ขออนุญาตฝากเพจด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/witweeraworld
*** กรุงลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงแห่งโปรตุเกส****
เมืองที่อยากกลับไปอีกที่สุด ประสบการณ์ #ไปชิมทาร์ตไข่ #ไปนั่งรถราง #เดินตามหลังโจรล้วงกระเป๋า
...จากแมดริด สู่ ลิสบอน...
(เกริ่น) ตอนนั้นราคาตั๋วรถไฟกับตั๋วเครื่องบินพอๆกันเลย แต่ด้วยความงกไง อยากประหยัดค่าโรงแรมไง กะว่าออกดึกๆถึงเช้าๆ เอาจริงๆก็อยากลองนั่งรถไฟ Renfe ด้วยแหละ อยากได้ความรู้สึกของการนั่งรถไฟข้ามประเทศไรงี้ไง เลยป้ายยาสุรัสให้นั่งรถไฟด้วยกัน พอถึงตอนขึ้นรถไฟต้องพาสุรัสวิ่งตาลีตาเหลือก หาชานชลาไม่เจอ ไอ้เรานี่ก็ไม่ได้คิดเผื่อเวลาเลย พอถึงรถไฟก็ขึ้นผิดโบกี้อีก วิ่งอี๊ก!! พอถึงที่นั่งเท่านั้นแหละ อาการหอบของเรากำเริบจ้า สุรัสก็ตกใจถามเราว่า “จะตายไหม” เราก็ตอบนางว่า “...กุหายใจไม่ออก” เสียงหายใจนี่หวี๊ดราวกับว่ามีใครมาเป่าปี่ในปอดของฉัน ไม่ได้พกยามาด้วยสิ มีแต่ยาหม่องของสุรัส ใช้ดมแทน แต่อาการก็ค่อยๆดีขึ้น กลับไปนี่คงต้องพบหมอศิริราชล่ะ..
อ่ะ
กลับมาต่อ ลิสบอนๆๆ
เป็นเวลากว่า 11 ชั่วโมง บนรถไฟ Renfe สายแมดริด-ลิสบอน (ทำไมในตารางบอก 8 ชั่วโมงว่ะ งงงมาก หรือฉันดูผิด ฮ่าๆ) ใครจะมาคราวหน้านั่งเครื่องบินนะฮะ จะได้ไม่เหนื่อย ฮ่าๆ
จนเวลาประมาณ 7 โมงเช้ากว่าๆ รถไฟพาเรามาถึงสถานี Lisboa Santa Apolónia (ที่จริงตีตั๋วลงสถานี Oriente แต่ดันนั่งเตลิด) พอลงจากรถไฟ เข้าห้องน้ำห้องท่า ทำธุระส่วนตัวเสร็จ เริ่มมาคิดละว่าจะเอายังไงต่อวะ สุรัสหา Wi-Fi สิ (ซิมทูไฟล์ของสุรัสใช้ไม่ได้ที่โปรตุเกส) เปิดกูเกิลสิรออะไร จะไปที่พักยังไง จะไปเที่ยวไหนดี ต้องบอกก่อนเลยว่าทั้งเราและสุรัสต่างไม่มีไอเดียอะไรเกี่ยวกับการเที่ยวลิสบอน หรือ โปรตุเกสมาก่อนเลย ไอ้ความรู้ประวัติศาสตร์หรอ หึ ไม่มี รู้จักแต่เพียงทาร์ตไข่และก็ท้าวทองกีบม้า ส่วนที่มาเนี่ยเพราะมีครูที่สอนภาษาสเปนท่านนึงเคยเล่าให้ฟังว่าลิสบอนเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในยุโรปอีกเมืองนึง เลยอยากรู้ว่ามันจริงหรอ มันใช่หรอ แต่นี่แค่เริ่มต้น เดี๋ยวลองดูเผื่อจะดี อิอิ
การเดินทางภายในลิสบอนด้วยรถสาธารณะค่อนข้างสะดวกและถูกมาก เรานั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน (Metro) จากสถานี Lisboa Santa Apolonia มาลง Avenida น่าจะ1 ยูโรนิดนะๆ มั้ง ก็หลายสถานีอยู่นะ แต่ที่เราชอบมากคือรถราง ชอบมาก คือซอยแคบๆทางแคบๆใครไม่วิ่งแต่รถรางวิ่งจ่ะ นึกภาพรถรางวิ่งขึ้นเนินเขานะแล้วหันหลังกลับมาเธอจะเห็นตึกราบ้านช่องสไตล์โปรตุกี๊ส บวกฉากหลังเป็นแม่น้ำ Tagus แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในแถบคาบสมุทรไอบีเรีย วิวสวย มีความคลาสสิกมาก เหมาะฮิปเตอร์มาถ่ายรูปคูลๆนะเธอ ค่าโดยสารก็ถูกมาก เราซื้อพาสแบบ 24 ชม. ราคาแค่ 6 ยูโร (ตอนปี 2017 นะ ถ้าใครจะไปให้เช็คราคาอีกที)
********************************************************
ส่วนที่พัก (เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้) เราจองผ่านบุ๊คกิ้ง เลือกพักที่ Nations Hostel พัก 2 คืน เป็นห้องพักแบบ Quadruple Room ห้องน้ำรวม มี 4 เตียง แต่เราพักกับสุรัสแค่ 2 คน เป็น Hostel ที่ราคาถูกและสะอาด รวมอาหารเช้าแล้ว ทั้งหมดอยู่ที่ 56 Euro หรือ คิดเป็นเงินไทยตอนนั้น ประมาณ 2,0XX บาท หารกันแล้ว ตกคนละ 500~ ต่อคน/คืน แต่ข้อเสียของที่พักแห่งนี้คือ ห่างจาก Metro สถานี Avenida ประมาณ 500 เมตร ซึ่งถือว่าไม่ได้ไกลมากสำหรับการเดินบนพื้นราบ แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศของลิสบอนเป็นแบบเนินเขาและค่อนข้างชัน ต้องออกแรงแบกและลากกระเป๋านิดนึง กว่าจะถึงแทบเป็นลม อ่อ อีกอย่างนึงคือ คนที่เป็นรีเซ็ปชั่นค่อนข้างไบโพล่านิดนึง คือเรามาเช็คอินเร็ว เลยรบกวนเวลากินข้าวนาง นางเลยหงุดหงิดใส่ สักพักค่อยมาขอโทษแล้วพูดดีมาก จากหน้ามือเป็นหลัง...มือ เฮ้อ
ใกล้ๆที่พัก มีร้านกาแฟอยู่ร้านนึง พอได้อยู่สำหรับมื้อเช้า เป็นมื้อแรกที่ได้ชิมทาร์ตไข่โปรตุเกสจริงๆ ซึ่งรสชาติก็โอเคนะ ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้ต่างจากทาร์ตไข่แม็คโดนัลบ้านเราเท่าไหร่นะ แต่ตอนสั่งนี่ยุ่งยากนิดนึงเพราะลุงคนขายไม่พูดอังกฤษ ต้องใช้ภาษากายชี้ไม้ชี้มือเอา
เสร็จจากร้านกาแฟก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูปชมวิวในเมือง Alfama คือย่านสำคัญอีกย่านที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูป และเราก็ไม่พลาดเช่นกัน เราสามารถนั่งรถรางขึ้นไปได้ ผ่านจุดชมวิว แวะถ่ายรูปแปปนึง อย่างที่บอกว่าด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนิน มองจากจุดชมวิวลงมาจะเห็นอาคารบ้านเรือนที่มีสีหลังคาคุมโทนส้มน้ำตาล(เหมือนนัดกันซื้อกระเบื้องหลังคาพร้อมกัน) แบล็คกราวเป็นแม่น้ำ Tagus ที่กำลังไหลออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก
********************************
มื้อเย็นนี้มีเจ้าถิ่นพาไปทานอาหารพื้นเมือง เขาคือคุณป้ามาเรีย อดีตผู้โดยสารของสุรัส ที่สุรัสเคยเทคแคร์ ป้าแกก็อุตส่าห์ขับรถพาไปทานมื้อเย็นแล้วต่อด้วยขับรถชมวิถีชีวิตยามค่ำของชาวเมืองลิสบอน
เช้าวันที่สอง วันนี้เราตั้งใจจะแวะออกไปสูดอากาศชานเมืองสักหน่อย เพิ่งหาข้อมูลเมื่อคืนที่ผ่านมาว่ามีเมืองนึงอยู่ไม่ไกลจากลิสบอนมากนัก นั่นก็คือซินตรา (Sintra) เราเองเคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาบ้างแล้วสมัยตอนทำงานวีซ่าสเปน มีบริษัททัวร์ที่ยืนวีซ่ามักจัดทริปสเปน-โปรตุเกส แล้วมักจะพ่วงซินตราเข้ามาด้วยเสมอ ซินตราคืออีกเมืองนึงที่มีอาคารสิ่งก่อสร้างที่สวยงามจนได้รับให้เป็นเมืองมรกดโลกของ ยูเนสโก ในปี 1995 และถือเป็นอีกจุดที่ต้องมาเยือนถ้ามาโปรตุเกส พอดูจากข้อมูลที่หามา เราเลยคิดว่ามันน่าจะสวย นะ
ใช้เวลานั่งรถไฟประมาณ 40 นาทีจากลิสบอน ถึง ซินตรา ใกล้ๆสถานีรถไฟ จะมีบริษัทขายทัวร์แบบ Hop-on Hop-off พาเราขึ้นไปยังจุดต่างต่างๆ จุดหลักๆที่เราเลือกก็จะมีพระราชวังแห่งชาติเปนา พระราชวังมรดกโลกสุดแสนโรแมนติกสร้างแบบศิลปะจินตนิยมบนยอดเขาซินตรา เขาบอกว่าถ้าวันไหนท้องฟ้าสว่างสามารถมองเห็นตัวพระราชวังได้จากลิสบอนเลย กับอีกที่นึงไม่ไกลกันมาก คือปราสารทมัวร์ สร้างโดยชาวแขกมัวร์ในศตวรรษที่ 8-9 ซึ่งภายหลังตกเป็นของกองทัพชาวคริสต์ ในปี และยังมีหลายเส้นทางให้เลือกนะ ส่วนทัวร์ของเรา เราจำราคาไม่ได้ ไม่แน่ใจว่า 5 หรือ 10 ยูโร ไม่แพงแต่ไม่รวมค่าเข้าปราสาทมัวร์
เย็นวันนี่สอง หลังจากกลับถึงลิสบอน จากสถานีรถไฟเรากำลังเดินกลับที่พัก มีกลุ่มครอบครัวฝรั่งบ้านนึงสี่คนประกอบด้วยชายสูงวัยคนนึงและผู้หญิงอีกสามคนเดินนำหน้าเรา ขณะที่กำลังเดินอย่างสบายใจอยู่นั้น มีพี่ชายกล้ามปูหน้าตาลาตินสองคนเดินสวนกับเราและกลุ่มฝรั่งบ้านนั้น ขณะที่สวนกันพอดี ทันใดนั้นพี่ชายก็วกกลับเดินตามหลังฝรั่งบ้านนั้นทันที โดยสุรัสบอกว่า “อิผู้ชายสองคนนี้
ชอบผู้หญิงในกลุ่มนั้นป่าววะ มันคงเดิมตามไปขอเบอร์แน่ๆ” เหอะๆใช่ที่ไหนละ หึหึ ไอ้ผู้ชายคนนึงแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยเดินไปด้วย แต่อีกคนกำลังใช้วิชามือเบาจะล้วงประเป๋าผู้หญิง ส่วนเรากับสุรัสเห็นจะๆคาตา ตกใจทำไรไม่ถูก พูดกับสุรัสว่า ปามดูสิมันจะล้วงกระเป๋าเขา เอาไงดี ถ้าจะบอกเขาก็กลัว กลัวพี่ชายสองคนนั้นกระทืบ แต่โชคดีครั้งแรกล้วงไม่สำเร็จ และเหมือนฝรั่งกลุ่มนั้นเริ่มรู้ตัวละ เดินจ้ำเลยจ้า แต่พ่อหนุ่มสองตัวก็ไม่ลดความพยายาม เดินตามติดเลยจ้า เรากับสุรัส ได้แต่ยืนมองฝรั่งกลุ่มนั้นเดินลับไปพร้อมชายหนุ่มกล้ามปูสองคนนั้น โดยไม่รู้ชะตากรรมว่าสรุปแล้วรอดไหม ส่วนเราเดินจิตตกกอดกระเป๋าแน่นกลับที่พัก
หมดวันที่สองของเราแล้ว เราใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่ซินตรา กว่าจะกลับถึงลิสบอนก็เย็นพอดี ต้องไปหาข้าวกินละ เดี๋ยวต้องรีบกลับไปเก็บของเตรียมเดินทางต่อไปอัมสเตอร์ดัม เสียดายมีเวลาน้อยไป อยากกลับมาอีก ชอบเมืองนี้มากค่าครองชีพก็ไม่แพง มาตำนะเธอ มาๆ
Lisbon & Sintra เมืองที่อยากกลับไปอีกที่สุด ประสบการณ์ #ไปชิมทาร์ตไข่ #ไปนั่งรถราง #เดินตามหลังโจรล้วงกระเป๋า
*** กรุงลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงแห่งโปรตุเกส****
เมืองที่อยากกลับไปอีกที่สุด ประสบการณ์ #ไปชิมทาร์ตไข่ #ไปนั่งรถราง #เดินตามหลังโจรล้วงกระเป๋า
...จากแมดริด สู่ ลิสบอน...
(เกริ่น) ตอนนั้นราคาตั๋วรถไฟกับตั๋วเครื่องบินพอๆกันเลย แต่ด้วยความงกไง อยากประหยัดค่าโรงแรมไง กะว่าออกดึกๆถึงเช้าๆ เอาจริงๆก็อยากลองนั่งรถไฟ Renfe ด้วยแหละ อยากได้ความรู้สึกของการนั่งรถไฟข้ามประเทศไรงี้ไง เลยป้ายยาสุรัสให้นั่งรถไฟด้วยกัน พอถึงตอนขึ้นรถไฟต้องพาสุรัสวิ่งตาลีตาเหลือก หาชานชลาไม่เจอ ไอ้เรานี่ก็ไม่ได้คิดเผื่อเวลาเลย พอถึงรถไฟก็ขึ้นผิดโบกี้อีก วิ่งอี๊ก!! พอถึงที่นั่งเท่านั้นแหละ อาการหอบของเรากำเริบจ้า สุรัสก็ตกใจถามเราว่า “จะตายไหม” เราก็ตอบนางว่า “...กุหายใจไม่ออก” เสียงหายใจนี่หวี๊ดราวกับว่ามีใครมาเป่าปี่ในปอดของฉัน ไม่ได้พกยามาด้วยสิ มีแต่ยาหม่องของสุรัส ใช้ดมแทน แต่อาการก็ค่อยๆดีขึ้น กลับไปนี่คงต้องพบหมอศิริราชล่ะ..
อ่ะ
กลับมาต่อ ลิสบอนๆๆ
เป็นเวลากว่า 11 ชั่วโมง บนรถไฟ Renfe สายแมดริด-ลิสบอน (ทำไมในตารางบอก 8 ชั่วโมงว่ะ งงงมาก หรือฉันดูผิด ฮ่าๆ) ใครจะมาคราวหน้านั่งเครื่องบินนะฮะ จะได้ไม่เหนื่อย ฮ่าๆ
จนเวลาประมาณ 7 โมงเช้ากว่าๆ รถไฟพาเรามาถึงสถานี Lisboa Santa Apolónia (ที่จริงตีตั๋วลงสถานี Oriente แต่ดันนั่งเตลิด) พอลงจากรถไฟ เข้าห้องน้ำห้องท่า ทำธุระส่วนตัวเสร็จ เริ่มมาคิดละว่าจะเอายังไงต่อวะ สุรัสหา Wi-Fi สิ (ซิมทูไฟล์ของสุรัสใช้ไม่ได้ที่โปรตุเกส) เปิดกูเกิลสิรออะไร จะไปที่พักยังไง จะไปเที่ยวไหนดี ต้องบอกก่อนเลยว่าทั้งเราและสุรัสต่างไม่มีไอเดียอะไรเกี่ยวกับการเที่ยวลิสบอน หรือ โปรตุเกสมาก่อนเลย ไอ้ความรู้ประวัติศาสตร์หรอ หึ ไม่มี รู้จักแต่เพียงทาร์ตไข่และก็ท้าวทองกีบม้า ส่วนที่มาเนี่ยเพราะมีครูที่สอนภาษาสเปนท่านนึงเคยเล่าให้ฟังว่าลิสบอนเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในยุโรปอีกเมืองนึง เลยอยากรู้ว่ามันจริงหรอ มันใช่หรอ แต่นี่แค่เริ่มต้น เดี๋ยวลองดูเผื่อจะดี อิอิ
การเดินทางภายในลิสบอนด้วยรถสาธารณะค่อนข้างสะดวกและถูกมาก เรานั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน (Metro) จากสถานี Lisboa Santa Apolonia มาลง Avenida น่าจะ1 ยูโรนิดนะๆ มั้ง ก็หลายสถานีอยู่นะ แต่ที่เราชอบมากคือรถราง ชอบมาก คือซอยแคบๆทางแคบๆใครไม่วิ่งแต่รถรางวิ่งจ่ะ นึกภาพรถรางวิ่งขึ้นเนินเขานะแล้วหันหลังกลับมาเธอจะเห็นตึกราบ้านช่องสไตล์โปรตุกี๊ส บวกฉากหลังเป็นแม่น้ำ Tagus แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในแถบคาบสมุทรไอบีเรีย วิวสวย มีความคลาสสิกมาก เหมาะฮิปเตอร์มาถ่ายรูปคูลๆนะเธอ ค่าโดยสารก็ถูกมาก เราซื้อพาสแบบ 24 ชม. ราคาแค่ 6 ยูโร (ตอนปี 2017 นะ ถ้าใครจะไปให้เช็คราคาอีกที)
ส่วนที่พัก (เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้) เราจองผ่านบุ๊คกิ้ง เลือกพักที่ Nations Hostel พัก 2 คืน เป็นห้องพักแบบ Quadruple Room ห้องน้ำรวม มี 4 เตียง แต่เราพักกับสุรัสแค่ 2 คน เป็น Hostel ที่ราคาถูกและสะอาด รวมอาหารเช้าแล้ว ทั้งหมดอยู่ที่ 56 Euro หรือ คิดเป็นเงินไทยตอนนั้น ประมาณ 2,0XX บาท หารกันแล้ว ตกคนละ 500~ ต่อคน/คืน แต่ข้อเสียของที่พักแห่งนี้คือ ห่างจาก Metro สถานี Avenida ประมาณ 500 เมตร ซึ่งถือว่าไม่ได้ไกลมากสำหรับการเดินบนพื้นราบ แต่ด้วยลักษณะภูมิประเทศของลิสบอนเป็นแบบเนินเขาและค่อนข้างชัน ต้องออกแรงแบกและลากกระเป๋านิดนึง กว่าจะถึงแทบเป็นลม อ่อ อีกอย่างนึงคือ คนที่เป็นรีเซ็ปชั่นค่อนข้างไบโพล่านิดนึง คือเรามาเช็คอินเร็ว เลยรบกวนเวลากินข้าวนาง นางเลยหงุดหงิดใส่ สักพักค่อยมาขอโทษแล้วพูดดีมาก จากหน้ามือเป็นหลัง...มือ เฮ้อ
ใกล้ๆที่พัก มีร้านกาแฟอยู่ร้านนึง พอได้อยู่สำหรับมื้อเช้า เป็นมื้อแรกที่ได้ชิมทาร์ตไข่โปรตุเกสจริงๆ ซึ่งรสชาติก็โอเคนะ ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้ต่างจากทาร์ตไข่แม็คโดนัลบ้านเราเท่าไหร่นะ แต่ตอนสั่งนี่ยุ่งยากนิดนึงเพราะลุงคนขายไม่พูดอังกฤษ ต้องใช้ภาษากายชี้ไม้ชี้มือเอา
เสร็จจากร้านกาแฟก็ไปเดินเล่น ถ่ายรูปชมวิวในเมือง Alfama คือย่านสำคัญอีกย่านที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูป และเราก็ไม่พลาดเช่นกัน เราสามารถนั่งรถรางขึ้นไปได้ ผ่านจุดชมวิว แวะถ่ายรูปแปปนึง อย่างที่บอกว่าด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเนิน มองจากจุดชมวิวลงมาจะเห็นอาคารบ้านเรือนที่มีสีหลังคาคุมโทนส้มน้ำตาล(เหมือนนัดกันซื้อกระเบื้องหลังคาพร้อมกัน) แบล็คกราวเป็นแม่น้ำ Tagus ที่กำลังไหลออกสู่มหาสมุทรแอตแลนติก
********************************
มื้อเย็นนี้มีเจ้าถิ่นพาไปทานอาหารพื้นเมือง เขาคือคุณป้ามาเรีย อดีตผู้โดยสารของสุรัส ที่สุรัสเคยเทคแคร์ ป้าแกก็อุตส่าห์ขับรถพาไปทานมื้อเย็นแล้วต่อด้วยขับรถชมวิถีชีวิตยามค่ำของชาวเมืองลิสบอน
เช้าวันที่สอง วันนี้เราตั้งใจจะแวะออกไปสูดอากาศชานเมืองสักหน่อย เพิ่งหาข้อมูลเมื่อคืนที่ผ่านมาว่ามีเมืองนึงอยู่ไม่ไกลจากลิสบอนมากนัก นั่นก็คือซินตรา (Sintra) เราเองเคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาบ้างแล้วสมัยตอนทำงานวีซ่าสเปน มีบริษัททัวร์ที่ยืนวีซ่ามักจัดทริปสเปน-โปรตุเกส แล้วมักจะพ่วงซินตราเข้ามาด้วยเสมอ ซินตราคืออีกเมืองนึงที่มีอาคารสิ่งก่อสร้างที่สวยงามจนได้รับให้เป็นเมืองมรกดโลกของ ยูเนสโก ในปี 1995 และถือเป็นอีกจุดที่ต้องมาเยือนถ้ามาโปรตุเกส พอดูจากข้อมูลที่หามา เราเลยคิดว่ามันน่าจะสวย นะ
ใช้เวลานั่งรถไฟประมาณ 40 นาทีจากลิสบอน ถึง ซินตรา ใกล้ๆสถานีรถไฟ จะมีบริษัทขายทัวร์แบบ Hop-on Hop-off พาเราขึ้นไปยังจุดต่างต่างๆ จุดหลักๆที่เราเลือกก็จะมีพระราชวังแห่งชาติเปนา พระราชวังมรดกโลกสุดแสนโรแมนติกสร้างแบบศิลปะจินตนิยมบนยอดเขาซินตรา เขาบอกว่าถ้าวันไหนท้องฟ้าสว่างสามารถมองเห็นตัวพระราชวังได้จากลิสบอนเลย กับอีกที่นึงไม่ไกลกันมาก คือปราสารทมัวร์ สร้างโดยชาวแขกมัวร์ในศตวรรษที่ 8-9 ซึ่งภายหลังตกเป็นของกองทัพชาวคริสต์ ในปี และยังมีหลายเส้นทางให้เลือกนะ ส่วนทัวร์ของเรา เราจำราคาไม่ได้ ไม่แน่ใจว่า 5 หรือ 10 ยูโร ไม่แพงแต่ไม่รวมค่าเข้าปราสาทมัวร์
เย็นวันนี่สอง หลังจากกลับถึงลิสบอน จากสถานีรถไฟเรากำลังเดินกลับที่พัก มีกลุ่มครอบครัวฝรั่งบ้านนึงสี่คนประกอบด้วยชายสูงวัยคนนึงและผู้หญิงอีกสามคนเดินนำหน้าเรา ขณะที่กำลังเดินอย่างสบายใจอยู่นั้น มีพี่ชายกล้ามปูหน้าตาลาตินสองคนเดินสวนกับเราและกลุ่มฝรั่งบ้านนั้น ขณะที่สวนกันพอดี ทันใดนั้นพี่ชายก็วกกลับเดินตามหลังฝรั่งบ้านนั้นทันที โดยสุรัสบอกว่า “อิผู้ชายสองคนนี้ชอบผู้หญิงในกลุ่มนั้นป่าววะ มันคงเดิมตามไปขอเบอร์แน่ๆ” เหอะๆใช่ที่ไหนละ หึหึ ไอ้ผู้ชายคนนึงแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยเดินไปด้วย แต่อีกคนกำลังใช้วิชามือเบาจะล้วงประเป๋าผู้หญิง ส่วนเรากับสุรัสเห็นจะๆคาตา ตกใจทำไรไม่ถูก พูดกับสุรัสว่า ปามดูสิมันจะล้วงกระเป๋าเขา เอาไงดี ถ้าจะบอกเขาก็กลัว กลัวพี่ชายสองคนนั้นกระทืบ แต่โชคดีครั้งแรกล้วงไม่สำเร็จ และเหมือนฝรั่งกลุ่มนั้นเริ่มรู้ตัวละ เดินจ้ำเลยจ้า แต่พ่อหนุ่มสองตัวก็ไม่ลดความพยายาม เดินตามติดเลยจ้า เรากับสุรัส ได้แต่ยืนมองฝรั่งกลุ่มนั้นเดินลับไปพร้อมชายหนุ่มกล้ามปูสองคนนั้น โดยไม่รู้ชะตากรรมว่าสรุปแล้วรอดไหม ส่วนเราเดินจิตตกกอดกระเป๋าแน่นกลับที่พัก
หมดวันที่สองของเราแล้ว เราใช้เวลาทั้งวันอยู่ที่ซินตรา กว่าจะกลับถึงลิสบอนก็เย็นพอดี ต้องไปหาข้าวกินละ เดี๋ยวต้องรีบกลับไปเก็บของเตรียมเดินทางต่อไปอัมสเตอร์ดัม เสียดายมีเวลาน้อยไป อยากกลับมาอีก ชอบเมืองนี้มากค่าครองชีพก็ไม่แพง มาตำนะเธอ มาๆ