สวัสดีค่ะ ทุกคนนนนนนนน ห่างหายไปนานจากการเขียนรีวิวเล่าเรื่องแชร์ประสบการณ์ของเราเพราะไม่ว่างกำลังเหงาอยู่ ฮ่าๆๆ ถ้าทันเพลงนี้อายุเราคงไม่เด็กกันแล้วนะคะ อิอิ เอาจริงๆก็เหงาบ้างเป็นครั้งคราวบวกกับขี้เกียจด้วยเลยไม่ได้เขียนอะไรเลย พอไม่ค่อยได้เจอกับพี่สิง (ชื่อเล่นภาษาไทยของหนุ่มหน้ามนชาวญี่ปุ่นที่เราเชื่อว่าเป็นเนื้อคู่บุพเพสันนิวาสของเรา ฮ่าๆๆ) เพราะสถานการณ์โควิดที่ยังไม่เปิดประเทศให้เครื่องบินพาณิชย์เข้านั้น เราก็ได้แต่คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ความประทับใจและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วที่เราเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันค่ะ เลยต้องขุดเรื่องราวต่างๆในปี 2019 มาเล่าให้ฟังแทน
เข้าเรื่องเลยละกันนะคะ วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การเข้า love hotel (เลิฟ โฮเทล) ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น จริงๆก็ครั้งแรกในชีวิตนั่นแหละค่ะ กล่าวคร่าวๆเข้าใจง่ายๆ love hotel ชื่อเล่นบ้านเราก็คือม่านรูดนั่นเอง หากว่ากันตามจุดประสงค์ฮ่าๆๆ เอาจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เป็นแค่ม่านรูดที่เข้าไปแล้วรูดม่านปิดจัดกันจนฟ้าเหลืองอะไรขนาดนั้นซะทีเดียวค่ะฮ่าๆๆ ด้วยความที่เป็นญี่ปุ่น love hotel ก็จะมีสีสันและความแฟนซีแตกต่างออกไปตามรสนิยม ไม่ต่างกับรสชาติอาหารที่เราชอบกิน หรือสไตล์การแต่งตัวของเราแต่ละคนที่มันหลากหลายแตกต่างกันไปนี่แหละค่ะ
เท้าความนิดนึง (นี่ก็ท้าวมาเยอะแล้วนะ ฮ่าๆๆ) เหตุที่ทำให้เราได้มีประสบการณ์เข้า love hotel ครั้งแรกก็เพราะว่าเมื่อเมษายน 2019 เราไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงสงกรานต์กับครอบครัวนี่แหละค่ะ (ตอนนั้นคือเริ่มคบกับพี่สิงได้ราวๆสี่เดือนแล้ว) เราเลยแพลนแยกออกมาเที่ยวนอกเมืองกับพี่สิงช่วงวันหยุด ศุกร์และเสาร์กันค่ะ จากตอนแรกที่แพลนไว้ว่าจะเที่ยวกันวันศุกร์และกลับบ้านวันเสาร์เย็นๆเพราะพี่สิงต้องไปนาโกย่าวันอาทิตย์ แต่พอชินคันเซ็นออกปุ๊บพี่สิงก็บอกว่าไม่ต้องไปนาโกย่าวันอาทิตย์แล้ว เย็นวันเสาร์เราก็นั่งรถไฟกลับมาที่โตเกียวกัน และพี่สิงก็เริ่มเดินนำเราออกหาที่พักค่ะ ฮ่าๆๆๆ
เล่าตั้งแต่ตอนเดินๆหาที่พักเลยละกันนะคะ เราไปกันที่สถานีรถไฟ Uguisudani ซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วย love hotel มีให้เลือกชมในราคาที่ไม่ได้แตกต่างกันมากค่ะ แล้วพี่สิงก็เดินพาเราเข้าในโรงแรม แผนกต้อนรับของโรงแรมจะมีผังห้องให้เลือกค่ะ ห้องไหนมีปุ่มไฟขึ้นคือว่าง ห้องไหนไฟดับก็คือไม่ว่างจ้า เนื่องจากเหลืออยู่แค่สองห้อง คือตอนนั้นก็เกือบๆสี่ทุ่มแล้วและเป็นคืนวันเสาร์ด้วย เราก็ได้รับคำถามให้เลือกเลยว่าห้องไหนก็ได้เอาที่ชอบเลยนะ ฮ่าๆๆ ห้องที่เหลืออยู่คือห้องธรรมดากับห้องที่มีสติ๊กเกอร์ดาวเรืองแสงติดทั่วห้องเลยค่ะ และแน่นอนว่าครั้งแรกของเรา เราก็จัดห้องดาวเรืองแสงกันไปตามภาพเลยค่ะฮ่าๆๆ หลังจากกดปุ่มห้อง เจ้าบ้านก็เดินนำเราไปที่รีเซฟชั่นซึ่งมีช่องหน้าต่างเปิดเล็กๆเพื่อให้จ่ายเงินกันเท่านั้นเองค่ะ แทบมองไม่เห็นหน้าตาอะไรกันเลยบวกกับไฟที่สลัวมาก ฮ่าๆๆ หลังจากรูดบัตรชำระเงินเรียบร้อย เราก็ได้กุญแจกันมาแล้วก็เดินขึ้นห้องกันตามสบายเลยค่ะ
Love hotel ที่เราไปนั่นเป็นแบบที่สามารถไขกุญแจเข้าออกเองได้เลยค่ะ ซึ่งก็มีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่ละที่ค่ะแต่โดยส่วนมากจะไม่มีกุญแจให้ ห้องจะถูกเปิดให้เราจากทางรีเซฟชั่นที่อยู่ข้างล่าง คงมีแผนควบคุมการเปิด-ปิดประตูอะไรแบบนั้นอ่ะค่ะฮ่าๆๆ (อันนี้คือคอลไลน์ไปถามข้อมูลเพิ่มเติมและย้อนอดีตกับพี่สิงก่อนเขียนเลยทีเดียวฮ่าๆๆ) หากเป็นในอดีตก่อนหน้าคือเข้าแล้วมักจะไม่ให้ออกมาค่ะ แต่ปัจจุบันมีหลายๆที่เราสามารถโทรบอกให้รีเซฟชั่นให้ช่วยเปิดประตูให้ได้ตอนออกและเปิดให้อีกครั้งตอนเรากลับเข้ามาค่ะ เราเดาเอาเองว่าคงเป็นเหตุผลหลักๆเรื่องความปลอดภัยของคนที่มาใช้บริการคือไม่มีการเปิดเข้าออกห้องผิด หรือมีการบุกเข้าห้องไปมา ไปจนถึงทิ้งใครไว้ในห้องอะไรแบบนี้มั้งคะ ฮ่าๆๆ ในห้องก็คือมีทุกอย่างครบ มาตัวเปล่าพร้อมเสื้อผ้าและเครื่องสำอางก็สามารถสวยกลับออกไปได้เลยฮ่าๆๆ คือนอกจากยาสีฟันแปรงสีฟัน สบู่ แชมพูแล้วนั้น ก็ยังมีสกินแคร์ต่างๆเช่น น้ำตบ มอยเจอร์ไรซ์เซอร์ โลชั่นทาผิว ไปจนถึงที่ม้วนผมกับไดร์เป่าผมเลยค่า บอกตรงๆว่าประทับใจมากค่ะฮ่าๆๆ คือในราคา 6,000 เยน (ราวๆ 1,800 บาท) เป็นแบบค้างคืน ถือว่าคุ้มมากๆในการพักใจกลางเมืองของโตเกียว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆครบครันขนาดนี้ แน่นอนค่ะว่ามีอ่างอาบน้ำ พร้อมทั้งทีวีจอเล็กๆตรงอ่างอาบน้ำที่จะดูหนังปกติเพื่อความบันเทิง หรือหนังต้นทุนต่ำเพราะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าให้นักแสดงใส่ถ่ายกันก็ตามสบายใจกันไปเลยค่ะฮ่าๆๆ
หลังจากเราอาบน้ำกันจนสดชื่นสบายตัวกันแล้วเราก็เปิดหนังดูค่ะ ซึ่งหนังเรื่องนั้นก็คือแม่มดน้อยกิกิเป็นหนึ่งในการ์ตูนจากค่าย Gibli ฮ่าๆๆ มาจนกึงตอนนี้แล้วขอปิดด้วยการรีวิวห้องเลยละกันค่ะ ส่วนตัวแล้วคือชอบฮ่าๆๆ เอาในแง่ของความคุ้มค่าคุ้มราคาก่อน คือผ่านมากๆค่ะ สิ่งที่เราชอบมากที่สุดคือเตียงค่ะ มันนุ่มแต่ไม่นุ่มจนตัวยุบ คือหลับสบายมากกกกกกกกกก มากกว่าโรงแรมปกติที่เราเคยนอนๆมาฮ่าๆๆ สิ่งที่ทำให้เราชอบอีกอย่างนึงก็คือการติดต่อกับพนักงานที่น้อยมากๆค่ะ อย่างที่บอกไปตอนต้นคือแทบไม่ได้เห็นหน้ากันเลยและยังใช้เวลาสั้นมากๆในการเช็คอินหากเทียบกับโรงแรมปกติ รีวิวให้ลึกลงไปกว่านั้นเรื่องบรรยากาศ สไตล์ของห้อง และความแปลกใหม่ ก็คือดีหมดอ่ะค่ะ ฮ่าๆๆ เราอ่านเจอว่าคนญี่ปุ่นหลายๆคู่ก็มาใช้บริการกันอย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งเราว่ามันก็เป็นอีกวิธีนึงในการสร้างสีสันให้ชีวิตคู่ค่ะ
สรุปเลยก็คือหากไม่ได้ติดว่าเป็น love hotel หรือว่าต้องเป็นโรงแรมธรรมดาในราคาที่เท่ากัน เราก็แนะนำให้ลองดูค่ะ หลายๆโรงแรมตอนนี้สามารถจองออนไลน์ล่วงหน้าได้แล้วฮ่าๆๆๆ โดยส่วนตัวเขียนมาขนาดนี้แน่นอนว่าชอบค่ะ ไม่ใช่แค่ในแง่ของสีสันและความแฟนซีอย่างเดียว จริงๆแล้วเรายังไม่เคยเข้าพัก love hotel ที่เป็นตีมต่างๆ หรือเฉพาะเจาะจงการตกแต่งตามรสนิยมอะไรแบบนั้นเลยค่ะ love hotel ที่เราโดนพาเดินเข้าไปฮ่าๆๆ มักจะเป็นห้องปกติทั่วไป มีแค่ครั้งแรกที่เข้านี่แหละค่ะที่มีการตกแต่งลูกเล่นเข้าไปเป็นสติ๊กเกอร์ดาวสะท้อนแสง ในแง่ของความคุ้มค่าสำหรับเราก็คุ้มมากๆเช่นกันค่ะ ยิ่งหากเข้าพักในวันธรรดมาราคาก็จะลดลงมาอีก เราไปชมภาพที่มีแค่ภาพเดียวกันเลยค่ะฮ่าๆๆ ขออภัยที่มีแค่ภาพเดียวจริงๆเพราะเหนื่อยและตื่นเต้นมากค่ะตอนนั้นฮ่าๆๆ
ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านเรื่องของเราจนจบนะคะ สุดท้ายนี้ขอฝากเพจน้อยๆตามสไตล์คนขี้เกียจแบบเราไว้หน่อยนะคะ นอนหลับฝันดี ฝันถึงคนข้างหมอน ราตรีสวัสดิ์ค่า
https://www.facebook.com/KotomiMater
แชร์ประสบการณ์เข้าพัก love hotel ในญี่ปุ่นครั้งแรก-อีกหนึ่งทางเลือกโรงแรมที่ไม่ได้มีไว้ให้แค่กิจกรรมเข้าจังหวะ ฮึบๆ
เข้าเรื่องเลยละกันนะคะ วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การเข้า love hotel (เลิฟ โฮเทล) ครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น จริงๆก็ครั้งแรกในชีวิตนั่นแหละค่ะ กล่าวคร่าวๆเข้าใจง่ายๆ love hotel ชื่อเล่นบ้านเราก็คือม่านรูดนั่นเอง หากว่ากันตามจุดประสงค์ฮ่าๆๆ เอาจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เป็นแค่ม่านรูดที่เข้าไปแล้วรูดม่านปิดจัดกันจนฟ้าเหลืองอะไรขนาดนั้นซะทีเดียวค่ะฮ่าๆๆ ด้วยความที่เป็นญี่ปุ่น love hotel ก็จะมีสีสันและความแฟนซีแตกต่างออกไปตามรสนิยม ไม่ต่างกับรสชาติอาหารที่เราชอบกิน หรือสไตล์การแต่งตัวของเราแต่ละคนที่มันหลากหลายแตกต่างกันไปนี่แหละค่ะ
เท้าความนิดนึง (นี่ก็ท้าวมาเยอะแล้วนะ ฮ่าๆๆ) เหตุที่ทำให้เราได้มีประสบการณ์เข้า love hotel ครั้งแรกก็เพราะว่าเมื่อเมษายน 2019 เราไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงสงกรานต์กับครอบครัวนี่แหละค่ะ (ตอนนั้นคือเริ่มคบกับพี่สิงได้ราวๆสี่เดือนแล้ว) เราเลยแพลนแยกออกมาเที่ยวนอกเมืองกับพี่สิงช่วงวันหยุด ศุกร์และเสาร์กันค่ะ จากตอนแรกที่แพลนไว้ว่าจะเที่ยวกันวันศุกร์และกลับบ้านวันเสาร์เย็นๆเพราะพี่สิงต้องไปนาโกย่าวันอาทิตย์ แต่พอชินคันเซ็นออกปุ๊บพี่สิงก็บอกว่าไม่ต้องไปนาโกย่าวันอาทิตย์แล้ว เย็นวันเสาร์เราก็นั่งรถไฟกลับมาที่โตเกียวกัน และพี่สิงก็เริ่มเดินนำเราออกหาที่พักค่ะ ฮ่าๆๆๆ
เล่าตั้งแต่ตอนเดินๆหาที่พักเลยละกันนะคะ เราไปกันที่สถานีรถไฟ Uguisudani ซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วย love hotel มีให้เลือกชมในราคาที่ไม่ได้แตกต่างกันมากค่ะ แล้วพี่สิงก็เดินพาเราเข้าในโรงแรม แผนกต้อนรับของโรงแรมจะมีผังห้องให้เลือกค่ะ ห้องไหนมีปุ่มไฟขึ้นคือว่าง ห้องไหนไฟดับก็คือไม่ว่างจ้า เนื่องจากเหลืออยู่แค่สองห้อง คือตอนนั้นก็เกือบๆสี่ทุ่มแล้วและเป็นคืนวันเสาร์ด้วย เราก็ได้รับคำถามให้เลือกเลยว่าห้องไหนก็ได้เอาที่ชอบเลยนะ ฮ่าๆๆ ห้องที่เหลืออยู่คือห้องธรรมดากับห้องที่มีสติ๊กเกอร์ดาวเรืองแสงติดทั่วห้องเลยค่ะ และแน่นอนว่าครั้งแรกของเรา เราก็จัดห้องดาวเรืองแสงกันไปตามภาพเลยค่ะฮ่าๆๆ หลังจากกดปุ่มห้อง เจ้าบ้านก็เดินนำเราไปที่รีเซฟชั่นซึ่งมีช่องหน้าต่างเปิดเล็กๆเพื่อให้จ่ายเงินกันเท่านั้นเองค่ะ แทบมองไม่เห็นหน้าตาอะไรกันเลยบวกกับไฟที่สลัวมาก ฮ่าๆๆ หลังจากรูดบัตรชำระเงินเรียบร้อย เราก็ได้กุญแจกันมาแล้วก็เดินขึ้นห้องกันตามสบายเลยค่ะ
Love hotel ที่เราไปนั่นเป็นแบบที่สามารถไขกุญแจเข้าออกเองได้เลยค่ะ ซึ่งก็มีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่ละที่ค่ะแต่โดยส่วนมากจะไม่มีกุญแจให้ ห้องจะถูกเปิดให้เราจากทางรีเซฟชั่นที่อยู่ข้างล่าง คงมีแผนควบคุมการเปิด-ปิดประตูอะไรแบบนั้นอ่ะค่ะฮ่าๆๆ (อันนี้คือคอลไลน์ไปถามข้อมูลเพิ่มเติมและย้อนอดีตกับพี่สิงก่อนเขียนเลยทีเดียวฮ่าๆๆ) หากเป็นในอดีตก่อนหน้าคือเข้าแล้วมักจะไม่ให้ออกมาค่ะ แต่ปัจจุบันมีหลายๆที่เราสามารถโทรบอกให้รีเซฟชั่นให้ช่วยเปิดประตูให้ได้ตอนออกและเปิดให้อีกครั้งตอนเรากลับเข้ามาค่ะ เราเดาเอาเองว่าคงเป็นเหตุผลหลักๆเรื่องความปลอดภัยของคนที่มาใช้บริการคือไม่มีการเปิดเข้าออกห้องผิด หรือมีการบุกเข้าห้องไปมา ไปจนถึงทิ้งใครไว้ในห้องอะไรแบบนี้มั้งคะ ฮ่าๆๆ ในห้องก็คือมีทุกอย่างครบ มาตัวเปล่าพร้อมเสื้อผ้าและเครื่องสำอางก็สามารถสวยกลับออกไปได้เลยฮ่าๆๆ คือนอกจากยาสีฟันแปรงสีฟัน สบู่ แชมพูแล้วนั้น ก็ยังมีสกินแคร์ต่างๆเช่น น้ำตบ มอยเจอร์ไรซ์เซอร์ โลชั่นทาผิว ไปจนถึงที่ม้วนผมกับไดร์เป่าผมเลยค่า บอกตรงๆว่าประทับใจมากค่ะฮ่าๆๆ คือในราคา 6,000 เยน (ราวๆ 1,800 บาท) เป็นแบบค้างคืน ถือว่าคุ้มมากๆในการพักใจกลางเมืองของโตเกียว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆครบครันขนาดนี้ แน่นอนค่ะว่ามีอ่างอาบน้ำ พร้อมทั้งทีวีจอเล็กๆตรงอ่างอาบน้ำที่จะดูหนังปกติเพื่อความบันเทิง หรือหนังต้นทุนต่ำเพราะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าให้นักแสดงใส่ถ่ายกันก็ตามสบายใจกันไปเลยค่ะฮ่าๆๆ
หลังจากเราอาบน้ำกันจนสดชื่นสบายตัวกันแล้วเราก็เปิดหนังดูค่ะ ซึ่งหนังเรื่องนั้นก็คือแม่มดน้อยกิกิเป็นหนึ่งในการ์ตูนจากค่าย Gibli ฮ่าๆๆ มาจนกึงตอนนี้แล้วขอปิดด้วยการรีวิวห้องเลยละกันค่ะ ส่วนตัวแล้วคือชอบฮ่าๆๆ เอาในแง่ของความคุ้มค่าคุ้มราคาก่อน คือผ่านมากๆค่ะ สิ่งที่เราชอบมากที่สุดคือเตียงค่ะ มันนุ่มแต่ไม่นุ่มจนตัวยุบ คือหลับสบายมากกกกกกกกกก มากกว่าโรงแรมปกติที่เราเคยนอนๆมาฮ่าๆๆ สิ่งที่ทำให้เราชอบอีกอย่างนึงก็คือการติดต่อกับพนักงานที่น้อยมากๆค่ะ อย่างที่บอกไปตอนต้นคือแทบไม่ได้เห็นหน้ากันเลยและยังใช้เวลาสั้นมากๆในการเช็คอินหากเทียบกับโรงแรมปกติ รีวิวให้ลึกลงไปกว่านั้นเรื่องบรรยากาศ สไตล์ของห้อง และความแปลกใหม่ ก็คือดีหมดอ่ะค่ะ ฮ่าๆๆ เราอ่านเจอว่าคนญี่ปุ่นหลายๆคู่ก็มาใช้บริการกันอย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งเราว่ามันก็เป็นอีกวิธีนึงในการสร้างสีสันให้ชีวิตคู่ค่ะ
สรุปเลยก็คือหากไม่ได้ติดว่าเป็น love hotel หรือว่าต้องเป็นโรงแรมธรรมดาในราคาที่เท่ากัน เราก็แนะนำให้ลองดูค่ะ หลายๆโรงแรมตอนนี้สามารถจองออนไลน์ล่วงหน้าได้แล้วฮ่าๆๆๆ โดยส่วนตัวเขียนมาขนาดนี้แน่นอนว่าชอบค่ะ ไม่ใช่แค่ในแง่ของสีสันและความแฟนซีอย่างเดียว จริงๆแล้วเรายังไม่เคยเข้าพัก love hotel ที่เป็นตีมต่างๆ หรือเฉพาะเจาะจงการตกแต่งตามรสนิยมอะไรแบบนั้นเลยค่ะ love hotel ที่เราโดนพาเดินเข้าไปฮ่าๆๆ มักจะเป็นห้องปกติทั่วไป มีแค่ครั้งแรกที่เข้านี่แหละค่ะที่มีการตกแต่งลูกเล่นเข้าไปเป็นสติ๊กเกอร์ดาวสะท้อนแสง ในแง่ของความคุ้มค่าสำหรับเราก็คุ้มมากๆเช่นกันค่ะ ยิ่งหากเข้าพักในวันธรรดมาราคาก็จะลดลงมาอีก เราไปชมภาพที่มีแค่ภาพเดียวกันเลยค่ะฮ่าๆๆ ขออภัยที่มีแค่ภาพเดียวจริงๆเพราะเหนื่อยและตื่นเต้นมากค่ะตอนนั้นฮ่าๆๆ
ขอบคุณทุกๆคนที่อ่านเรื่องของเราจนจบนะคะ สุดท้ายนี้ขอฝากเพจน้อยๆตามสไตล์คนขี้เกียจแบบเราไว้หน่อยนะคะ นอนหลับฝันดี ฝันถึงคนข้างหมอน ราตรีสวัสดิ์ค่า
https://www.facebook.com/KotomiMater