ะ!?!
จากความรู้สึก เอ๊ะ!?! ในเย็นวันนั้น ทำให้เราเหมือนหันมาสนใจเค้าประมาณว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นอะไร แต่ไม่ได้ถามนะคะ เราเป็นคนชอบสังเกต เราก็เลยหันมาสังเกตทุกอย่างที่เค้าเป็น เราคิดว่ามันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราตกไปอยู่ในโลกของเค้ามากเกินไป เราเริ่มสังเกตเห็นว่าเค้าจะชวนเราคุยในแชทบ่อยมาก นั่งทำงานอยู่ด้วยกันก็ชอบแชร์โปรโมชั่นของกินที่เราชอบมาให้ กลับบ้านก็จะทักมาชวนคุยเรื่องงานบ้าง เรื่องของกินบ้างบ่อยๆ บางวันเค้าลางานไปทำธุระส่วนตัวก็จะชอบถ่ายรูปมาบอกว่ามาทำธุระจริงๆนะไม่ได้หนีงาน กลางคืนคืนไหนที่เค้าจะไปเที่ยวกลางคืนเค้าก็จะพิมพ์มาบอกเราว่าคืนนี้ขอเถลไถลนะครับพี่ไม่ต้องรอตรวจงาน เวลาบอกว่าวันนี้ไปกินข้าวกับเพื่อนขอออกก่อน เค้าก็จะส่งรูปกินข้าวพร้อมกับหน้าเพื่อนผู้ชายมาให้ดู มีวันนึงเราส่งรูปเรากินข้าวกับสามีกลับไปให้เค้าบ้าง เค้าก็ส่งรูปกินข้าวที่มีมือคนติดมาส่งกลับมาด้วย แล้วก็บอกว่าพี่จะขิงทำไม ผมก็มีคนกินด้วยเหมือนกัน (แต่ในรูปคือมือผู้ชายนะคะ เราก็เลยยิ่งมั่นใจว่าน้องเค้าไม่ได้ชอบผู้หญิง) และความรู้สึกตอนนั้นคือ แปล๊บๆจี๊ดๆ ที่หัวใจ
เราขอเล่าความน่ารักของเค้าที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีเค้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วให้ฟังนะคะ เช่น บางครั้งจะโทรมาตอนเช้าถามว่าเอาข้าวอะไรมั้ยเค้าออกไปซื้อข้าว ทุกกลางวันเค้าจะมาถามเราก่อนว่าวันนี้จะกินอะไรดีครับเค้าจะพาเราเดินไปซื้อด้วยกันทุกครั้งหรือไม่ก็ซื้อมาให้ถ้าเรางานยุ่ง มีครั้งนึงเราบอกเราจะไปซื้อขนมจีนเค้าก็บอกว่าไปครับไปด้วย พอไปถึงร้านเค้าก็ไม่ซื้อบอกว่ามีนัดกินข้าวกับเพื่อนอีกแผนกนึง แล้วเค้าก็เดินเข้ามาส่งและออกไปอีกรอบ เวลาเรางอนเพื่อนที่ทำงาน (เราเป็นคนขี้งอน) เค้าก็ชอบพูดกับเพื่อนๆเราว่า พี่ๆปล่อยให้งอนไปเถอะ ถ้าไม่มีคนง้อเดี๋ยวก็เลิกงอนเอง แต่สักพักเค้าก็จะมานั่งข้างๆจับแขนเราแล้วถามว่ากินไอติมมั้ยครับ (เค้ารู้ว่าเราชอบกินไอติมเค้าจะเข้ามาทำแบบนี้เสมอเวลาเรารู้สึกไม่ดี) เวลาออกไปหาซื้อของกินข้างนอกแล้วร้านที่อยากกินปิดเราชอบยืนงอแงหน้าร้าน เค้าก็จะมาจูงมือพาเราเดินออกไปจากตรงนั้น บางวัน(ไม่บ่อย)หลังเลิกงานเรายังไม่กลับบ้านเราจะชอบไปซื้อขนมที่ห้างแถวๆที่ทำงานเค้าเคยตามมาด้วย ก็แยกย้ายกันไปซื้อของตามปกติ บางครั้งเค้ารู้ว่าเราไปแต่ไม่บอกเค้าก็จะบอกว่าทำไมไม่ชวนครับจะไปด้วยพี่จะได้ไม่เหงา หรือบางครั้งบอกแล้วเค้าไม่ว่างมาเค้าก็จะคอยพิมพ์ถามว่ากลับรึยัง เราเคยรอตรวจงานจากเค้าจนดึกก็ไม่ส่งมาแล้วเราก็นอยด์ๆบ่นๆไปว่าว่างจากเรื่องอื่นเมื่อไหร่ก็ค่อยทำให้พี่ละกัน เค้าก็พิมพ์กลับมาว่าไม่มีเรื่องอื่นหรอกครับเรื่องของพี่ผมให้มาก่อนที่หนึ่งตลอดแหล่ะ เรื่องประมาณนี้เป็นต้นนะคะ มันทำให้เราค่อยๆรู้สึกดีจัง ทำไมน้องเป็นคนน่ารักจัง เหมือนมีเพื่อนสนิทที่นิสัยน่ารักมากคนนึงเข้ามาอยู่ในชีวิต (ตอนนั้นคิดแบบนี้)
จนมาระยะหลังเราคุยกันทาฃแชทน้อยลงค่ะเพราะเรื่องงานลงตัวแล้ว ไม่มีอะไรต้องเทรนด์น้องแล้ว ก็คุยกันเรื่องทั่วไปประปราย ตั้งแต่ต้นส่วนมากเค้าจะเป็นคนทักเรามาหาเรื่องคุยก่อน มีวันนึงสามีเราไปรับกลับบ้านแล้วฝนจะตกเราก็ถามสามีว่าเอาน้องไปส่งลงหน้าซอยบ้านได้มั้ยฝนจะตกแล้ว เค้าก็บอกว่าได้ๆ เราก็ถามน้องเค้าว่าไปด้วยกันมั้ย แต่แฟนพี่มารับนะ เค้าก็บอกว่ายังไงก็ได้ครับผมสบายๆอยู่แล้ว มันเป็นวันที่เรารู้สึกผิดมากครั้งนึงเลยค่ะ ด้วยความที่ตอนนั้นเรายังไม่ทันได้สำรวจใจตัวเอง พอขึ้นรถมาบรรยากาศอึมครึมมาก เราก็แนะนำน้องให้สามีรู้จัก (จริงๆเค้าได้ยินชื่อน้องมานานแล้วค่ะ เราจะเล่าให้ฟังบ่อยๆ) สามีเราเค้าก็พูดว่า คนนี้นี่เองที่ทักมาหาแฟนพี่บ่อยๆก็นึกว่าหนุ่มที่ไหน แล้วแฟนเราก็หัวเราะ แล้วน้องเค้าก็เงียบๆ ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างเค้าสองคนอีกเลย เราก็เลยชวนน้องคุยเรื่องงานนู่นนี่นั่นจนส่งเค้าลงรถไป ... หลังจากวันนั้นมา เรารู้สึกได้ว่าเราแชทคุยกันน้อยมาก กลับกลายเป็นเราที่ต้องรอแชทดังในเวลาเดิมๆที่เค้าชอบทักมา พอเค้าไม่ทักเราก็ต้องหาเรื่องทักไป เราเริ่มรู้สึกว่าชีวิตเราขาดอะไรไป เราเฝ้ารอ และก็หลับไปแบบนี้หลายอยู่คืน จนเราแอบนอนร้องไห้เพราะรู้สึกกำลังจะเสียอะไรบางอย่างไปจริงๆ แล้วมันเป็นวันที่เราตัดสินใจได้ว่าไม่เอาแล้วนะ เราจะต้องรักษาระยะห่างกัน เราจะปล่อยให้เค้าเข้ามาในใจไม่ได้ เราแต่งงานแล้ว!!!
หลังจากวันที่เราตั้งมั่นได้ ตื่นมาเราก็รู้สึกดีขึ้นนะคะ สบายใจ เจอหน้ากันก็คุยกันปกติ ไม่ค่อยแซวกันหรือคุยเล่นอะไรมาก ทำได้อยู่สามวันค่ะ เค้าก็ยังคงเข้ามาทำตัวน่ารักๆกับเราเหมือนเดิม แล้วเราก็ไปสนิทกับเค้าเหมือนเดิม เราเริ่มรู้แล้วแหล่ะว่าเราคงชอบความน่ารักแบบที่เค้าเป็นแน่ๆเลย แต่ไม่ได้คิดจะเป็นอะไรอย่างอื่นนะคะ แค่อยากมีเค้าอยู่ในชีวิต สร้างสีสรรค์แบบนี้ไปเรื่อยๆแค่นี้ก็มีความสุข จนเมื่อเร็วๆนี้เค้าก็พูดขึ้นมาว่าเค้าจะฝึกงานอีกแค่เดือนเดียวแล้วนะ เราลืมเวลาไปเลยค่ะพอนึกขึ้นมาได้น้ำตาเราก็เอ่อขึ้นมา เรานึกภาพไม่ออกว่าหลังจากนั้นที่เค้าจากไปโต๊ะที่เคยนั่ง ข้าวกลางวันที่เคยกินด้วยกัน บรรยากาศดีๆที่เราคุยกันเล่นกัน มันจะหายไปแต่เหลือทิ้งไว้แค่ร่องรอยให้เรานั่งมองมันทุกวัน มันจะเป็นยังไง พอเค้าเดินออกไปเราสองคนก็จะกลายเป็นแค่คนเคยรู้จัก คงไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันอีกแล้วเพราะเราเป็นคนรักษาความสัมพันธ์กับคนไม่เก่ง และก็จะกลายเป็นคนไม่รู้จักกันในที่สุด เราเสียใจจังเลยค่ะที่เรามีเค้าอยู่ในชีวิตต่อไปไม่ได้ คืนนั้นระหว่างขับรถเราเลยโทรไปหาเค้าแล้วไม่มีอะไรจะพูดนอกจากร้องไห้ให้เค้าฟัง แต่ก็ได้แค่บอกไปว่าเครียดเรื่องงานอยากระบายเฉยๆ เราไม่กล้าบอกใครหรอกว่าเราเสียใจที่เค้าจะไปแม้แต่ตัวเค้าเองเราก็ไม่อยากบอก เพราะเราไม่อยากให้ความสัมพันธ์ซับซ้อนมันเกิดขึ้นในชีวิตเรา
เราแค่อยากมาระบายความอัดอั้นให้คนไม่รู้จักฟัง เราแอบร้องไห้มาหลายวันแล้วค่ะร้องทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ว่าเวลาที่เค้าจะอยู่ที่นี่เหลือน้อยจังเลย เราไม่มีจิตใจทำงานเวลาที่เค้าไม่อยู่หรือลางาน ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เราก็สึกเหงาไม่มีคนมาเจ๊าะแจ๊ะด้วย เราเป็นคนยึดติด ยึดติดจนเป็นทุกข์ ไม่ชอบเลยค่ะ รู้ด้วยว่ารู้สึกแบบนี้กับใครมันไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราอยากหยุด เราจะจัดการกับความรู้สึกแบบนี้ยังไงดีคะ ทำยังไงให้เราหยุดนึกถึงความน่ารักของเค้า และให้เค้าจากไปแบบที่เราไม่เป็นทุกข์อยู่แบบวันนี้ ... สักวันที่เค้าจากไปนานพอเราก็จะชินไปเองใช่มั้ยคะ