อย่าให้มันเอาเปรียบเราครับ !!!

To make long story short.


   เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคมได้มีเจ้าหน้าที่ Telemarketer ของบริษัทประกันสีม่วงได้ติดต่อเข้ามาเพื่อเสนอขายกรมธรรมม์ซึ่งก็ต้องเรียนตามตรงว่าผมมีความสนใจมากด้วยความที่เพิ่งเริ่มได้ทำงานประจำอย่างเป็นกิจจะลักษณะเป็นปีที่สองและเห็นว่ามันไม่ได้เสียหายอะไรที่จะจ่ายเงินเดือนละไม่ถึง 2,000 บาทเพื่อซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิต ไหนจะยังไปใช้ลดหย่อนภาษีปลายปีได้อีกก็เลยสนใจที่จะดูเงื่อนไข สัญญา (กรมธรรม์) ก่อนจะตัดสินใจซื้อ แต่ติดที่ว่าบริษัทประกันในเมืองไทยเค้าจะไม่ให้คุณดูสัญญาจนกว่าจะจ่ายเงินก่อน (ประเทศไหนเค้าทำกัน) ผมจึงตั้งแง่ไปว่าสัญญายังไม่มีผลสมบูรณ์ทางกฏหมายหากไม่มีการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรณ์ พร้อมส่งเอกสารยืนยันตนเอง เช่น สำเนาบัตร สำเนาทะเบียนบ้านไป แต่กระนั้นก็ต้องให้เลขบัตรเครดิต 16 หลักไปเพื่อแลกกับการเอาสัญญามานั่งอ่าน จนผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์  สัญญาก็ถูกส่งมาทางไปรษณีย์ซึ่งผมเองช่วงนั้นงานยุ่งจริงจึงยังไม่เคยได้มีโอกาสเปิดอ่านกรมธรรม์เลย credit card statements ก็ไม่เคยมานั่งดู (อันนี้จริงๆ เลย) จนสุดท้ายวันนึงว่างไม่มีอะไรทำเลยเรียก statement ผ่านแอพของธนาคารที่เป็นพี่น้องหรือเจ้าของเดียวกันกับบริษัทประกันนี่ละ มาดูถึงได้ถึงบางอ้อว่าไอพวกนี้มันหากินกันยังไง เอาตามเต็ปนี้เลยนะครับ

1. มันจะให้พนักงาน call center เด็กๆ โทรหาลูกค้าเพื่อแลกกับค่าคอมที่ไม้รู้ว่าถึง 1,000 บาทรึเปล่า เพื่อพูดอะไรไม่รู้รัวๆ เยอะ ให้ลูกค้า งงๆ หรือรำคาญแล้วแบบ เออ เอามาดูดิ๊รำคาญ ซึ่งในจุดนี้คือถ้ามีปัญหาอะไร เด็กตาดำๆ รับไปเต็มๆ เหมือนเคสผมที่ตำรวจเรียกเด็กขายประกันมาสอบแล้วสอบอีก หนำซ้ำมันไล่เด็กคนนี้ออกอีก เพื่อให้สมตามเนื้อเรื่องและอาจจะเป็นการปัดความผิดไปในตัวด้วย

2. ถึงเวลาได้ข้อมูลไปมันก็จะเอาข้อมูลเราไปออกกรมธรรม์ โดยจะมีพนักงานระดับหัวหน้าคอยชง คอยกระทุ้ง คอยดันให้ underwriter (คนออกกรมธรรม์) ออกกรมธรรม์ในชื่อคุณให้ได้ เพื่อบริษัทจะได้เริ่มหักเงินจากบริษัทคุณ และ มันและพวกจะได้เริ่มเก็บค่าต๋ง (เบี้ยประกัน) จากคุณ

3. ถึงเวลากว่าเจ้าของบัตรจะรู้ว่าตัวเองโดนรูดทรัพย์ไปก็อาจจะล่วงไปแล้ว 1 เดือนบ้าง 2 เดือนบ้าง หรือ ถึง 6-7 เดือนก็มี

4. ผู้เสียหายบางราย อาจจะ 8 ใน 10 หรือบางทีอาจจะทุกรายก็ได้โทรเข้าไปแล้วบอกยกเลิกโดยที่ไม่ได้ขอเงินส่วนที่โดนหักไปแล้วคืน หรือ อาจจะขอแต่เชื่อผมเถอะไอพวกนี้มันดึงเช็งเก่ง โยนไป โยนมา รับเรื่องแล้วเงียบ ท่านน่าจะพอรู้ทรงมันอยู่แล้ว คนที่ยกเลิกแล้วก็ีใจ แล้วมันก็อาศัยช่องตรงนี้แหละครับเพื่อมาใช้ในการกินเปล่าพวกเราๆ คนไทยโดยอาศัยว่าคนไทยมีนิสัยหยวนๆ หรือ อาศัยว่าคนไทยไม่ค่อยรักษาหรือรู้สิทธิของตนเองมากเท่าไหร่ หรือไม่บางคนอยากเอาเรื่องเอาความแต่คิดไปว่าเราตัวเล็กๆ คนเดียวจะเอาอะไรไปสู้กับทีมทนายที่บริษัท มันจ้างปีนึงเป็นร้อยล้านบาท

   ถึงตรงนี้ท่านน่าจะพอเห็นภาพแล้วเปล่าครับว่าคำว่า "กินเปล่า" แปลว่าอะไร ลองคิดดูว่าถ้ามันทำแบบนี้แล้วได้เงิน เอาแบบไม่เยอะซักรายละ 7,000 บาท วันนึงมันโทรออกซัก 3,000 สาย ตกปลาได้ซัก 5% 150 ตัว เดือนนึง 4,500 ตัว คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย เอ่อ แปปนะ . . . . . .
 31,500,000 บาท ปีนึงก็ 378,000,000 บาท ถือเป็นรายได้พิเศษที่ไม่แย่สำหรับบริษัทที่มี turnover หลักพันนะ อีกอย่าง telesale เป็น BU ที่มีค่า overhead ต่ำด้วย กำไรควรมี 65% บวกๆ

  อีกอย่างนึงนะไม่รู้ว่าพวกนี้มัน aware ด้วยรึเปล่าว่าระบบยุติธรรมเมืองไทยหละหลวมและ ..... เอาจริงๆ มีไว้ทำไมวะ เพราะเริ่มตั้งแต่ตอนไปแจ้งความ ตั้งแต่โทรเข้าไปละ สภ. ที่เกิดเหตุ (ปากเกร็ด) บอกให้ไปแจ้ง สน. ห้วยขวาง เพราะเป็นที่ตั้งของผู้ต้องหา (บริษัท เมืองไทย) พอไปถึงสถานีด้วยความร้อนใจ อ่าวมาบอกให้ไป สภ. คลองหลวง (ที่อยู่ สาขาแบงค์ที่เปิดบัญชี) เลยคิดว่าเห้ยพวกมึ_เล่นอะไรกัน ว่าจะไปทรงปุถุชนทั่วไปแล้วเชียว สุดท้ายไม่รอด เลยต้องยกหูโทรศัพท์สองที แล้วมีผู้ใหญ่สั่งลงไปให้ผู้กำกับ สภ. ปากเกร็ดรับเรื่องไว้ จนเสียเวลาไปร่วมๆ เดือนกว่า จนแล้วจนรอดหลังจากตำรวจเขียนสำนวนเสร็จ ขั้นต่อไปก็ต้องส่งอัยการพิจารณา ทีนี้นิ่งหนักเลย ผ่านไป 4 เดือนเรื่องดองงงงงงงง จนสุดท้ายก็ต้องขอให้ท่านผู้ใหญ่ขอให้ท่านช่วยอนุเคราะห์พิจารณาสำนวนให้ (เห้ย กูก็ Tax Payer คนนึงนะ) จนท่านยอมทำเรื่องให้ แต่ระหว่างนี้คุณไม่มีทางรู้เลยนะว่าเรื่องคุณไปถึงไหนแล้วเพราะราชการไทยไม่มีการสื่อสารอะไรทั้งสิ้น ติดต่ออยู่ปีนึงจึงพึ่งมารู้ความว่าอัยการยกฟ้องไปแล้ว และ ผู้การภาค 1 เจ้าของพื้นที่ก็มีความเห็นสอดคล้องกันซึ่ง .... คือ สิทธิอุทรณ์กูอยู่ไหน?

  กลับมาส่วนของ คปภ. อันนี้น่าจะเป็นหน่วยงานที่ effective ที่สุดในงานนี้แล้วแต่ไม่แคล้วต้องตาม ๆ ๆ ๆ ๆ หลังส่งหนังสือเข้าไปนะครับ สุดท้ายหลังจากตามอยู่ 8-9 เดือน ก็มีคำสั่งว่าบริษัท เมืองไทยประกันชีวิตจำกัด (มหาชน) ได้มีการกระทำผิดข้อบังคับการขายทางโทรศัพท์ โดนเพิกถอนใบอนุญาตชั่วคราวพร้อมโดนปรับเอา แบบ กลมๆ ประมาน 500,000 บาท (เทียบกับ 378 ล้านบาทต่อปีแล้ว ชิวๆ)

  อีกหน่วยงานครับ สำนักนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย เสียเงินเสียทองจ้างคนไปส่งเอกสารก็แล้ว โทรตามก็แล้ว เงียบ ทำงานอย่างนี้เอาข้าราชการกลุ่มนี้ไปช่วยทำความสะอาดบ้านนายก แล้วจ้างเอกชนมาทำงานแทนน่าจะได้งานกว่านะครับ
สรุปสาระจากเรื่องนี้เลยนะครับ

1. ประชาชนไทยมีสิทธิแจ้งความกับทุก สน. สภ. ไม่สำคัญว่าเหตุจะเกิดที่ใด แค่สาเหตุว่าเค้าขี้เกียจพิมพ์สำนวน ขี้เกียจส่งเรื่องกับอัยการให้คุณจะเอามาโยนเราๆ ไปโน่นไปนี่ไม้ได้ (ควรนำหลักฐานที่บ่งชี้การกระทำผิดของคู่กรณีไปให้ครบถ้วนที่สุด) หากเจ้าหน้าที่ไม่รับแจ้งให้แจ้งให้ทรายเลยว่าคุณอาจจะทำผิด มาตรา 157 หรืออีกทางหนึ่งคือเอาชื่อของเจ้าพนักงานท่านนั้นมาแล้วโทรสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ครับ 

2. หากท่านใดเจอเหตุการณ์เดียวกันกับผมอีกให้ใช้สื่อ social ให้เป็นประโยชน์แล้วรวมกลุ่มผู้เสียหายให้ได้ อย่างน้อย 3-5 คน แล้วไปแจ้งความร่วมซึ่งทางภาษากฏหมายเรียกว่า class action จะทำให้เรื่องฟ้องมีน้ำหนักมากขึ้น ถ้ามีเพื่อนเป็นนักข่าว นัก social ให้ลากไปทำข่าวให้ด้วย เพราะจำไว้เลยว่าเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมไทยถ้า เรื่องไม่แดง กูไม่สน

3. บริษัท พวกนี้รวยครับ รวยบนสโลแกนประจำประเทศไทยที่ว่า "ไม่โกง ไม่รวย" เพราะฉะนั้นช่วยกันทำให้เรื่องนี้ได้เป็นที่รับรู้ครับ อย่าปล่อยให้พวกมันมาบ่อนทำลายชีวิตประชาชนในประเทศเราโดยการปล้นเงินสุจริตที่เราหามาอย่างยากลำบากทุกบาททุกสตางค์ ท่านคิดดูว่าในประเทศไทยจะมีคนบ้ากี่คนที่กัดไม่ปล่อยขนาดผม คนในประเทศทุกคนมีเส้นมีสายที่จะสั่งให้ตำรวจรับแจ้งความดำเนินคดี มีเส้นสายที่จะสั่งให้อัยการหยิบสำนวนมานั่งพิจารณาหรือ?

*P.S. การกระทำผิดนี้มันชัดเจนมากตรงที่หลังจากเรื่องแดงแล้ว

1. มันให้เจ้าหน้าที่ระดับ Supervisor โทรมาเพื่อคืนเงินในส่วนที่หักมาสี่งวด ผมถาม เงินมาจากไหน "อ๋อ ให้น้องเค้าชดใช้ครับ" ถรุ้ยยยย

2. มันส่งเจ้าหน้าที่ระดับผู้อำนวยการอาวุโส กับ ระดับผู้จัดการอีก 4 คนมาพบผมที่บริษัท พร้อมกระเช้าที่มี Starbucks Card มูลค่า 1,500 บาท บวกผลไม้นอกกับตุ๊กตา (ห่าเหว) อะไรไม่รู้ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5,000 บาทแน่มาให้ (บอกไปแล้วไงครับว่ามันรวย)

3. พอวิธีที่ 2. ไม่ได้ผลมันให้ผู้บริหารระดับผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการติดต่อมา คุยกัยอยู่ 2-3 สัปดาห์ วันละ 1-3 ชั่วโมง สุดท้ายจบที่ว่าเดี๋ยวกูเอาบัตรดูละครเวที (ที่แบงค์สีเขียวมันเป็นเจ้าของอยู่) ปิดปากแล้วกัน
 
 ไหน ไหน. . .  ใครบอกเงินหายากครับ โด่ ง่ายจะตาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่