โครงสร้างทางการทหารที่ถูกทิ้งร้าง

Safeguard complex
ในช่วงสงครามเย็นการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียตเป็นภัยคุกคามที่แท้จริง  สหรัฐอเมริกาจึงตัดสินใจว่าจำเป็นต้องมีโครงการป้องกันที่สามารถปกป้องขีดความสามารถของขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ของประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สนามขีปนาวุธมินิทแมนที่ตั้งอยู่ที่ Grand Forks
ฐานทัพอากาศใน North Dakota ตลอดจนศูนย์ประชากรพลเรือน

ในปี1969 ประธานาธิบดีนิกสันได้ประกาศ "โครงการปกป้อง" (Safeguard Program) ซึ่งประกอบด้วยระบบปกป้องหลายระบบในสถานที่ต่างๆทั่วประเทศเพื่อปกป้องทรัพย์สินอาวุธทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ  ที่แรกและที่เดียวเท่านั้นที่ใช้งานได้คือ Stanley R. Mickelson Safeguard Complex ซึ่งตั้งอยู่ขึ้นไปทาง Nekoma, North Dakotaประมาณ 100 ไมล์ทางเหนือของ Grand Forks ได้รับการตั้งชื่อตามแม่ทัพคนที่สามของกองบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ พล.ท. Stanley R. Mickelsen เริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 1 ตุลาคม 1975

ยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อมา สภาคองเกรสตัดสินใจปิดโครงการดังกล่าวโดยถือว่าไม่ได้ผลทางทหาร ห้าเดือนต่อมากองทัพเริ่มมีการรื้อถอน วันนี้อาคารและพีระมิดขนาดใหญ่คือทั้งหมดที่เหลือของโครงการ USD 6 พันล้าน

โครงการปกป้องซึ่งสืบเชื้อสายมาจากโครงการ Sentinel ก่อนหน้านี้ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องเมืองของสหรัฐฯจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธ เป็นระบบสองชั้นซึ่งประกอบด้วยขีปนาวุธ Spartan ระยะไกลและ Sprint ระยะสั้น
ขีปนาวุธ Spartan ระยะไกลเป็นแนวป้องกันด่านแรกและได้รับการออกแบบมาเพื่อสกัดกั้นขีปนาวุธที่เข้ามานอกชั้นบรรยากาศของโลก หากล้มเหลว
ก็จะมีขีปนาวุธ Sprint ระยะสั้นที่มีประสิทธิภาพและความเร็วสูง จะพยายามสกัดกั้นภายในชั้นบรรยากาศ ขีปนาวุธทั้งสองใช้หัวรบนิวเคลียร์และอาศัยการทำลายหัวรบที่เข้ามาด้วยรังสีมากกว่าความร้อนหรือการระเบิด ตั้งแต่การตรวจจับไปจนถึงการเปิดระบบใช้เวลาเพียงหกวินาที

การก่อสร้าง Mickelsen เริ่มขึ้นในปี 1970  ส่วนตรงกลางคือ Missile Site Radar (MSR) รูปทรงพีระมิดสูง 24 ม.ออกแบบมาเพื่อติดตามหัวรบที่เข้ามาและนำทางผู้สกัดกั้นไปยังเป้าหมายที่ได้รับมอบหมาย  หน้าทั้งสี่ของ MSR มีโครงสร้างคล้ายดวงตากลมเพื่อค้นหาเป้าหมายในทุกทิศทาง MSR ถูกรองรับโดย Perimeter Acquisition Radar (PAR) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ 25 ไมล์ใน Cavalier, North Dakota โดยหันหน้าไปทางทิศเหนือ

PAR ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจจับขีปนาวุธของสหภาพโซเวียตที่เข้ามาในระยะ 800 ไมล์   PARจะกำหนดวิถีและจุดกระทบเมื่อมีขีปนาวุธที่วิ่งผ่านขั้วโลกเหนือเข้ามา  ขีปนาวุธ Spartan สามสิบลูกและขีปนาวุธ Sprint 16 ลูกถูกนำไปใช้ในเครื่องยิงใต้ดิน มีการติดตั้งขีปนาวุธ Sprint อีก 50 ลูกที่ไซต์ยิงระยะไกลอีกสี่แห่ง

Safeguard complex เริ่มใช้งานเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 1975  ทำให้เป็นระบบปฏิบัติการแรกของต่อต้านขีปนาวุธโดยสหรัฐฯ แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดข้อบกพร่อง  โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการระเบิดของหัวรบนิวเคลียร์บน Spartan และ Sprint ทำให้เรดาร์ของตัวเองบอดไม่สามารถตรวจจับขีปนาวุธของศัตรูที่เข้ามาเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้สนธิสัญญา ABM ปี 1972 ยังจำกัดให้ สหรัฐฯและสหภาพโซเวียตมีสถานที่ป้องกันขีปนาวุธเพียงคนละแห่งจึงเป็นเรื่องของความคุ้มทุน

สภาคองเกรสใช้เวลาไม่นานก็ตระหนักถึงความล้มเหลว ในวันถัดมาจึงสั่งล้มเลิกโครงการ ตั้งแต่นั้นขีปนาวุธใต้ดิน 100 ลูกในโครงการได้ถูกนำออกไปทั้งหมดและปิดที่ตั้งแต่ก็ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเป็นครั้งคราว

ในปี 2012 ที่ตั้งนี้ได้รับการประมูลโดยกลุ่มศาสนาชื่อ Spring Creek Hutterite Colony ในราคา 530,000 ดอลลาร์ โดยยังไม่มีความชัดเจนว่าจะทำอะไร แต่ตอนนี้มันยังคงถูกทิ้งร้าง
ที่มา Wikipedia / Missile Threat / Weather.com
Cr.https://www.amusingplanet.com/2015/04/stanley-r-mickelsen-safeguard-complex.html / KAUSHIK PATOWARY

Sound Mirrors
(กระจกอะคูสติกคอนกรีต WW1 สูง 4.5 เมตร (14 ฟุต 9 นิ้ว) ใกล้ Kilnsea Grange, East Yorkshire, สหราชอาณาจักร) 
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งกองทัพอากาศได้สร้างกระจก acoustic mirrors ขนาดมหึมาซึ่งรู้จักกันในชื่อ 'หูฟัง' (listening ears / the ear) ทำหน้าที่เป็นระบบเตือนภัยล่วงหน้าสำหรับการบุกรุกทางอากาศที่เข้ามา รูปทรงพาราโบลา (แนวโค้ง) ของกระจกจะเก็บรวบรวมและขยายคลื่นเสียงในอากาศเหนือช่องแคบอังกฤษและนำไปที่ไมโครโฟนที่อยู่ด้านหน้า ทำให้ผู้ฟังสามารถตรวจจับเสียงของเครื่องบินที่อยู่ไกลออกไปในช่องแคบอังกฤษได้ กระจกเงาจะช่วยเตือนอังกฤษล่วงหน้า 15 นาทีถึงการโจมตีที่กำลังจะมาถึง

Acoustic mirrors ถูกสร้างขึ้นในหลายแห่งทั่วบริเตนใหญ่ แต่กระจกที่ Denge ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุด มี Acoustic mirrors สามบานใน Denge ซึ่งสูง 200 ฟุตใกล้แนวตั้งผนังโค้งกระจกรูปจานทรงกลม 30 ฟุตและกระจกอีกบานที่สูง 20 ฟุต  พวกมันใช้งานได้ดีและสามารถใช้ตรวจจับเครื่องบินข้าศึกที่เคลื่อนที่ช้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับเป้าหมาย อย่างไรก็ตามการใช้งานของพวกมันถูกจำกัดเนื่องจากความเร็วที่เพิ่มขึ้นของเครื่องบินในทศวรรษที่ 1930 ในที่สุดในปี 1932 การคิดค้นเรดาร์ทำให้ Acoustic mirrors ล้าสมัย
Cr.https://www.amusingplanet.com/2011/01/wartime-sound-mirrors-at-denge.html / By KAUSHIK PATOWARY

 Maunsell Forts
ป้อมปราการ Maunsell Forts ตั้งชื่อตามวิศวกรโยธาผู้ออกแบบที่ชื่อ Guy Maunsell (ผู้รับผิดชอบในการออกแบบแนวป้องกันทางทะเลและป้อมปราการกองทัพอังกฤษทั้งหมดรอบบริเวณแถบชายฝั่งปากแม่น้ำเทมส์ไปจนถึงปากแม่น้ำเมอร์ซีย์) ถูกสร้างขึ้นโดยกองทัพอังกฤษในปี 1942 เพื่อใช้สู้รบกับฝูงเครื่องบินของกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตัวป้อมตั้งอยู่นอกชายฝั่งออกไปราว 6 ไมล์ บริเวณปากแม่น้ำเทมส์ (Thames Estuary) เนื่องจากต้องการใช้เป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับอากาศยานของฝั่งนาซี 

เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงก่อสร้างเป็นโครงสร้างนอกชายฝั่งด้วยฐานเป็นคอนกรีตแบบ pontoon รองรับด้วยเสาคอนกรีต 4 ขา และส่วนบนเป็นโครงสร้างเหล็ก โดยจะทำการลากแบบลอยน้ำไปจนถึงที่ตั้งแล้วปั๊มน้ำค่อนจมมันลงไปนั่งที่พื้นทะเล ซึ่งถือเป็นหลักการเดียวกันกับ Concrete Gravity Base Structure ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ในทางเทคนิคจึงถือว่า Maunsell Fort เป็นจุดเริ่มต้นของโครงสร้างนอกชายฝั่งที่ใช้ขุดเจาะน้ำมันกลางทะเลในบริเวณอ่าวเม็กซิโกที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อช่วงราวปี1955 และในปัจจุบัน

โดยตัวป้อมมีการติดตั้งระบบปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน เชื่อมต่อกันด้วยสะพานเชื่อม และมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ในช่วงที่ปฏิบัติงาน ในแต่ละพื้นที่มีทหารประจำอยู่ถึง 200 คน โดยได้ปฏิบัติการระหว่างช่วงปี 1942 จนกระทั่งถูกปลดประจำการปล่อยให้ทิ้งร้างเมื่อปี 1958  ป้อมที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันคือ ชุดป้อมปราการ Red Sands และ Rough Sands

ในส่วนของป้อมปราการ Red Sands นั้นประกอบไปด้วย แท่น 7 แท่น ถูกยึดโดยสถานีวิทยุเถื่อนในปี 1960 มีดีเจสลับกันขึ้นมาจัดรายการเพลงตลอดทั้งวัน จึงถือว่าสถานวิทยุเถื่อนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกที่นี่ จนมีการปราบปรามจากทางการและถูกทิ้งร้างอีกครั้งปี 1967 ต่อมาในปี 2003 มีการรวมตัวกันภายใต้ Red Sand Project พยายามจะให้ทางการอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างอันทรงคุณค่าไว้ โดยตอนแรกพยายามจะ Refloat ขึ้นมาแล้วลากกลับเข้าฝั่ง แต่มีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป
ปัจจุบันยังมีความพยายามที่จะปรับปรุงซ่อมแซมตัวแท่นเพื่อให้ยังคงอยู่ท่ามกลางพายุได้ และยังคงมีทัวร์พานักท่องเที่ยวล่องเรือไปชมแท่นกลางทะเลอยู่ และเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2016  BBC ได้ทำสกู๊ปสารคดีสั้นเกี่ยวกับที่นี่
Cr.ภาพ worldwar2planes.yolasite.com/
Cr.https://kkurojjanawong.wordpress.com/2019/12/26/ป้อมปราการ-maunsell-forts/
Cr.http://www.culturedcreatures.co/red-sands-fort/

Fort Boyard
ป้อม Boyard นอกชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของฝรั่งเศสใกล้กับเมือง Makhachkala และสถานีทดสอบอาวุธทางเรือนอกชายฝั่งแคสเปียนของสาธารณรัฐดาเกสถาน มีชะตากรรมค่อนข้างคล้ายกัน   Fort Boyard สร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการสำหรับป้องกันเมือง Charente และอ่าว Rochefort ในช่วงศตวรรษที่ 17

อาคารทั้งสองสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร ทั้งสองตั้งอยู่บนบล็อกหินและมีน้ำล้อมรอบทุกด้านเริ่มสร้างในปี 1934  โดยขุดหลุมขนาดใหญ่บนชายฝั่งสร้างฐานรองรับจากนั้นก็ลากทั้งหมดลงใต้น้ำลึกลงไปในทะเลลึก 2,700 เมต และจากนั้นการก่อสร้างอาคารก็ดำเนินไปตามปกติ โดยคนงานและวัสดุก่อสร้างถูกส่งมาโดยเรือเดินทะเล

หลังจากผ่านไป 4 ปีอาคารก็เสร็จสมบูรณ์ พื้นที่มากกว่า 5,000 ตร.ม. สูง 42 ม. มีเก้าชั้น - หอสังเกตการณ์ ห้องรับประทานอาหาร ห้องสมุด ห้องออกกำลังกาย แต่ในเวลาไม่ถึง 30 ปีก็ถูกทิ้งร้าง โดยก่อนหน้านี้ที่นี่มีการทดสอบตอร์ปิโด แต่เวลาเปลี่ยนไปอาวุธถูกปรับปรุงและการทดสอบต้องใช้ความลึกที่มากขึ้น  เวลาผ่านไปอาคารกำลังค่อยๆถูกทำลายจากน้ำทะเลและลม 


สถานีทดสอบอาวุธทางเรือที่ถูกทิ้งร้าง (ร้าน 8 ของโรงงาน Dagdizel, Kaspiysk)
ย้อนกลับไปในอดีต ฝรั่งเศสถือเป็นอีกประเทศที่ออกล่าอาณานิคมและมีการทำสงครามกับอังกฤษด ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทหารอังกฤษบุกเข้าโจมตีจาก 2 ฝั่ง สถาปนิกชาวฝรั่งเศสจึงสร้าง Fort Boyard กลางทะเล Ile d’Oléron ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเป็นป้อมปราการสำหรับป้องกันเมือง Charente และอ่าว Rochefort ในช่วงศตวรรษที่ 17 
 
จุดประสงค์แรกสุดก็เพื่อใช้เป็นฐานทัพกองกำลังแห่งฝรั่งเศสภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรเจกต์ถูกเริ่มตั้งแต่ปี 1662 ด้วยวิทยาการอะไรต่างๆ ทำให้โครงการสร้างไม่สำเร็จเพราะค่าใช้จ่ายสูงเกินไป  แต่มันก็ถูกใช้งานมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ทำสงครามกับอังกฤษ จนกระทั่งในปี1801 ยุคการปกครองของนโปเลียนได้สั่งให้มีการบูรณะสถานที่นี้ใหม่ แต่ยังไม่ทันได้สร้างดีโครงการก็ถูกล้มเลิกไป จนต่อมาในปี 1830 พระเจ้าหลุยส์ฟิลิปจึงได้สั่งสร้างสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง
 


Fort Boyard ในมหาสมุทร Ile d’Oléron 
 
ในปี 1858 หลังก่อสร้างเสร็จสถานที่แห่งนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นโกดังสำหรับเก็บอาหาร และอาวุธทหารต่างๆ  แต่เมื่อยุคสมัยผ่านไปจุดประสงค์ที่ถูกใช้งานก็เปลี่ยนตาม เมื่อปี 1990 สถานที่แห่งนี้ก็ถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งจากรายการเรียลลิตี้ทีวีโชว์ Les Adventures ซึ่งเป็นรายการที่จะพาผู้เข้าแข่งขันไปเอาชีวิตรอดบนเกาะแห่งนี้ 

ที่มา Boredomtherapy
Cr.https://www.catdumb.com/castle-on-sea-in-france-420/By อดีตเหมียว

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่