*** สิบเรื่องพีคๆ ของเจ้าชายบินซัลมา ***

เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน หรือรัชทายาทของราชบัลลังค์ซาอุดิอาระเบียคนปัจจุบัน เป็นผู้ที่มีความพีคในหลายด้าน ดังจะนำ 10 เรื่องหลักๆ มาเล่า บางเรื่องในนี้เป็นการวิเคราะห์ที่เชื่อถือกันแพร่หลาย แต่รัฐบาลซาอุฯ ไม่ยอมรับ แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ในจำนวนนี้ประกอบด้วย เรื่องที่ย้อนแย้งที่สุด (เรื่องที่หนึ่ง) เรื่องที่คิกขุที่สุด (เรื่องที่ห้า) เรื่องที่บ้าบอที่สุด (เรื่องที่แปด) และเรื่องที่โหดที่สุด (เรื่องที่สิบ)

เจ้าชายบินซัลมาน มีชื่อเสียงว่าเป็นผู้นำที่ทะเยอทะยาน และเชื่อมั่นในตนเอง

เขาขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจในประเทศซาอุดิอาระเบีย ด้วยวัยเพียง 33 ปี โดยเชื่อว่าเขาอยู่เบื้องหลังบิดา หรือกษัตริย์ซัลมานซึ่งป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ 
 
ก่อนจะเล่าเรื่องของเขา ผมขอเกริ่นถึงเรื่องของซาอุดิอาระเบีย ราชอาณาจักรซึ่งมั่งคั่ง และเป็นผู้นำโลกอาหรับในหลายๆ ความหมายก่อน 

ประการแรก ซาอุฯ ปกครองเมืองมักกะห์และมะดีนะห์ ซึ่งเป็นเมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาอิสลาม ทุกปีมีชาวมุสลิมนับล้านเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นี่ 

ในขณะเดียวกันซาอุฯ ก็เป็นผู้เผยแพร่หลักๆ ของลัทธิสะลาฟีย์/วะฮาบีย์ ซึ่งเป็นแนวทางอิสลามสุดเคร่ง แม้ตัวมันไม่รุนแรง แต่มีกลุ่มสุดโต่งหลายกลุ่มดัดแปลงไปใช้ก่อความรุนแรง และก็เป็นลัทธิที่นับถือกันแพร่หลายในคาบสมุทรอาระเบีย 

พลังของทรัพยากรน้ำมันทำให้ซาอุฯ ร่ำรวยมหาศาล ประมาณว่าราชวงศ์ซาอุฯ มีทรัพย์สินกว่า 46 ล้านล้านบาท 

ชาวซาอุฯ มีความเป็นอยู่สุขสบาย ได้รับสวัสดิการดีเยี่ยม เงินเดือนเหยียบหลักแสนไม่ยาก (ขณะที่คนไทยมีเงินเดือนเฉลี่ยคนละหมื่นสี่) 

พวกเขาไม่ต้องทำงานหนักก็มีกินมีใช้เหลือเฟือ แรงงานส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชียใต้ เวลาผมอ่านข่าวประเทศซาอุฯ จะมีเรื่องของคนปากีสถานเยอะมาก คือถ้าไม่ใช่มีคนรวยซาอุไปแกล้งชาวปากีฯ อย่างโหดร้าย ก็จะมีคนใจบุญไปเอาเงินบริจาคชาวปากีฯ อย่างป๋าๆ ก็ไม่รู้มันอะไรกับคนปากีฯ นักหนา 

ความร่ำรวยทำให้ซาอุฯ มีเสถียรภาพสูง ประชาชนไม่ค่อยคิดต่อว่าอะไรรัฐบาล แม้จะอยู่ใต้กฎหมายอิสลามเคร่งครัด ห้ามผู้หญิงขับรถ และไม่มีโรงหนัง (เพราะเป็นของพวกตะวันตกอันชั่วร้ายผิดผี) ...แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปหลังจากนี้แหละ... 

นั่นคือ "เรื่องพีคที่ 1" หรือการขึ้นสู่อำนาจของบินซัลมาน ก่อนที่จะได้เป็นเจ้าชายรัชทายาทนั้น ตำแหน่งดังกล่าวเคยตกกับเจ้าชายบินนาเยฟซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขามาก่อน (อธิบายว่าเนื่องจากต้นวงศ์ซาอุฯ มีลูกหลายคน การสืบสันตติวงศ์จะใช้วิธีสืบทอดจากพี่สู่น้อง และลุงสู่หลานมากกว่า "พ่อสู่ลูก" เพื่อให้พี่น้องทุกๆ สายได้ผลัดกันเป็นกษัตริย์ ดังนั้นรัชทายาทของกษัตริย์ซัลมาน จึงเคยเป็นหลานมาก่อน) 

แต่เมื่อปี 2017 เชื่อว่าบินซัลมานได้ฝ่าฝืนประเพณี โดยจับบินนาเยฟขัง และข่มขู่จนยอมประกาศมอบตำแหน่งรัชทายาทแก่ตนเอง 

หลังจากได้อำนาจแล้วบินซัลมานก็กวาดล้างคู่แข่งทางการเมือง โดยจับเจ้าชายหลายคนขังในโรงแรมริตซ์ คาร์ลตันอันหรูหรา (ก็คนมันรวย คุกก็ต้องหรูด้วย) 

บินซัลมานอ้างว่าทำเพื่อปราบคอรัปชันร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งทำให้มีคนหมั่นไส้เขาหลายคน เพราะก่อนหน้านี้ เขาเคยซื้อเรือยอร์ชราคา 16,000 ล้านบาท 

และใช้เงิน 15,000 ล้านบาทซื้อรูปภาพโบราณ ...แหมรวยปกติจริงๆ 


เรื่องพีคที่ 2 เป็นที่รู้กันว่าซาอุดิอาระเบียสวามิภักดิ์อเมริกามาตลอด 

  
แต่บินซัลมานยกระดับสิ่งนั้นขึ้นอีก เขาสวามิภักดิ์ทรัมป์อย่างออกนอกหน้า ทั้งยังใช้เงินมหาศาลซื้ออาวุธจากอเมริกามากกว่าประเทศอื่นใดในโลกซื้อ 

นอกจากนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าชาวมุสลิมมักเกลียดประเทศอิสราเอล จนพลอยเกลียดอเมริกาที่สนับสนุนอิสราเอลด้วย ส่วนหนึ่งก็เพราะอิสราเอลไปรังแกชาวปาเลสไตน์จริงๆ 

แต่บินซัลมานยกระดับความรักยิวอย่างไม่เคยมีมาก่อน ครั้งหนึ่งเขาให้สัมภาษณ์กับกลุ่มยิวว่า "ปาเลสไตน์จะต้องยอมรับข้อตกลงสันติภาพ หรือไม่ก็หุบปากไปซะ!"
...เช็ดโด้... 

เรื่องพีคที่ 3 บินซัลมานได้สร้างชื่อเสียงความเป็น "นักปฏิรูป" โดยอนุญาตให้ผู้หญิงขับรถได้ 

และลดอำนาจตำรวจศาสนา ไม่ให้จับกุมคนได้ง่ายๆ อีก 

มีคนบอกว่าเขาต้องการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย แต่ก็มีการวิเคราะห์ว่าเขาพยายามลดอำนาจของ "ฝ่ายศาสนา" ในซาอุฯ ลง 

แต่ไหนแต่ไรประเทศซาอุฯ ถูกปกครองด้วยสองขั้วอำนาจ คือฝ่ายราชวงศ์ และฝ่ายศาสนา โดยกษัตริย์ให้อำนาจพวกนักการศาสนาในการออกกฏหมายตามแนวทางสุดโต่ง (เช่นห้ามผู้หญิงขับรถ หรือห้ามมีโรงหนัง) ส่วนนักการศาสนาตอบแทนโดยสนับสนุนให้ประชาชนเชื่อฟังระบบกษัตริย์ (จะเห็นว่าไม่ค่อยมีฝ่ายศาสนาออกมาโวยวาย แม้ราชวงศ์ซาอุฯ จะสวามิภักดิ์อเมริกา หรือใช้ชีวิตผิดผี สุดสวิงริงโก้ปานใด) 

แต่เจ้าชายบินซัลมานก็กล้าทำให้ความสัมพันธ์ถ้อยทีถ้อยอาศัยที่ดำเนินมาหลายสิบปีนั้นสั่นคลอน 

เรื่องพีคที่ 4 ไม่เพียงแค่จำกัดอำนาจวะฮาบีย์ บินซัลมานยังปราบปรามชาวชีอะห์ในซาอุดิอาระเบียอย่างโหดเหี้ยม โดยยกทัพบุกตีเมืองอวามิยาห์ของชาวชีอะห์ด้วยกองทัพแบบเต็มรูปแบบ ข้อหาชอบต่อต้านรัฐบาลดีนัก 

มีคนตายมากมาย ผู้คนต้องอพยพหลบหนีจนแทบเป็นเมืองร้าง พวกนี้สื่อตะวันตกไม่ค่อยออกเพราะเป็นลูกหม้อกัน 

เรื่องพีคที่ 5 เนื่องจากราคาน้ำมันตก ทำให้ซาอุฯ จนลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เจ้าชายบินซัลมานจึงพยายามแก้ไข โดยออกนโยบาย "Vision 2030" มีเป้าหมายให้ซาอุฯ พึ่งตนเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งน้ำมันอีกต่อไป 

นโยบายดังกล่าวบอกว่าซาอุฯ จะเปลี่ยนตนเองจากประเทศที่อะไรก็ผิดผีไปหมด เป็น "ศูนย์กลางความบันเทิงโลก" (จากภาพคือ งานคอมมิคคอนซึ่งเริ่มมีในซาอุฯ) 

ไม่มีผู้หญิงนุ่งน้อยห่มน้อยเราก็เป็นศูนย์กลางความบันเทิงโลกได้
เอ้า เต้นเข้าไป! ชะชะช่า! 

แต่ปัญหาคือปี 2030 มันยังไม่มาถึง ...ระหว่างนี้ชาวซาอุต้องรัดเข็มขัดสู้ความจนกันไปก่อน... 

มีการลดเงินเดือนข้าราชการลง 20% ขึ้นไป แถมลดสวัสดิการอื่นๆ ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนโอดครวญ ต้องมาขู่มาปลอบอีกพอควร 


เรื่องพีคที่ 6 ซาอุฯ และอิหร่าน มักชิงความเป็นใหญ่เหนือภูมิภาคตะวันออกกลางเสมอ โดยซาอุฯ เป็นผู้นำฝ่ายสุหนี่ และอิหร่านเป็นผู้นำฝ่ายชีอะห์ 

ซาอุฯ กับอิหร่านเปิดสงครามตัวแทนกันห้าสมรภูมิ คืออิรัก ซีเรีย เลบานอน บาห์เรน และเยเมน ถ้าเทียบกันซาอุฯ มีเงินหนามาก น่าจะได้เปรียบ 

...แต่เรามาดูหุ่นทหารซาอุกันก่อน... 

หุ่นตำรวจซาอุฯ... 

เนื่องจากซาอุฯ มีฉายาว่า "ลูกคุณหนูสู้ไม่เป็น" จึงพ่ายแพ้หรือเสียเปรียบอิหร่านแทบทุกสมรภูมิ (มีได้เปรียบอยู่สมรภูมิเดียวคือบาห์เรนซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ) ภาพแนบคือทหารอิหร่านที่หุ่นอย่างควาย ผมเอามาแปะไว้เปรียบเทียบ 

เรื่องพีคที่ 7 แม้จะพ่ายแพ้อิหร่านหลายสมรภูมิ แต่บินซัลมานก็พยายามกู้หน้าโดยทุ่มเทกำลังบุกตีเยเมน ด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่แพง และทันสมัยที่สุด 

เทียบซาอุเป็นประเทศที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของโลก เยเมนก็เป็นประเทศที่ยากจนอันดับต้นๆ เช่นกัน ภาพแนบคือทหารเยเมนอันแสนอนาถา ดูยังไงก็เทียบไม่ติดเลย 

แต่เราขออนุญาตมารีวิวหุ่นทหารซาอุอีกครั้ง... 

อืม นั่นแหละ... 

สงครามนอกจากวัดกันที่อาวุธแล้วยังต้องดูเรื่อง "ความชาญสมร" ของทหาร ปรากฏว่าซาอุฯ รบแพ้จนถูกพวกเยเมนคีบรองเท้าแตะข้ามพรมแดนมายึดเมืองซาอุฯ บางเมืองได้
นอกจากนั้นการทิ้งบอมเยเมนอย่างหนัก ยังทำให้ชาวเยเมนที่แตกเป็นหลายก๊กหลายเหล่าเริ่มเปลี่ยนใจมาเกลียดชังซาอุฯ ด้วย
...แต่บินซัลมานก็อารมณ์ถอยไม่ได้กลัวเสียหน้า จึงยังคงติดหล่มสงครามเยเมนอยู่จนปัจจุบัน 

เรื่องพีคที่ 8 ปี 2017 ในขณะที่นายกรัฐมนตรีเลบานอน ซาอัด ฮาริรีเยี่ยมซาอุฯ นั้น อยู่ๆ เขาก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งเฉยๆ ขณะที่ยังอยู่ในซาอุฯ นั่นแหละ 

*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่