Credit photo : https://www.verywellmind.com/healthy-family-relationshps-and-stress-relief-3144541
บทความจาก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
บทความ โดย ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
คัดย่อ และ เรียบเรียงจาก
พ่อผัวแม่ผัว-พ่อตาแม่ยาย-ญาติโกโหติกา (ตอนที่ 1)
http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=899
ในชีวิตแต่งงานเกือบทุกคู่ในประเทศไทย จะต้องมีญาติทั้งสองฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก
บางครั้งเกิดความขัดแย้งตั้งแต่ยังไม่แต่งงานกัน จนทำให้ชีวิตคู่ต้องล่มสลาย ต้องเลิกกัน ต้องหย่ากันเข้าทำนอง “รักแท้แพ้โคตรวงศ์” เลยทีเดียว
อันที่จริงการที่คู่สามีภรรยาจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนเกิดปัญหาหรือไม่ ก็ขึ้นกับคู่สามีภรรยาเอง ว่ามีแนวคิดเรื่องญาติอย่างไร
ถ้าทั้งคู่ตกลงกันได้และมีแนวความคิดคล้ายกัน และถ้ามีความรักกันมั่นคง ญาติจะแทรกไม่ลง
.
อีกด้านหนึ่ง คือด้านพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายจะมีภูมิหลังและวิธีคิดต่างๆกันไป เกี่ยวกับชีวิตของลูกที่มีครอบครัว
เช่น พ่อแม่สมัยใหม่มักยอมรับได้ว่าลูกต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองหลังออกเรือนไปแล้ว พ่อแม่ไม่ควรเข้าไปวุ่นวายหรือแทรกแซงในชีวิตของเขาทั้งสองคน
แต่พ่อแม่บางคนกลับคิดว่าลูกทั้งคนเลี้ยงมากว่าจะโตแสนเหนื่อยยาก จึงไม่ควรที่เขยหรือสะใภ้จะเอาลูกไปแบบชุบมือเปิบ กลัวลูกจะไม่เลี้ยงดู
ซึ่งที่จริงการที่ลูกจะ "ตอบแทนบุญคุณ" ของพ่อแม่ กับ
การที่ลูกต้อง "เชื่อฟัง" พ่อแม่ตลอดไป หรือ ต้อง "ทำตาม" ที่พ่อแม่ต้องการทุกอย่างนั้น ... เป็น "คนละเรื่องกัน"
คือลูกยังสามารถกตัญญูรู้คุณพ่อแม่และดูแลพ่อแม่ได้ โดยไม่ให้ความคิดรุ่นพ่อแม่เข้ามาแทรกแซงในชีวิตคู่ของตนได้
พ่อแม่บางคนจะใช้จุดอ่อน เรื่อง "ความกตัญญู" มาบีบบังคับลูก โดยทำให้ลูกรู้สึกผิดว่าไม่กตัญญู ถ้าลูกไม่ยอมทำตามที่พ่อแม่ต้องการ
คนที่เป็นลูก คือสามีภรรยา ต้องตั้งสติให้ดีในเรื่องนี้ จึงจะสามารถปกป้องชีวิตคู่ให้มีความสุขได้
พูดง่ายๆ คือต้องรู้วิธีที่แยบยลที่จะขัดใจพ่อแม่โดยไม่ให้พ่อแม่รู้สึกเสียใจมากมาย
เรื่องแบบนี้ยิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าบังเอิญคู่ของเราที่เป็นเขยหรือสะใภ้ที่เรารักและเราเลือกเป็นคู่ชีวิตนั้น ไม่ถูกใจพ่อแม่ของเรา
คนที่เป็นเด็กกว่ามีอาวุโสน้อยกว่า คือเขยหรือสะใภ้ ควรจะเป็นฝ่ายอ่อนเข้าหาผู้ใหญ่คือพ่อแม่
ถ้าใช้หลักจิตวิทยาดีๆ พ่อแม่ก็มักจะยอมรับในตัวเขยหรือสะใภ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีหลานช่วยด้วยยิ่งง่ายขึ้น
แต่ที่พบส่วนใหญ่จะเป็นว่าเขยหรือสะใภ้ไม่รู้จักการเข้าหาผู้ใหญ่ ไม่รู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน มักแข็งกร้าวแบบคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง ถ้าตัวเองคิดว่าถูกต้องก็จะไม่ยอมอ่อนข้อเป็นอันขาด
เข้าทำนอง “ยอมหัก แต่ไม่ยอมงอ” นั่นเอง ที่เป็นปัญหากันมาก
แต่ถึงอย่างไรคงมีกรณียกเว้นบ้าง ที่พ่อแม่บางคนจงเกลียดจงชังเขยหรือสะใภ้อย่างรุนแรง ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการยากที่จะประสานได้
ในกรณีเช่นนี้คงต้องยอมรับไปตามสภาพ คงต้องต่างคนต่างอยู่ หรืออยู่กันห่างๆไป
.
ตัวอย่างของความขัดแย้งระหว่างรุ่นพ่อแม่และลูกในชีวิตสมรส เช่น
1. สามีเชื่อฟังแม่ตัวเองทุกอย่าง
พ่อสามีตามใจแม่สามีทุกอย่างเวลาอยู่ในบ้าน ให้แม่สามีตัดสินใจทุกเรื่อง ไม่เคยขัด เชื่อฟังทุกเรื่อง สามีก็เช่นเดียวกัน
แม่สามีสั่งได้ทุกเรื่องเหมือนที่สั่งพ่อสามีได้
สามีหลังแต่งงาน ก็ตามใจภรรยาทุกอย่างเหมือนกัน
แม่สามีไม่ชอบลูกสะใภ้ว่าใช้เงินเปลือง อ้อนสามีมากเกินไป ไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะสามีรายงานแม่สามีทุกเรื่อง
เช่น ภรรยาโดนนายดุก็โทรไปหาสามีที่ทำงาน สามีก็ไปเล่าให้แม่ฟัง ภรรยาซื้อรองเท้า 2 คู่ สามีก็เล่าให้แม่ฟัง
แล้ววันหนึ่งแม่สามีสั่งให้หย่า สามีก็หย่าทันที ซึ่งภรรยาตกใจมาก ปรับตัวไม่ทัน เพราะเมื่อวานแม่สามียังพูดด้วยดีๆ วันรุ่งขึ้นสามีต้องการหย่า ไม่พูด ไม่ปรับความเข้าใจ ภรรยาไปหาก็ผลักจนล้ม
ภรรยาจึงมีอาการซึมเศร้า อยากตาย เบื่อหน่าย ผ่ายผอม ร้องไห้ นอนไม่หลับ ไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
ภรรยาได้รับการช่วยเหลือจากจิตแพทย์พักใหญ่จึงดีขึ้น
.
2. การแบ่งปันสามีหรือภรรยากับครอบครัวเดิม
บ่อยครั้งที่พบว่า สะใภ้หรือเขย พยายามครอบครอง แย่งชิง หรือกีดกัน สามีหรือภรรยาของตนจากครอบครัวเดิมมากเกินไป
โดยลืมคิดว่าที่เขามีวันนี้ได้ เขามาจากครอบครัวเดิมที่ค้ำจุนหรือเกื้อหนุนเขา หรืออย่างน้อยที่สุดครอบครัวเดิมก็เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตกับเขา
บิดา มารดา และพี่น้องของสามีหรือภรรยา เขาได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาเป็นสิบๆปี
เราเองเสียอีกเข้ามาในชีวิตเขาทีหลังกว่าคนเหล่านั้น
ดังนั้นถ้าสามีหรือภรรยาของเราจะเกื้อหนุนแบ่งปันความสำเร็จในชีวิตของเขากับครอบครัวเดิม จึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง โดยที่ครอบครัวใหม่ไม่เดือดร้อน
ผู้เขียนจึงอยากเสนอแนะให้ท่านเปิดใจให้กว้างในการแบ่งปัน
ไม่ว่าในแง่ความช่วยเหลือ การให้เวลา การเอาใจใส่ การเยี่ยมเยียน การดูแลเอาใจใส่ตามสมควร ตลอดจนเรื่องเงินทอง
มีเพียงข้อจำกัดว่าอย่าให้ครอบครัวเดิมมีอิทธิพลหรือก้าวก่ายการตัดสินใจของครอบครัวใหม่ก็พอ
.
สุดท้ายนี้ อยากฝากว่า
... การพูดคุย การปรึกษาหารือ การสื่อให้อีกฝ่ายรู้ถึงความต้องการ การรับฟัง การไม่ใช้อารมณ์ การยอมรับ ...
เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตคู่
................................................................................................................
รักแท้แพ้โคตรวงศ์
Credit photo : https://www.verywellmind.com/healthy-family-relationshps-and-stress-relief-3144541
บทความจาก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
บทความ โดย ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ
คัดย่อ และ เรียบเรียงจาก
พ่อผัวแม่ผัว-พ่อตาแม่ยาย-ญาติโกโหติกา (ตอนที่ 1) http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=899
ในชีวิตแต่งงานเกือบทุกคู่ในประเทศไทย จะต้องมีญาติทั้งสองฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่มากก็น้อย ส่วนใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก
บางครั้งเกิดความขัดแย้งตั้งแต่ยังไม่แต่งงานกัน จนทำให้ชีวิตคู่ต้องล่มสลาย ต้องเลิกกัน ต้องหย่ากันเข้าทำนอง “รักแท้แพ้โคตรวงศ์” เลยทีเดียว
อันที่จริงการที่คู่สามีภรรยาจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากจนเกิดปัญหาหรือไม่ ก็ขึ้นกับคู่สามีภรรยาเอง ว่ามีแนวคิดเรื่องญาติอย่างไร
ถ้าทั้งคู่ตกลงกันได้และมีแนวความคิดคล้ายกัน และถ้ามีความรักกันมั่นคง ญาติจะแทรกไม่ลง
.
อีกด้านหนึ่ง คือด้านพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายจะมีภูมิหลังและวิธีคิดต่างๆกันไป เกี่ยวกับชีวิตของลูกที่มีครอบครัว
เช่น พ่อแม่สมัยใหม่มักยอมรับได้ว่าลูกต้องมีชีวิตเป็นของตัวเองหลังออกเรือนไปแล้ว พ่อแม่ไม่ควรเข้าไปวุ่นวายหรือแทรกแซงในชีวิตของเขาทั้งสองคน
แต่พ่อแม่บางคนกลับคิดว่าลูกทั้งคนเลี้ยงมากว่าจะโตแสนเหนื่อยยาก จึงไม่ควรที่เขยหรือสะใภ้จะเอาลูกไปแบบชุบมือเปิบ กลัวลูกจะไม่เลี้ยงดู
ซึ่งที่จริงการที่ลูกจะ "ตอบแทนบุญคุณ" ของพ่อแม่ กับ
การที่ลูกต้อง "เชื่อฟัง" พ่อแม่ตลอดไป หรือ ต้อง "ทำตาม" ที่พ่อแม่ต้องการทุกอย่างนั้น ... เป็น "คนละเรื่องกัน"
คือลูกยังสามารถกตัญญูรู้คุณพ่อแม่และดูแลพ่อแม่ได้ โดยไม่ให้ความคิดรุ่นพ่อแม่เข้ามาแทรกแซงในชีวิตคู่ของตนได้
พ่อแม่บางคนจะใช้จุดอ่อน เรื่อง "ความกตัญญู" มาบีบบังคับลูก โดยทำให้ลูกรู้สึกผิดว่าไม่กตัญญู ถ้าลูกไม่ยอมทำตามที่พ่อแม่ต้องการ
คนที่เป็นลูก คือสามีภรรยา ต้องตั้งสติให้ดีในเรื่องนี้ จึงจะสามารถปกป้องชีวิตคู่ให้มีความสุขได้
พูดง่ายๆ คือต้องรู้วิธีที่แยบยลที่จะขัดใจพ่อแม่โดยไม่ให้พ่อแม่รู้สึกเสียใจมากมาย
เรื่องแบบนี้ยิ่งจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าบังเอิญคู่ของเราที่เป็นเขยหรือสะใภ้ที่เรารักและเราเลือกเป็นคู่ชีวิตนั้น ไม่ถูกใจพ่อแม่ของเรา
คนที่เป็นเด็กกว่ามีอาวุโสน้อยกว่า คือเขยหรือสะใภ้ ควรจะเป็นฝ่ายอ่อนเข้าหาผู้ใหญ่คือพ่อแม่
ถ้าใช้หลักจิตวิทยาดีๆ พ่อแม่ก็มักจะยอมรับในตัวเขยหรือสะใภ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีหลานช่วยด้วยยิ่งง่ายขึ้น
แต่ที่พบส่วนใหญ่จะเป็นว่าเขยหรือสะใภ้ไม่รู้จักการเข้าหาผู้ใหญ่ ไม่รู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน มักแข็งกร้าวแบบคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง ถ้าตัวเองคิดว่าถูกต้องก็จะไม่ยอมอ่อนข้อเป็นอันขาด
เข้าทำนอง “ยอมหัก แต่ไม่ยอมงอ” นั่นเอง ที่เป็นปัญหากันมาก
แต่ถึงอย่างไรคงมีกรณียกเว้นบ้าง ที่พ่อแม่บางคนจงเกลียดจงชังเขยหรือสะใภ้อย่างรุนแรง ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการยากที่จะประสานได้
ในกรณีเช่นนี้คงต้องยอมรับไปตามสภาพ คงต้องต่างคนต่างอยู่ หรืออยู่กันห่างๆไป
.
ตัวอย่างของความขัดแย้งระหว่างรุ่นพ่อแม่และลูกในชีวิตสมรส เช่น
1. สามีเชื่อฟังแม่ตัวเองทุกอย่าง
พ่อสามีตามใจแม่สามีทุกอย่างเวลาอยู่ในบ้าน ให้แม่สามีตัดสินใจทุกเรื่อง ไม่เคยขัด เชื่อฟังทุกเรื่อง สามีก็เช่นเดียวกัน
แม่สามีสั่งได้ทุกเรื่องเหมือนที่สั่งพ่อสามีได้
สามีหลังแต่งงาน ก็ตามใจภรรยาทุกอย่างเหมือนกัน
แม่สามีไม่ชอบลูกสะใภ้ว่าใช้เงินเปลือง อ้อนสามีมากเกินไป ไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะสามีรายงานแม่สามีทุกเรื่อง
เช่น ภรรยาโดนนายดุก็โทรไปหาสามีที่ทำงาน สามีก็ไปเล่าให้แม่ฟัง ภรรยาซื้อรองเท้า 2 คู่ สามีก็เล่าให้แม่ฟัง
แล้ววันหนึ่งแม่สามีสั่งให้หย่า สามีก็หย่าทันที ซึ่งภรรยาตกใจมาก ปรับตัวไม่ทัน เพราะเมื่อวานแม่สามียังพูดด้วยดีๆ วันรุ่งขึ้นสามีต้องการหย่า ไม่พูด ไม่ปรับความเข้าใจ ภรรยาไปหาก็ผลักจนล้ม
ภรรยาจึงมีอาการซึมเศร้า อยากตาย เบื่อหน่าย ผ่ายผอม ร้องไห้ นอนไม่หลับ ไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร
ภรรยาได้รับการช่วยเหลือจากจิตแพทย์พักใหญ่จึงดีขึ้น
.
2. การแบ่งปันสามีหรือภรรยากับครอบครัวเดิม
บ่อยครั้งที่พบว่า สะใภ้หรือเขย พยายามครอบครอง แย่งชิง หรือกีดกัน สามีหรือภรรยาของตนจากครอบครัวเดิมมากเกินไป
โดยลืมคิดว่าที่เขามีวันนี้ได้ เขามาจากครอบครัวเดิมที่ค้ำจุนหรือเกื้อหนุนเขา หรืออย่างน้อยที่สุดครอบครัวเดิมก็เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตกับเขา
บิดา มารดา และพี่น้องของสามีหรือภรรยา เขาได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาเป็นสิบๆปี
เราเองเสียอีกเข้ามาในชีวิตเขาทีหลังกว่าคนเหล่านั้น
ดังนั้นถ้าสามีหรือภรรยาของเราจะเกื้อหนุนแบ่งปันความสำเร็จในชีวิตของเขากับครอบครัวเดิม จึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่ง โดยที่ครอบครัวใหม่ไม่เดือดร้อน
ผู้เขียนจึงอยากเสนอแนะให้ท่านเปิดใจให้กว้างในการแบ่งปัน
ไม่ว่าในแง่ความช่วยเหลือ การให้เวลา การเอาใจใส่ การเยี่ยมเยียน การดูแลเอาใจใส่ตามสมควร ตลอดจนเรื่องเงินทอง
มีเพียงข้อจำกัดว่าอย่าให้ครอบครัวเดิมมีอิทธิพลหรือก้าวก่ายการตัดสินใจของครอบครัวใหม่ก็พอ
.
สุดท้ายนี้ อยากฝากว่า
... การพูดคุย การปรึกษาหารือ การสื่อให้อีกฝ่ายรู้ถึงความต้องการ การรับฟัง การไม่ใช้อารมณ์ การยอมรับ ...
เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตคู่
................................................................................................................