ใครที่กำลังมองหา นาฬิกาจอสวย ดีไซน์เด่น ใส่ได้กับทุกเครื่องแต่งกายได้ทุกลุคแบบไม่เคอะเขิน ในราคาหลักพัน วันนี้อุ้มแนะนำ OPPO Watch Series จาก OPPO ซึ่งมาพร้อมการทำงานบน Wear OS by Google™ ที่เก่ง ฉลาด อัจฉริยะ ยิ่งถ้าได้ใช้คู่กับมือถือ OPPO ยิ่งลงตัวในการใช้งานที่สมบูรณ์แบบ
OPPO Watch Series มี 2 รุ่นคือ
OPPO Watch 46mm (ขวา) สี Black ราคา 7,999 บาท
OPPO Watch 41mm (ซ้าย) สี Pink Gold, Black ราคา 5,999 บาท
ความแตกต่าง ไม่ใช่แค่เรื่องความยาวสายนาฬิกา แต่ขนาดหน้าปัดก็ต่างกัน ความโค้งของจอต่างกัน มาดูกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
ก่อนอื่นขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่า OPPO Watch ถ้าใช้กับมือถือ OPPO ก็จะได้รับประสบการณ์ดีที่สุด
OPPO Watch Series ทำอะไรได้บ้าง?
ใช้นับก้าวเดิน วิ่ง ออกกำลังกาย เป็นโค้ชช่วยออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจวัดการนอน หลับ และการหายใจ แจ้งเตือนสายโทรเข้า ส่วนการแจ้งเตือนการโทร LINE นั้นจะไม่แสดงชื่อคนโทร แต่มีแจ้งเตือนให้เราดูจอมือถือ แต่ก็จะมีการแสดง Missed Call หากเราไม่ได้รับสาย LINE ด้วยความที่
OPPO Watch รันด้วย Wear OS by Google ก็เลยลงแอปได้เหมือนสมาร์ทโฟนเครื่องนึงเลย มีแอปบนข้อมือ รวมไปถึงการ sync กับมือถือในการรับส่งข้อความ เปิดเพลง แปลภาษา Google Translate การแจ้งเตือน Notification ต่างๆ คือมี Store ให้โหลดแอปได้เหมือนมือถือเลย
นอกจากนี้ ยังใช้นาฬิกาพิมพ์ ส่งอีเมลได้ด้วยการพูด แตะ เลื่อนบนจอ OPPO Watch หรือรู้ว่าใครโทรมาหาเราได้ด้วย (รองรับการรับส่งข้อความ LINE Messenger และ WhatsApp โดยต้องตั้งค่าก่อน)
OPPO Watch Series เป็นนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ColorOS คือถ้าคุ้นเคยกับมือถือ OPPO ใช้มือถือยังไง ก็ใช้นาฬิกาแบบนั้นเลย ทั้งรูปแบบการจัดวางไอคอน การใช้แอป
การออกแบบ ดีไซน์สวยงาม โดยรันด้วยบริการจาก Google ซึ่งทาง OPPO ได้ผสานความเป็นแฟชั่น ทำให้เราใส่นาฬิกาสวยๆ จอสดๆ ทัชลื่นมือได้ในราคาหลักพัน
การออกแบบหน้าปัด สวย หน้าจอสว่างสดใส สู้แสงแดดจ้าได้ดี ทัชง่าย แตะปุ๊บติดปั๊บ โดย OPPO Watch 46mm ใช้หน้าจอ AMOLED screen ขนาด 1.91 นิ้ว แบบ Flexible Dual-Curved Display ครั้งแรกของโลก (ด้านซ้ายและขวาของหน้าปัด โค้งลงไป) หน้าจอความละเอียด 402 × 476 และความหนาแน่นของพิกเซล 326 ppi
ถ้าเทียบ 2 รุ่น ดูจากขนาดหน้าจอ จะเห็นได้ว่า รุ่น 46mm จอใหญ่กว่า เป็นนาฬิกาก็มีจอโค้ง แล้วทำออกมาได้สวยซะด้วย และด้วยความที่หน้าจอโค้งมน เพิ่มพื้นที่การมองจอ ทำให้มองเห็นได้กว้างกว่าที่เคย โดยมีอัตราส่วนหน้าจอ ต่อตัวเครื่อง 72.76% มีขอบเขตสีครอบคลุม 100% ของ DCI-P3
ส่วน OPPO Watch 41mm มีหน้าจอรูปร่างสี่เหลี่ยมมุมฉาก AMOLED screen ขนาด 1.6 นิ้ว แบบ flat ไม่โค้ง อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 65.22% หน้าจอความละเอียด 320 × 360 และความหนาแน่นของพิกเซล 301 ppi แต่จากการมองด้วยตาก็ยังแสดงผลได้สวยคมชัดเช่นกัน แต่ความโค้งของหน้าจอไม่เท่ารุ่น 46mm ทั้ง 2 รุ่นรองรับ Always On Display ใช้ดูเวลาได้โดยไม่ต้องกดแตะบนหน้าจอ แต่ถ้าไม่เปิดตรงนี้ เลือกให้เอียงแขนแล้วจอติดสว่างก็ดูเวลาได้เช่นกัน แต่ลองแล้ว ตอนล้างมือ หรือหยิบจับสิ่งของนี่จอติดสว่างรัวรัว
Pain Point ของนาฬิกาออกกำลังกาย ถ้าใช้กลางแจ้งแล้วมองจอนาฬิกายาก เพราะจอไม่สู้แสง ก็คงน่าหงุดหงิดมากๆ OPPO Watch มาพร้อมหน้าจอคมชัด ความละเอียดสูง เหมือนจอมือถือ ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นนาฬิกา ความรู้สึกเดียวกับการแตะจอมือถือเลย ความสว่าง คมชัด สู้แสงก็ทำได้ดีมากๆ อีกด้วย พูดง่ายๆ คือเอาจอ retina screen มาใส่ไว้บนนาฬิกา เลยได้จอคม สว่าง เห็นได้อย่างชัดเจนแม้อยู่กลางแจ้ง ปรับความสว่างของหน้าจอโดยอัตโนมัติ สามารถปรับได้ถึง 500 nits (ตั้งค่าเริ่มต้น) และ 1000 nits (ตั้งค่าด้วยตนเอง)
จากที่อุ้มเคยใช้นาฬิกาสมาร์ทวอทช์มาหลายรุ่น การที่จอสู้แสงได้ดี จอสวย ทัชดีเหมือนจอมือถือ ทำให้เราสนุกกับการใช้งานเหมือนมือถือเครื่องนึงเลยค่า น่าทึ่งว่ากระบวนการการผลิตจอ มีมากถึง 19 ขั้นตอน ไร้รอยต่อ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อระหว่างกระจกคริสตัล 3D และหน้าจอที่โค้งมนได้เนียนแบบไร้รอยต่อของจริง คือการทำนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ตอนนี้ใช้วัสดุที่ป้องกันรอยขีดข่วนแบบที่ใช้ผลิตมือถือเลย ไม่ต้องกลัวเรือนเป็นรอยขีดข่วน เพราะใช้ เฟรมอลูมิเนียม series 6000 นอกจากนี้ยังทนต่อการกัดกร่อนสูง ใส่ออกกำลังกายก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเหงื่อ
สังเกตว่าขนาดตัวเรือนต่างกัน ซ้าย 46mm ขวา 41mm ด้านหลัง มีเซ็นเซอร์ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ พร้อม Professional Exercise Sensors เซ็นเซอร์สำหรับตรวจจับการออกกำลังกาย 5 ตัว เพื่อการตรวจจับและวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ
การถอดสายออกจากเรือนทำได้ง่าย โดยกดตัวล็อคใต้เรือนนาฬิกา เพื่อปลดล็อค แล้วถอดออกได้เลย โดยสายมาตรฐานที่มาพร้อมเครื่องจะมีสีตามที่บอกไว้ด้านบน รอดูกันอีกทีว่าจะมีสายแบบไหนออกมาให้เราเลือกซื้อกันบ้าง
สายรัดแบบปุ่ม (กระดุม)
การใส่นาฬิกา เป็นสายแบบกระดุมล็อค ใส่ง่าย เอากระดุมเข้าล็อค แล้วเลื่อนให้ใส่กระชับ ตอนถอด ถอดง่าย ไม่ต้องกลัวหลุด แม้ออกกำลังกาย วิ่ง เดิน ทั้งวัน ก็ไม่หลุดจากข้อมือแน่นอน โดยเป็นสายรัดข้อมือชนิด Fluororubber กันน้ำ (ใส่ล้างมือได้ ว่ายน้ำได้)
การตกแต่งหน้าปัดด้วย AI OUTFIT WATCH FACES
มี AI เข้ามาช่วยในการเลือกหน้าปัด ให้เหมาะกับเครื่องแต่งกาย โดยใช้แอป HeyTap Health สามารถใช้มือถือที่เชื่อมต่อกับนาฬิกา ถ่ายภาพเครื่องแต่งกายเรา หรือเลือกรูปภาพในอัลบั้ม แล้วให้ AI Outfit คิดลวดลายหน้าปัดแทนให้เราได้เลย โดย AI จะวิเคราะห์ เปลี่ยนหน้าปัด Watch Face ให้เข้ากับชุดที่เราใส่ได้เลย รับรองกลมกลืนและลงตัวกับเครื่องแต่งกายของคุณแบบฟิตๆ
Customizable Watch Face เลือกภาพในมือถือมาเป็นหน้าปัด Watch Face ได้ด้วย
นาฬิกามีระบบชาร์จไว WATCH VOOC FLASH CHARGING
การใช้งานปกติ แบตเตอรี่ OPPO Watch 46mm (Wi-Fi) เปิดแอป ใช้งานทั่วไปใน Smart Mode อยู่ได้ 36 ชั่วโมง OPPO Watch 41mm (Wi-Fi) อยู่ได้ 24 ชั่วโมง ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง จากที่ใช้งาน ประมาณ 1 วันครึ่ง – 2 วัน แต่ถ้าเป็นโหมด Power Saver Mode 21 วัน และ 14 วัน ตามลำดับ หรือถ้าเวลาน้อย ชาร์จแค่ 15 นาที ก็ใช้ยาวๆ ได้ทั้งวัน
โหมดประหยัดพลังงาน ใช้งานได้ร่วมเดือน
นาฬิกา OPPO Watch series ทั้ง 2 รุ่น รองรับ Wi-Fi ซึ่งจากที่ใช้งาน หากไม่เปิดโหมดประหยัดพลังงาน ถือว่าใช้เยอะ ประมาณ 1 วันครึ่ง ถึง 2 วัน แบตหมดแล้ว โดยสามารถใช้งาน Fitness Tracker ในขณะเปิดโหมดประหยัดพลังงานได้ ไม่พลาดการนับก้าว วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และการแจ้งเตือนต่างๆ
ข้อดีของ OPPO Watch series คือมีโหมดประหยัดพลังงาน ด้วยชิป Dual-Chip Endurance System การมี 2 ชิปเซ็ต ทำให้สลับการทำงานระหว่างชิป Snapdragon และโหมดประหยัดพลังงาน ชิป Apollo3 ดังนั้นพอสลับโหมด ก็จะใช้อีกชิปประมวลผล ซึ่งประหยัดพลังงานกว่า
Smart Mode: ใช้งานได้ครบถ้วนตามระบบ Google อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานสูงสุด 36 ชั่วโมง (รุ่น 46mm) และสงูสดุ 24 ชั่วโมง (รุ่น 41mm) นับจากตอนที่ชาร์จเต็ม
Power Saver Mode: สามารถฟังก์ชั่นทั่วไป เช่น แสดงเวลา จำนวนก้าวเดิน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และการแจ้งเตือนต่างๆ โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 21 วัน (รุ่น 46mm) และ 14 วัน (รุ่น 41mm) นับจากตอนที่ชาร์จเต็ม
กดค้างที่ปุ่มสีเขียวขวามือของนาฬิกาจะเข้า Power Saver Mode หรือเข้าไปตั้งค่าเองโดยลากนิ้วบนลงล่าง เลือก “ฟันเฟือง” เลือก “ระบบ” เลือก “แบตเตอรี่” เปิด “PowerSaver”
และความน่าตื่นเต้นของนาฬิกายุคนี้คือ มีชาร์จเร็ว
Watch VOOC Flash Charging เหมือนบนมือถือ ตอนอุ้มได้มา แบตหมด ชาร์จกับแท่นชาร์จนาฬิกา ชาร์จเต็มในเวลาเพียงแค่ 75 นาที หรือถ้าตื่นมาแล้วกลางคืนลืมชาร์จ ช่วงอาบน้ำ แปรงฟัน มีเวลา 15 นาที ก็ชาร์จใช้งานได้ทั้งวัน แล้วค่อยกลับมาชาร์จเต็มๆ ตอนกลางคืนอีกรอบ
การใช้งาน WEAR OS BY GOOGLE
จากเรื่องดีไซน์ มาถึงการใช้งานกันบ้าง สามารถ sync ปฏิทิน นัดหมาย การแจ้งเตือนต่างๆ มาครบ โดยในการ Sync จะใช้บัญชี Google เดียวกับที่ล็อกอินบนมือถือ โดยเชื่อมต่อผ่านแอป Wear OS และแอป HeyTap Health
ส่วนการแสดงผลหน้าจอ Wake ให้จอติด เลือกตั้งค่าได้ในแอป Wear OS โดยเลือกให้เอียงข้อมือแล้วจอติดสว่างก็ได้ นาฬิกาต่อ Wi-Fi ได้ แต่ใส่ซิมไม่ได้ จะใช้ 2 แอปคือ Wear OS กับ แอป HeyTap Health
สามารถดูเปอร์เซนต์แบตเตอรี่ จัดการหน้าปัด การแจ้งเตือน ตั้งค่าการออกกำลังกาย กำหนดเป้าหมายการเดิน การเผาผลาญพลังงาน การวัดการเต้นหัวใจ การแจ้งเตือน อัตราการเต้นหัวใจสูง เพื่อประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย Notification มาครบ ลงแอปได้ รองรับภาษาไทยสมบูรณ์แบบ
เราสามารถเอาแอปที่เราคุ้นเคยบนมือถือ มาใช้บนนาฬิกาได้ เรียกว่าใช้แอปบนข้อมือได้เลยค่ะ โดยเป็นแอปที่เขียนมาแสดงผลและสั่งงานผ่านหน้าจอนาฬิกา ดาวน์โหลดแอปบน Play Store ได้เหมือนบนมือถือ ไม่ต้องกังวล เพราะวิธีดาวน์โหลดแอปก็คล้ายๆ กัน ไม่ได้ยุ่งยากอะไร
พอมีแอป แล้ว sync กับมือถือ ทำให้ OPPO Watch รับส่งข้อความ สั่งเปิดเพลง แปลภาษา แสดงการแจ้งเตือนของมือถือมาเด้งบนจอนาฬิกาได้เลย แสดงผลภาษาไทยได้ถูกต้องหายห่วงเลย
[SR] รีวิว OPPO Watch Series สมาร์ทวอทช์ Wear OS รุ่นแรกจาก OPPO จอสวย ทัชลื่นแบบมือถือ เริ่มต้น 5,999 บาท
OPPO Watch 46mm (ขวา) สี Black ราคา 7,999 บาท
OPPO Watch 41mm (ซ้าย) สี Pink Gold, Black ราคา 5,999 บาท
ความแตกต่าง ไม่ใช่แค่เรื่องความยาวสายนาฬิกา แต่ขนาดหน้าปัดก็ต่างกัน ความโค้งของจอต่างกัน มาดูกันว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
ใช้นับก้าวเดิน วิ่ง ออกกำลังกาย เป็นโค้ชช่วยออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจวัดการนอน หลับ และการหายใจ แจ้งเตือนสายโทรเข้า ส่วนการแจ้งเตือนการโทร LINE นั้นจะไม่แสดงชื่อคนโทร แต่มีแจ้งเตือนให้เราดูจอมือถือ แต่ก็จะมีการแสดง Missed Call หากเราไม่ได้รับสาย LINE ด้วยความที่ OPPO Watch รันด้วย Wear OS by Google ก็เลยลงแอปได้เหมือนสมาร์ทโฟนเครื่องนึงเลย มีแอปบนข้อมือ รวมไปถึงการ sync กับมือถือในการรับส่งข้อความ เปิดเพลง แปลภาษา Google Translate การแจ้งเตือน Notification ต่างๆ คือมี Store ให้โหลดแอปได้เหมือนมือถือเลย
นอกจากนี้ ยังใช้นาฬิกาพิมพ์ ส่งอีเมลได้ด้วยการพูด แตะ เลื่อนบนจอ OPPO Watch หรือรู้ว่าใครโทรมาหาเราได้ด้วย (รองรับการรับส่งข้อความ LINE Messenger และ WhatsApp โดยต้องตั้งค่าก่อน)
การออกแบบ ดีไซน์สวยงาม โดยรันด้วยบริการจาก Google ซึ่งทาง OPPO ได้ผสานความเป็นแฟชั่น ทำให้เราใส่นาฬิกาสวยๆ จอสดๆ ทัชลื่นมือได้ในราคาหลักพัน
ถ้าเทียบ 2 รุ่น ดูจากขนาดหน้าจอ จะเห็นได้ว่า รุ่น 46mm จอใหญ่กว่า เป็นนาฬิกาก็มีจอโค้ง แล้วทำออกมาได้สวยซะด้วย และด้วยความที่หน้าจอโค้งมน เพิ่มพื้นที่การมองจอ ทำให้มองเห็นได้กว้างกว่าที่เคย โดยมีอัตราส่วนหน้าจอ ต่อตัวเครื่อง 72.76% มีขอบเขตสีครอบคลุม 100% ของ DCI-P3
ส่วน OPPO Watch 41mm มีหน้าจอรูปร่างสี่เหลี่ยมมุมฉาก AMOLED screen ขนาด 1.6 นิ้ว แบบ flat ไม่โค้ง อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่อง 65.22% หน้าจอความละเอียด 320 × 360 และความหนาแน่นของพิกเซล 301 ppi แต่จากการมองด้วยตาก็ยังแสดงผลได้สวยคมชัดเช่นกัน แต่ความโค้งของหน้าจอไม่เท่ารุ่น 46mm ทั้ง 2 รุ่นรองรับ Always On Display ใช้ดูเวลาได้โดยไม่ต้องกดแตะบนหน้าจอ แต่ถ้าไม่เปิดตรงนี้ เลือกให้เอียงแขนแล้วจอติดสว่างก็ดูเวลาได้เช่นกัน แต่ลองแล้ว ตอนล้างมือ หรือหยิบจับสิ่งของนี่จอติดสว่างรัวรัว
Pain Point ของนาฬิกาออกกำลังกาย ถ้าใช้กลางแจ้งแล้วมองจอนาฬิกายาก เพราะจอไม่สู้แสง ก็คงน่าหงุดหงิดมากๆ OPPO Watch มาพร้อมหน้าจอคมชัด ความละเอียดสูง เหมือนจอมือถือ ไม่รู้สึกเลยว่าเป็นนาฬิกา ความรู้สึกเดียวกับการแตะจอมือถือเลย ความสว่าง คมชัด สู้แสงก็ทำได้ดีมากๆ อีกด้วย พูดง่ายๆ คือเอาจอ retina screen มาใส่ไว้บนนาฬิกา เลยได้จอคม สว่าง เห็นได้อย่างชัดเจนแม้อยู่กลางแจ้ง ปรับความสว่างของหน้าจอโดยอัตโนมัติ สามารถปรับได้ถึง 500 nits (ตั้งค่าเริ่มต้น) และ 1000 nits (ตั้งค่าด้วยตนเอง)
จากที่อุ้มเคยใช้นาฬิกาสมาร์ทวอทช์มาหลายรุ่น การที่จอสู้แสงได้ดี จอสวย ทัชดีเหมือนจอมือถือ ทำให้เราสนุกกับการใช้งานเหมือนมือถือเครื่องนึงเลยค่า น่าทึ่งว่ากระบวนการการผลิตจอ มีมากถึง 19 ขั้นตอน ไร้รอยต่อ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อระหว่างกระจกคริสตัล 3D และหน้าจอที่โค้งมนได้เนียนแบบไร้รอยต่อของจริง คือการทำนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ตอนนี้ใช้วัสดุที่ป้องกันรอยขีดข่วนแบบที่ใช้ผลิตมือถือเลย ไม่ต้องกลัวเรือนเป็นรอยขีดข่วน เพราะใช้ เฟรมอลูมิเนียม series 6000 นอกจากนี้ยังทนต่อการกัดกร่อนสูง ใส่ออกกำลังกายก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเหงื่อ
การใส่นาฬิกา เป็นสายแบบกระดุมล็อค ใส่ง่าย เอากระดุมเข้าล็อค แล้วเลื่อนให้ใส่กระชับ ตอนถอด ถอดง่าย ไม่ต้องกลัวหลุด แม้ออกกำลังกาย วิ่ง เดิน ทั้งวัน ก็ไม่หลุดจากข้อมือแน่นอน โดยเป็นสายรัดข้อมือชนิด Fluororubber กันน้ำ (ใส่ล้างมือได้ ว่ายน้ำได้)
การตกแต่งหน้าปัดด้วย AI OUTFIT WATCH FACES
นาฬิกา OPPO Watch series ทั้ง 2 รุ่น รองรับ Wi-Fi ซึ่งจากที่ใช้งาน หากไม่เปิดโหมดประหยัดพลังงาน ถือว่าใช้เยอะ ประมาณ 1 วันครึ่ง ถึง 2 วัน แบตหมดแล้ว โดยสามารถใช้งาน Fitness Tracker ในขณะเปิดโหมดประหยัดพลังงานได้ ไม่พลาดการนับก้าว วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และการแจ้งเตือนต่างๆ
ข้อดีของ OPPO Watch series คือมีโหมดประหยัดพลังงาน ด้วยชิป Dual-Chip Endurance System การมี 2 ชิปเซ็ต ทำให้สลับการทำงานระหว่างชิป Snapdragon และโหมดประหยัดพลังงาน ชิป Apollo3 ดังนั้นพอสลับโหมด ก็จะใช้อีกชิปประมวลผล ซึ่งประหยัดพลังงานกว่า
Smart Mode: ใช้งานได้ครบถ้วนตามระบบ Google อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานสูงสุด 36 ชั่วโมง (รุ่น 46mm) และสงูสดุ 24 ชั่วโมง (รุ่น 41mm) นับจากตอนที่ชาร์จเต็ม
Power Saver Mode: สามารถฟังก์ชั่นทั่วไป เช่น แสดงเวลา จำนวนก้าวเดิน วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และการแจ้งเตือนต่างๆ โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 21 วัน (รุ่น 46mm) และ 14 วัน (รุ่น 41mm) นับจากตอนที่ชาร์จเต็ม
กดค้างที่ปุ่มสีเขียวขวามือของนาฬิกาจะเข้า Power Saver Mode หรือเข้าไปตั้งค่าเองโดยลากนิ้วบนลงล่าง เลือก “ฟันเฟือง” เลือก “ระบบ” เลือก “แบตเตอรี่” เปิด “PowerSaver”
และความน่าตื่นเต้นของนาฬิกายุคนี้คือ มีชาร์จเร็ว Watch VOOC Flash Charging เหมือนบนมือถือ ตอนอุ้มได้มา แบตหมด ชาร์จกับแท่นชาร์จนาฬิกา ชาร์จเต็มในเวลาเพียงแค่ 75 นาที หรือถ้าตื่นมาแล้วกลางคืนลืมชาร์จ ช่วงอาบน้ำ แปรงฟัน มีเวลา 15 นาที ก็ชาร์จใช้งานได้ทั้งวัน แล้วค่อยกลับมาชาร์จเต็มๆ ตอนกลางคืนอีกรอบ
การใช้งาน WEAR OS BY GOOGLE
จากเรื่องดีไซน์ มาถึงการใช้งานกันบ้าง สามารถ sync ปฏิทิน นัดหมาย การแจ้งเตือนต่างๆ มาครบ โดยในการ Sync จะใช้บัญชี Google เดียวกับที่ล็อกอินบนมือถือ โดยเชื่อมต่อผ่านแอป Wear OS และแอป HeyTap Health
ส่วนการแสดงผลหน้าจอ Wake ให้จอติด เลือกตั้งค่าได้ในแอป Wear OS โดยเลือกให้เอียงข้อมือแล้วจอติดสว่างก็ได้ นาฬิกาต่อ Wi-Fi ได้ แต่ใส่ซิมไม่ได้ จะใช้ 2 แอปคือ Wear OS กับ แอป HeyTap Health
สามารถดูเปอร์เซนต์แบตเตอรี่ จัดการหน้าปัด การแจ้งเตือน ตั้งค่าการออกกำลังกาย กำหนดเป้าหมายการเดิน การเผาผลาญพลังงาน การวัดการเต้นหัวใจ การแจ้งเตือน อัตราการเต้นหัวใจสูง เพื่อประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย Notification มาครบ ลงแอปได้ รองรับภาษาไทยสมบูรณ์แบบ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้