💕👦🏽 THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#49 Week#14, 28 กย. - 2 ตค. "แต่งงานกับผมนะ" - ถุงมือ บ่อน้ำหลังเรือนหอ 👧🏽💕

กระทู้คำถาม
อมยิ้ม50
ถุงมือเรื่องสั้น สัปดาห์ที่ 14 เรื่องที่ 5 ครับ เป็นเรื่องความรักระหว่างผู้สูงอายุ ^^

เมื่อคุณยายของเด็กชายคนหนึ่ง กับคุณลุงคนหนึ่งผู้ซึ่งเป็นหม้ายมานานเกือบสิบปีจากการที่ภรรยาเสียชีวิตไปได้มาพบกัน คุณลุงคอยให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลคุณยายและเด็กชายอยู่เสมอมา ทำให้เกิดความรักความผูกพันธ์ต่อกันและกันโดยลำดับ จนกระทั่งมีวันหนึ่งเกิดสถานการณ์ซึ่งทำให้คุณลุงจำเป็นต้องจากไปอยู่ที่อื่น จึงถึงคราวต้องอำลา...

บทสรุปความรักของผู้สูงอายุทั้งสองจะลงเอยอย่างไร ติดตามกันดูครับ ^^ อมยิ้ม04หัวใจ

หัวใจ
                     วันนี้เป็นวันพระตรงกับวันเสาร์พอดี ผมกับยายเลือกไปวัดทุกวันเสาร์หรืออาทิตย์ เพื่อผมจะได้เดินไปกับยาย วันจันทร์ถึงศุกร์ผมไปโรงเรียน ยายก็จะไม่ไปวัดคนเดียว ยายบอกอยากมีเพื่อนเดินไปด้วย แต่ความจริงแล้วผมว่ายายหาเหตุผลมาอ้างให้ผมเข้าวัดด้วยมากกว่า

                      และวันนี้ก็เช่นกันผมกับยายอิ่มวัยห้าสิบปลาย ตื่นแต่เช้าตรู่ เดินเข้าครัวช่วยกันหุงหาอาหารไปทำบุญที่วัด  หน้าที่หุงข้าวจะเป็นของผม โดยเริ่มต้นจากการก่อไฟเตาอั้งโล่จนติด ก็รีบไปตักข้าวสวยในถังทาสีที่เป็นถังเก่าถูกนำมาล้างให้สะอาดแล้วเก็บใส่ข้าวสารแทน จากนั้นนำไปซาวน้ำทิ้งหนึ่งครั้ง เติมน้ำเข้าไปใหม่ให้ท่วมข้าวในหม้อพอประมาณก็ขึ้นตั้งเตา ผมนั่งเฝ้าหน้าเตาคอยเติมฟืนเข้าไปไม่ให้ไฟดับ

                      “กบเอาฟักทองไปปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นให้ยายหน่อย วันนี้ยายจะทำผัดฟักทองใส่ไข่ไปทำบุญ” ยายอิ่มหันมาคุยกับผมซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวของยาย ผมอายุสิบสองปี ที่ถูกแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งก็คือลูกสาวของยายทิ้งไปตั้งแต่แบเบาะ ยายเล่าว่าแม่ไปทำงานกรุงเทพฯ ได้ไม่ถึงสามปี ก็หอบผมมาให้ยายเลี้ยงบอกจะส่งเงินมาให้ใช้ทุกเดือนเป็นค่านมค่าอาหาร ให้ผมอยู่ด้วยไม่ได้เพราะต้องทำงาน  ทุกวันนี้ก็ส่งแต่เงินมาให้บางเดือน แต่ไม่เคยส่งใจกับกายมาเยี่ยมแม่กับลูกชายเลยสักครั้ง แม้กระทั่งวันเทศกาลวันหยุดยาวประจำปีก็ไม่เคยย่างกรายมาหา

                      “ครับยาย ความจริงวันนี้ยายน่าจะหยุดไปทำบุญสักวันนะครับยายยังไม่หายดี” ผมเดินไปหยิบเขียง มีด ถาดใส่ฟักทองครึ่งลูกมาจากยาย และก็เป็นห่วงเห็นยายไม่สบายเดินตากฝนกลับมาบ้าน หลังจากไปหาเห็ดในป่าบนภูเขาที่อยู่หลังบ้านไปสี่กิโลเมตรเมื่อสามวันก่อนแล้วยังไม่หายดี

                      “ยายไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อย่าลืมดูเตาด้วยนะเดี๋ยวไฟดับข้าวจะไม่สุกเอา”

                      “ไม่ลืมครับ ยายครับ ยายว่าวันนี้เราจะเจอกับ ลุงสงค์ อีกไหมครับยาย” ผมหมายถึง ชายสูงวัยคนหนึ่งอายุน่าจะมากกว่ายายอิ่มของผมสักสี่ห้าปี เป็นคนอีกหมู่บ้านหนึ่งชอบไปทำบุญที่วัดเดียวกันทุกวันเสาร์ ชื่อประสงค์ แต่ผมเรียกลุงว่า “ลุงสงค์” มักจะไปคนเดียว เคยเล่าให้ยายเขาฟังว่าลุงอยู่บ้านคนเดียว ภรรยาของลุงเสียชีวิตไปเมื่อแปดปีก่อนด้วยโรคมะเร็ง ลุงเคยทำงานรับราชการตอนนี้เกษียณแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรคนแก่มันก็เหงาเป็นเหมือนกัน เลยเลือกมาวัดแทน ส่วนลูกสาวสองคนก็โตจนออกเรือนไปอยู่กรุงเทพฯ กันทั้งคู่ นานทีก็จะมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง

                  ผมยังจำครั้งแรกที่ยายกับผมเจอลุงสงค์ได้ดี วันนั้นลุงสงค์ไปวัดที่ผมกับยายไปประจำ แต่ลุงสงค์เพิ่งจะไปครั้งแรก ผมกับยายไม่มีรถอาศัยตื่นแต่เช้าเดินไปตามถนนลูกรังสองฝั่งถนนเป็นทุ่งนาและป่าเขา แต่ก็จะไปถึงวัดทันตักข้าวใส่บาตรพระทุกครั้ง ขาไปใช้เวลาเดินทางชั่วโมงนิดหน่อย  ยายจะไม่ชวนคุยตั้งหน้าตั้งตาเดินกลัวจะไปถึงวัดสาย ส่วนขากลับยายจะพาผมแวะตลาดระหว่างทางกลับบ้าน ซื้อขนมถังแตกให้ผมกินทุกครั้ง ยายบอกว่าดีเหมือนกันที่ผมชอบกินขนมนี้ ถือว่ากินแก้เคล็ดขนมถังแตก ชีวิตของผมกับยายจะได้ไม่ถังแตกเพราะผมกินมันไปก่อนแล้ว

                     ในระหว่างทางเดินไปวัดจะมีทางแยกไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง เป็นทางรถใหญ่วิ่งผ่านไปได้เหมือนกัน  วันนั้นขากลับจากวัด ยายพาผมแวะตลาดซื้อขนมถังแตก ทั้งที่ท้องฟ้าเวลานี้มืดฟ้ามัวดินตั้งเค้ามาแต่ไกลว่าฝนตกหนักแน่นอน แต่ยายกลับปลอบใจผมว่า ฝนมันไม่ตกหรอกยายโดนธรรมชาติหลอกมาหลายครั้งแล้ว หากแต่ครั้งนี้ยายกับผมเจอของจริง ฝนตกยังกับฟ้ารั่ว โชคดีไม่มีเสียงฟ้าร้องตามมา  ผมกับยายตัดสินใจเดินกันต่อไปเปียกโชกสภาพเหมือนลูกแมวกับแม่แมวตกน้ำ เพื่อไปให้ถึงบ้านเร็วขึ้น ยายบอกเป็นห่วงไก่ขังไว้ในสุ่มใต้ถุนบ้าน ฝนตกเยอะขนาดนี้กลัวน้ำจะท่วมไก่เอา

                      ผมกับยายรีบเดินจ้ำอ้าวก้าวใหญ่ เกือบถึงทางแยกไปอีกหมู่บ้าน มีรถยนต์สีขาวคันหนึ่งขับช้าๆ ตัดหน้าผมกับยายไป แล้วจอดรอระหว่างทางแยก เรียกให้ผมกับยายขึ้นรถจะขับไปส่ง แต่ผมกับยายไม่กล้าขึ้นรถเพราะตัวเปียกฝน กลัวจะไปทำให้ภายในรถของเขาเปียกไปด้วย เจ้าของรถท่าทางใจดี ไม่ถือตัว ยอมเปียกฝนก้าวลงจากรถเดินมาเปิดประตูให้ผมกับยายขึ้นรถจนสำเร็จ ยายบอกทางมาบ้านฝนยังตกหนัก ยายชวนลุงสงค์ขึ้นบ้านไปก่อนเพราะฝนตกหนักมาก และลุงก็เปียกไปทั้งตัวเหมือนกันเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้  ตั้งแต่วันนั้นยายกับลุงสงค์ ก็กลายเป็นเพื่อนกัน 

                     ทุกวันเสาร์ ลุงสงค์จะขับรถมารอที่ทางแยก เพื่อพายายกับผมไปวัดด้วยกัน ลุงบอกจะมารับที่บ้านแต่ยายไม่ยอม บอกว่าไม่เหมาะสม เดี๋ยวชาวบ้านจะครหานินทาเอาได้

                     “ยายก็ไม่รู้เหมือนกัน เดี๋ยวเดินไปถึงก็รู้เอง รีบทำเข้าเดี๋ยวไปสาย” แวบหนึ่งผมเห็นยายกำลังยิ้มขณะหยิบปิ่นโตขึ้นมาเช็ดทำความสะอาด

                     “ครับยาย”

                     ผมกับยายเดินมาถึงถนนทางแยกเห็นรถยนต์สีขาวคุ้นตาจอดรออยู่ ผมแอบชำเลืองหันไปมองหน้ายายเห็นยายกำลังจ้องมองรถยนต์คันนั้นแล้วยิ้ม

                     “สวัสดีครับลุงสงค์ รอนานหรือยังครับ ?” ผมไหว้ลุงสงค์ทั้งที่ในมือยังถือปิ่นโต

                     “สวัสดีกบ ลุงเพิ่งมาจอดเมื่อกี้นี้เอง”

                     แต่ผมว่าลุงสงค์กำลังโกหก ผมแอบเอามือไปแตะฝากระโปรงหน้ารถ มันเย็นสนิท

                     “ขอบคุณที่รอรับนะคะ ความจริงฉันกับหลานเดินไปเองก็ได้ค่ะ” ยายขี้เกรงใจชอบพูดประโยคนี้ทุกครั้งที่เจอลุงสงค์

                     “ขึ้นรถเถอะครับ มัวแต่ยืนคุยกันเดี๋ยวไปไม่ทันใส่บาตรพระนะครับ” ลุงสงค์เปิดประตูรถทางด้านหลังให้ผมกับยายขึ้นไปบนรถเรียบร้อย แล้วเดินไปนั่งฝั่งคนขับสตาร์ทรถตรงไปวัด

                     ขณะที่ผมกับยายและลุงสงค์กำลังฟังพระท่านเทศนาธรรมอยู่ ลุงสงค์สังเกตเห็นยายหน้าตาดูซีดเซียวไม่สดชื่น ก็กระซิบถามผมแผ่วเบา 

                     “กบ วันนี้ยายเป็นอะไรหรือเปล่า ดูเงียบไปหน้าซีดเหมือนคนไม่สบาย ?”

                     “ครับ ความจริงยายไม่สบายมาสามวันแล้วครับ ยังไม่หายดี” ผมกระซิบตอบ

                     “แล้วไปหาหมอหรือยัง ?”

                     “ไม่ได้ไปครับ ยายไม่ยอมไป บอกทานยาอยู่บ้านเดี๋ยวก็หาย” ผมตอบลุงสงค์ไปตามความจริง ลุงสงค์พยักหน้ารับแล้วไม่พูดอะไรอีก หันไปตั้งใจฟังธรรมเทศนาต่อจนจบ กรวดน้ำรับศีลรับพรเสร็จเรียบร้อยก็พากันเดินกลับมาที่รถ จู่ๆ ยายก็มีอาการหน้ามืดเป็นลมล้มพับลงไป โชคดีที่ลุงสงค์เดินตามอยู่ทางด้านหลังรีบมาพยุงรับร่างของยายไว้ได้ทันก่อนจะถึงพื้น

                     “ยายครับ ยายเป็นอะไรครับ ?”ผมตกใจสุดขีดเขย่าร่างของยายนอนหลับไม่ได้สติไปแล้ว

                    “ยายอิ่ม เป็นอะไร ยายอิ่ม ?” ลุงสงค์รีบอุ้มยายเดินไปขึ้นรถ แล้วสั่งให้ผมหายาดมมาดูแลยาย ลุงสงค์บอกว่ายายคงจะเป็นลมไปเพราะพิษไข้ด้วยยายตัวร้อนจี๋ ต้องรีบพาไปโรงพยาบาล

                     หมอบอกว่ายายพักผ่อนน้อยและเป็นไข้ร่วมด้วยจึงทำให้เกิดภาวะช็อกเป็นลมในทันที ให้นอนพักหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาลสองคืนก็กลับบ้านได้ ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลลุงสงค์กับผมอยู่เฝ้ายายอย่างใกล้ชิด ดูลุงสงค์จะเป็นห่วงยายมากเป็นพิเศษ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดลุงสงค์ก็เป็นภาระจัดการออกให้เองทั้งหมด แต่ยายไม่ยอมบอกว่ากลับถึงบ้านแล้วจะคืนให้

                      ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาปีกว่าลุงสงค์ไม่ฟังคำสั่งของยาย ไม่ให้มาหาที่บ้านเกรงชาวบ้านจะเอาเรื่องของลุงสงค์กับยายไปนินทา แต่ลุงสงค์ก็มาที่บ้านเกือบทุกอาทิตย์ บอกเป็นห่วงยายอยู่กันเพียงสองคนกับผมกลัวจะเป็นลมไปอีก ทุกวันเสาร์ก็มารับผมกับยายไปวัดถึงหัวกระไดบ้าน ไม่ต้องเดินไปอีกเหมือนแต่ก่อน ผมว่าผมดูออกว่า ลุงสงค์รักยายของผมมาก  และยายผมก็รักลุงสงค์เหมือนกัน ผมเห็นยายชะเง้อมองไปทางถนนอยู่บ่อยครั้งคงหวังจะได้เห็นรถยนต์คันสีขาววิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน ผมแอบคิดในใจว่าถ้าลุงสงค์อยู่บ้านหลังนี้เลย ยายคงจะมีความสุขมากกว่านี้
  
                      แต่ใครจะรู้ว่าความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน หรือว่ามันก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

                     “ยายอิ่ม อีกสองวันลูกสาวคนเล็กจะมารับผมให้ไปช่วยเลี้ยงหลานที่กรุงเทพฯ นะ บอกไม่มีใครอยู่บ้านช่วยดูลูกให้เวลากลับจากโรงเรียน แม่บ้านก็มาลาออกกะทันหันหาใครไม่ทัน” ลุงสงค์นั่งคุยอยู่กับยายอิ่มบนชานบ้าน ผมฟังอยู่เงียบๆ แสร้งนั่งทำการบ้านอยู่อีกมุม

                     “จ้า ยังไงก็เดินทางปลอดภัยนะ” ยายตอบกลับไปสั้นๆ แต่ผมรู้ว่ายายกำลังเสียใจเหมือนกับผม

                     “กบ ลุงไม่อยู่ ดูแลยายให้ดีนะ” ลุงสงค์หันมาคุยกับผม

                     “ครับลุง แล้วลุงจะไปนานแค่ไหนครับ ?” ผมอดไม่ได้ที่จะถามแทนยายของผมคงอยากถามอยู่เหมือนกัน

                     “ลุงก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” น้ำเสียงของลุงดูเศร้าไม่มีความสุข

                     “ผมไม่มีอะไรจะให้ลุง นอกจากรูปใบนี้ ผมคงคิดถึงลุงมากเลยครับ” ผมหยิบรูปภาพขึ้นมามีผมยายและลุงสงค์ถ่ายรูปร่วมกันที่วัดจากกระเป๋านักเรียนมาใส่ในมือลุงสงค์

                     “ขอบใจมากนะกบ ลุงก็คงคิดถึงยายอิ่มกับกบเหมือนกัน” ลุงสงค์รับรูปจากมือผมแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะกลับ

                     “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำให้ฉันกับหลานนะคะ” ยายลุกขึ้นตามเดินมาสวมกอดลุงสงค์เป็นการบอกลากันครั้งสุดท้าย ผมเห็นภาพนี้ก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ ผมรู้เลยว่าการกระทำของลุงสงค์ที่ทำด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึกดี ด้วยความห่วงหาอาทร  ได้หล่อหลอมรวมกันกลายเป็นความรักของคนทั้งคู่ไปแล้ว

                     ผมกับยายยืนมองรถยนต์สีขาวขับเคลื่อนออกไปจากลานหน้าบ้านช้าๆ จนไกลลับตา จึงพากันเดินขึ้นบ้าน วันนี้ยายบอกยายไม่หิวข้าว รู้สึกปวดเมื่อยตามตัว ขอเข้าไปนอนก่อนให้ผมหาข้าวกินเอง ยายทำไว้ในตู้กับข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมยังยืนอยู่ที่เดิมเพราะผมรู้ว่ายายแอบเข้าไปร้องไห้ไม่ให้ผมเห็นมากกว่า

(มีต่อครับ) ^^
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
....................พ่อ กินข้าวหน่อยเถอะค่ะ ตั้งแต่พ่อมาอยู่กับอุ้ม ดูพ่อไม่มีความสุขเลยนะคะ” อุ้ม ลูกสาวคนเล็กของลุงประสงค์เดินเข้ามาคุยด้วยหน้าบ้าน เห็นนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกในมือถือรูปภาพเอาไว้ สายตาเหม่อมองออกไปภายนอกอย่างไร้จุดหมาย

                     “พ่อไม่หิว แกไปกินเถอะ” ลุงประสงค์ตอบกลับไปสั้นๆ ไม่ได้หันไปมองคนเดินมาทางด้านหลัง

                     “หนูรู้ว่าพ่อยังไม่หายโกรธหนู ที่หนูโกหกให้พ่อมาเลี้ยงหลาน แต่ความจริงหนูไปพรากพ่อมาจากยายอิ่ม แต่หนูหวังดีกับพ่อนะคะ พ่อรู้ไหมคราวที่หนูไปหาพ่อ ตอนหนูไปจ่ายตลาดคนทั้งตลาดนินทาแต่เรื่องของพ่อ บอกว่าพ่อถูกยายอิ่มวางยาเสน่ห์บ้าง แก่จนอายุปูนนี้ยังจะคิดไปมีเมียใหม่ บอกพ่อหลงยายอิ่มหัวปักหัวปำ นี่เงินของพ่อก็คงถูกยายอิ่มปอกลอกเอาไปหมดแล้วสิคะ...”

                      เพี๊ยะ!! ฝ่ามือใหญ่ฟาดไปบนใบหน้าลูกสาวคนเล็กในทันทีก่อนที่เธอจะพูดอะไรออกมาอีก

                     “แกจะว่าพ่อก็ว่ามา แต่อย่าไปว่าคนอื่นโดยที่แกไม่รู้ความจริง พ่อจะบอกแกเป็นครั้งสุดท้ายว่า ยายอิ่มไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น มันตรงข้ามกับที่แกได้ยินได้ฟังมาทั้งหมด เงินบาทเดียวยายอิ่มก็ไม่เคยเอาจากพ่อ พ่อเป็นฝ่ายเข้าหายายอิ่ม ถ้าคนที่คิดทำเสน่ห์คงเป็นพ่อมากกว่าที่จะทำ ยายอิ่มห้ามไม่ให้ไปหาพ่อก็ไม่ฟัง ยอมให้แกบ่นทุกครั้งเวลาพ่อไปหายายอิ่มที่บ้าน ถ้าแกไม่เชื่อพ่อแต่ไปเชื่อคนอื่นก็ตามใจแก พ่อจะไม่พูดกับแกอีกแล้ว” ลุงประสงค์ยืนตัวสั่น สีหน้ากราดเกรี้ยวโกรธให้ลูกสาวคนเล็กไม่ยอมฟังที่เขาเล่า ได้แต่ไปเชื่อบุคคลอื่นมากกว่าคนในครอบครัว นึกเสียใจตบหน้าลูกสาวตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ทนฟังเธอใส่ร้ายยายอิ่มเสียๆ หายๆ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยไม่ได้  แล้วเดินเลี่ยงเข้าบ้านตรงไปยังห้องนอนปิดประตูตามหลังเสียงดัง ปัง! ปล่อยให้อุ้มลุกสาวคนเล็กยืนนิ่งอยู่ที่เดิมร้องห่มร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                   ตั้งแต่วันนั้น ลุงประสงค์ กลายเป็นคนเงียบขรึม กินน้อย พูดน้อย และคนที่ลุงประสงค์ไม่คุยด้วยเลย แม้แต่หางตาลุงประสงค์ก็ไม่แล ทำเหมือนไม่เคยมีคนนี้เลยทั้งที่อยู่ในบ้านเดียวกัน คืออุ้ม ลูกสาวคนเล็ก คงไม่มีอะไรจะเจ็บปวดได้เท่านี้อีกแล้วสำหรับเธอ แต่เธอก็ยังไม่คิดแก้ไขปัญหา คิดว่าสิ่งที่เธอทำลงไปถูกต้อง สักวันพ่อจะเข้าใจว่าเธอรักพ่อมากแค่ไหน  ทุกวันลุงประสงค์จะออกมานั่งบนเก้าอี้โยกหน้าบ้านในมือถือรูปภาพไว้ตลอดเวลา ก้มมองภาพนั้นเป็นบางครั้งคิดถึงคนในภาพ มีน้ำใสอุ่นไหลผ่านแก้ม หยดลงบนภาพจนเป็นด่างอยู่หลายจุด

                      อยู่มาวันหนึ่ง ลุงประสงค์ล้มป่วยลงกะทันหัน ต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน โดยที่ในมือของลุงประสงค์ยังกำรูปภาพหนึ่งไว้แน่น หมอบอกว่า ลุงประสงค์มีร่างกายที่อ่อนแอมาก ขาดสารอาหารและมีภาวะซึมเศร้า ถ้ายังปล่อยไว้อยู่อย่างนี้ จะมีแต่แย่ลงเพราะเป็นอาการทางจิตใจมากกว่า

                      “อุ้ม พี่ว่าเราทำกับพ่อเกินเหตุแล้วนะ นี่เป็นชีวิตของพ่อ ไม่รู้พ่อจะอยู่กับเราได้อีกนานแค่ไหน  แม่ก็จากพ่อไปแล้ว พี่กับอุ้มต่างหากที่ทำผิดกับพ่อ ปล่อยให้พ่ออยู่บ้านนู้นคนเดียว พ่อคงอยากมีใครสักคนไว้คุย ปรึกษา ดูแลกันยามบั้นปลายชีวิต ซึ่งเราสองคนทำให้พ่อไม่ได้” แอมพี่สาวอุ้มนั่งคุยกันตรงโซฟาภายในห้องเฝ้าไข้

                       “พี่แอม แต่พ่ออายุปูนนี้แล้วนะ แล้วอีกอย่างยายอิ่มนั่นไม่รู้เป็นยังไง จะมาปอกลอกพ่อหรือเปล่าไม่รู้ อุ้มไม่อยากให้พ่อโดนหลอกตอนแก่นะพี่” อุ้มยังมุ่งมั่นในสิ่งตัวเองคิดว่าทำถูกต้อง

                       “ทำไมอุ้มไม่ยอมเชื่อพ่อ ตลอดชีวิตที่พ่อเลี้ยงเราสองคนมา พ่อเคยโกหกอุ้มไหม ?”

                       อุ้มนิ่งเงียบ ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้

                       อุ้มพูดเองว่าพ่ออายุปูนนี้ แล้วอุ้มไม่คิดว่าพ่อจะดูไม่ออกเหรอว่าใครเป็นยังไง และถ้ายายอิ่มเป็นอย่างที่อุ้มพูดจริง เงินนั่นก็เป็นเงินของพ่อที่พ่อหามาเอง ถ้ามันทำให้พ่อมีความสุขจนหมดตัวเพียงระยะเวลาอันสั้นก็ให้พ่อทำไปเถอะ หลังจากนั้นเราค่อยไปดูแลพ่อตอนที่พ่อเสียใจ อุ้มก็เห็นตอนนี้พ่อนับวันยิ่งแย่ลงทุกนาที หรือว่าอุ้มอยากเห็นพ่อจากไปโดยไม่มีความสุข พี่พูดได้แค่นี้ อุ้มโตแล้วเอาไปคิดเอง”   

                     ประโยคของแอม ทำให้คนนอนอยู่บนเตียงน้ำตาไหลหยดลงบนหมอน และทำให้อีกคนปล่อยโฮออกมา

                     “พ่อคะ หนูขอโทษ” อุ้มเดินไปที่ปลายเตียงคนไข้ ก้มลงกราบเท้าผู้บังเกิดเกล้า


+++++++++++++++++++++++



...................“ยายครับ มีคนมาหา” ผมตะโกนบอกยายจากหน้าบ้าน กำลังโปรยข้าวสารให้แม่ไก่กับลูกไก่เป็นอาหารเย็น เห็นรถยนต์สีขาวขับมาตามถนนมีฝุ่นฟุ้งตลบไล่หลังมาติดๆ ด้วยหัวใจฟูฟ่อง

                       “ใครมาเหรอกบ ?” ยายอิ่มเดินออกมาจากห้องครัว ยังถือตะหลิวอยู่ในมือ เห็นรถยนต์คันสีขาวคุ้นตากำลังขับเข้ามาจอดลานหน้าบ้าน ก็ยิ้มกว้าง ตื้นเต้นดีใจจนตะหลิวในมือหลุดร่วงหล่นลงพื้น

                       “ไปไงมาไงคะคุณ ?” ยายอิ่มรีบถามคนก้าวลงมาจากรถ

                       “เพิ่งมาถึง ว่าจะมาขอข้าวบ้านนี้กินหน่อย  กบ ลุงขอกินข้าวสักมื้อได้ไหม” ลุงสงค์หันมาถามผม

                       “สวัสดีครับลุงสงค์ ได้สิครับ ผมดีใจที่ได้เจอลุงอีก” ผมสวัสดีลุงสงค์ เดินเข้าไปสวมกอดลุงไว้  ในที่สุด หัวใจของยายก็กลับมาเสียที

                       อาหารมื้อนี้เป็นมื้อแรกที่ยายกินอิ่มและกินอย่างมีความสุข ตั้งแต่หัวใจของยายหายไปพร้อมกับลุงสงค์ ยายก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคน  พูดน้อย กินน้อย หน้าตาหมองเศร้า ผมแอบได้ยินยายนอนร้องไห้ตอนกลางคืนอยู่บ่อยครั้ง ผมสงสารยายไม่รู้จะช่วยยายยังไง ผมรู้แต่ว่า ลุงสงค์คนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้ยายกลับมาเหมือนเดิมได้

                      “กบ ถ้าลุงขอยายอิ่มของกบแต่งงาน กบจะว่าอะไรไหม ?” ลุงสงค์หันมาถามผม กำลังเดินลงบันไดไปตักน้ำในบ่อหลังบ้านมาใส่ในตุ่มไว้ให้ยายอาบน้ำ

                      “อะไรที่ยายมีความสุขผมก็มีความสุขครับ” ผมหันไปมองหน้ายาย ทำหน้าตกใจเห็นลุงสงค์พูดแบบนั้น แล้วยิ้มเดินลงบันได ปล่อยให้ยายกับลุงสงค์คุยกันลำพัง

                      “ยายอิ่ม แต่งงานกับผมนะ ผมไม่อยากรออะไรอีกแล้ว ผมอยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข” ผมยอมรับว่าผมนิสัยไม่ดีแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน แต่ผมอยากรู้ว่ายายจะตอบรับหรือปฏิเสธ

                      “คุณก็ แก่กันปูนนี้แล้วยังจะแต่งงานอีกเหรอคะ ทำพิธีทำบุญเล็กน้อยก็พอค่ะ” ยายอิ่มตอบกลับมาเสียงดังฟังชัด เพราะยายรู้ว่าผมแอบฟังอยู่ใต้ถุนบ้าน  แล้วเสียงของยายก็ดังมาอีกครั้ง  “กบ ไปตักน้ำได้แล้วเดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”

                      ผมไม่ตอบกลับ แต่รีบถือกระป๋องน้ำวิ่งไปยังบ่อน้ำหลังบ้านอย่างมีความสุข

.....The End…..




รายชื่อให้เลือกตอบ
1. Chi River
2. Christian Trevelyan Grey
3. KTHc
4. Ladylongleg - 2326325 (คุณเล็ก)
5. Lady Star 919 (น้องดาว)
6. Psycho G
7. Soul Master
8. TOSHARE - 5212378
9. WANG JIE (กรรมการ)
10. แจ๊คในสวนถั่ว
11. ดินสอสีน้ำ
12. นลินมณี
13. ป้ามล - 3650985
14. รัชต์สารินท์
15. ไร้นาม - 3842840
16. ลุงแผน
17. ลูนาติก
18. วนิล - 3188982
19. สวนดอก
20. สิงห์ริมถนน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่