เรื่อง เปรตขี่ม้าขาว
ตอน บุรุษผู้โชคร้าย
ครั้งหนึ่ง ในพระนครเวสาลี มีเปือกตมอยู่ในที่ใกล้ร้านตลาดของพ่อค้าคนหนึ่ง. ชนเป็นอันมาก ต่างต้องกระโดดข้ามไปมา ได้รับความลำบากอยู่บ้าง บางคนก็เปราะเปื้อนโคลนตม. พ่อค้าเห็นดังนั้น จึงคิดว่า คนเหล่านี้อย่าต้องลำบากเพราะการเหยียบเปือกตมเลย จึงได้นำกระดูกศีรษะโคอันมีสีเหมือนดังสังข์ปราศจากกลิ่นเหม็น มาวางทอดไว้. ก็ตามปกติ เขาเป็นคนมีศีลไม่มักโกรธ มีวาจาอ่อนหวาน และกล่าวสรรเสริญถึงคุณความดีของผู้อื่นตามความเป็นจริง
และวันนั้น ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขาลงอาบน้ำ ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น เขาเห็นเข้าคิดจะล้อเล่น จึงซ่อนผ้านุ่งไว้ ทำให้เขาลำบากเสียก่อนจึงจะให้คืน. ในวันเดียวกันหลานของเขาขโมยสิ่งของมาจากเรือนของคนอื่น แล้วทิ้งไว้ที่ร้านของเขานั่นเอง.
เจ้าของทรัพย์ติดตามมาเมื่อตรวจดูในร้าน พบสิ่งของที่ตนกำลังค้นหาอยู่ จึงจับหลานของเขาและตัวเขาพร้อมทั้งของกลางถวายแก่พระราชา. พระราชาไม่ได้พิจารณาความให้ดีเสียก่อน จึงสั่งบังคับว่า พวกท่านจงตัดศีรษะผู้นี้ ส่วนหลานของเขาจงเสียบหลาวประจานไว้ที่นอกเมือง. พวกราชบุรุษได้กระทำตามพระกระแสรับสั่งนั้น.
เขาทำกาละแล้วบังเกิดในภุมเทพ มีม้าอาชาไนยทิพย์ สีขาว มีความเร็วประดุจลม ซึ่งเป็นผลจากที่เอาศีรษะโคทำสะพาน และเนื่องจากการกล่าวสรรเสริญคุณของผู้มีคุณ กลิ่นทิพย์จึงฟุ้งออกจากกายของเขา แต่เขากลับเป็นผู้เปลือยกาย เพราะเก็บผ้าสาฎกของเพื่อนไปซ่อนไว้ เมื่อตรวจดูกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อน ก็พลันเห็นหลานของตนถูกเสียบหลาวอยู่นอกเมือง บังเกิดความกรุณา จึงขึ้นม้ามีฝีเท้าเร็วทันใจ ในเวลาเที่ยงคืน ก็มาถึงสถานที่ที่หลานนั้นถูกเสียบไว้บนหลาว จึงยืนอยู่ในที่ไม่ไกล กล่าวซ้ำทุกวัน ๆ ว่า เจ้าหลานรัก เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไปเถิด เพราะการมีชีวิตอยู่ของเจ้าประเสริฐแล้ว

วันหนึ่ง พระเจ้าอัมพสักขระประทับบนคอช้างเชือกประเสริฐ เสด็จเลียบพระนคร ภรรยาของบุรุษเข็ญใจคนใดคนหนึ่ง ยีนอยู่ในเรื่อนของตน เปิดบานหน้าต่างบานหนึ่ง พอแลดูพระราชาก็หลบไป. การหลบไปของหญิงนั้น ปรากฏแก่พระราชา ราวกับว่าพระจันทร์เพ็ญเข้าไปสู่กลีบเมฆ. ท้าวเธอ ทรงมีพระหฤทัยปฏิพัทธ์ในหญิงนั้น เป็นประหนึ่งว่า จะพลัดตกจากคอช้างเสียให้ได้ ทรงรีบกระทำประทักษิณพระนคร แล้วเสด็จเข้าสู่พระราชวัง ตรัสกะอำมาตย์คนสนิทนายหนึ่งว่า เรือนที่เราชำเลืองดูในที่โน้น เธอเห็นไหม
เห็น พระเจ้าข้า.
เธอเห็นหญิงคนหนึ่งในเรือนนั้นไหม
เห็น พระเจ้าข้า.
ลองไปสืบดูซิ ว่านางมีสามีหรือยัง
อำมาตย์นั้นรีบไปตามรับสั่ง สืบทราบว่าหญิงนั้นมีสามีแล้ว จึงกลับมากราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ หญิงนั้นมีสามีแล้วพระเจ้าข้า.
พระราชาแม้จะทรงทราบว่านางมีสามีแล้ว แต่ก็ไม่อาจหักห้ามพระทัยได้ จึงตรัสสั่งอำมาตย์นั้นว่า ถ้ากระนั้น เธอจงเรียกสามีของหญิงนั้นมา
อำมาตย์รับพระกระแสรับสั่งนั้น แล้วไปพูดกะสามีของหญิงนั้นว่า มานี่แน่ะ นาย พระราชารับสั่งหาท่าน บุรุษนั้น คิดว่า ภัยอันตรายคงเกิดขึ้น เพราะภรรยาคนสวยของเราแน่ เมื่อไม่อาจจะขัดขืนพระราชอาญา จึงได้ไปถวายบังคมพระราชา แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.
พระราชาตรัสกะเขาว่า พนาย เธอจงมารับใช้เรา.
ข้าแต่สมมติเทพ อย่าเลย ข้าพระองค์ทำการงานของตน จะถวายส่วยแด่พระองค์ ขอให้ข้าพระองค์เลี้ยงชีพอยู่อย่างนั้นเถิด พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า เราไม่ต้องการส่วยของเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงมารับใช้เรา แล้วพระราชทานโล่และอาวุธแก่บุรุษนั้น. ฟังว่า พระราชา ทรงดำริว่า เราจะแสวงหาโทษสักอย่างหนึ่งของเขาแล้วฆ่าทิ้งเสีย จากนั้นจะริบเอาภรรยาของเขามา.
ทีนั้น เขากลัวต่อมรณภัยจึงเป็นผู้ไม่ประมาท รับใช้พระราชาด้วยดี กระทำกิจทุกอย่างมิให้บกพร่องเลย
พระราชาไม่ทรงเห็นโทษของบุรุษนั้นเลย แต่เพราะความเร่าร้อนในกามกำเริบอยู่ตลอด จึงทรงดำริว่า เราจะแสวงหาโทษของเขาสักอย่างหนึ่ง แล้วลงราชอาญาให้จงได้ เมื่อทรงดำริดังนั้นจึงรับสั่งให้เรียกเขาเข้าเฝ้า ตรัสว่า ผู้เจริญ เจ้าจงไปยังไปยังแม่น้ำโน้น ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๕ โยชน์ จงนำเอาดอกโกมุท ดอกอุบลและดินสีอรุณมาให้ทันในเวลาเราอาบน้ำในเวลาเย็น, ถ้าเธอไม่อาจนำมาได้ในตอนนั้น เราจะลงอาญาแก่เธอ.
ฝ่ายบุรุษผู้โชคร้ายนั้น เมื่อถูกมรณภัยคุกคาม จึงรีบวิ่งไปสู่สระโบกขรณีนั้นโดยเร็ว โดยมิยอมหยุดพักเลย ครั้นถึงสระโบกขรณีนั้น กลับไม่กล้าจะลงไป เพราะเคยได้สดับตรับฟังมาก่อนว่า สระโบกขรณีนั้น มีอมนุษย์หวงแหน เพราะความกลัว เขาจึงเดินวนเวียนไปมารอบ ๆ หวาดหวั่นในใจว่า ในที่นี้ จะมีอันตรายอะไรหรือไม่หนอ.
อมนุษย์ผู้รักษาสระโบกขรณีเห็นเขาเข้า บังเกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า เขามาทำอะไรแถวนี้ จึงแปลงเป็นมนุษย์เข้าไปหาถามว่า สหาย ท่านมาที่นี้ประสงค์สิ่งใดหรือ
เขากล่าวว่า ข้าพเจ้ามาที่นี้เพื่อต้องการดอกโกมุท ดอกอุบลและดินสีอรุณ แต่ก็ไม่กล้าลงไปในสระจึงต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้ จากนั้นได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้อมนุษย์นั้นฟัง.
อมนุษย์นั้นบังเกิดความกรุณา จึงกล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจงลงไปเด็ดเอาตามต้องการเถิด เมื่อได้สิ่งของตามความต้องการแล้ว จงรีบให้ไปให้ทันเวลาอย่ารอช้า หวังว่าท่านคงไปทันเวลา ว่าแล้วก็แสดงรูปทิพย์ของตน แล้วหายไปในที่นั้นนั่นเอง
เขาได้ฟังดังนั้นรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ร้องตะโกนออกไปว่า ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านมาก จากนั้นถือเอาดินสีอรุณและดอกอุบลแดงในสระโบกขรณี รีบวิ่งกลับไปยังพระนครโดยเร็ว
ฝ่ายพระราชา ทรงดำริว่า ธรรมดามนุษย์ทั้งหลาย มีมนต์มาก ถ้าบุรุษนั้น พึงได้ของนั้นด้วยอุบายบางอย่าง เรื่องที่เราทำมาทั้งหมดก็เป็นอันล้มเหลว ท้าวเธอรับสั่งให้ปิดประตูเมืองเสียแต่วันเทียว สั่งให้นำลูกดาลไปยังสำนักของพระองค์.
บุรุษนั้น มาทันในเวลาก่อนพระอาทิตย์จะอัสดงคต แต่เขาไม่อาจเข้าไปในเมืองได้ จึงเรียกคนเฝ้าประตู กล่าวว่า ท่านจงเปิดประตู ท่านจงเปิดประตู.
คนเฝ้าประตูกล่าวว่า เราไม่อาจจะเปิดได้ พระราชารับสั่งให้นำลูกดาลไปสู่พระราชมนเทียรตั้งแต่หัววันแล้ว.
บุรุษนั้น แม้จะบอกว่า เราเป็นราชทูต ท่านจงเปิดประตู ก็ไม่สามารถสามารถเข้าไปในเมืองได้ หมดหนทางที่จะแก้ไข จึงทอดถอนใจหมดอาลัยตายอยากในชีวิต คิดว่า บัดนี้เราเอาชีวิตไม่รอด จะทำอย่างไรดีนี่ ในขณะที่กำลังทอดอาลัยอยู่นั้นพลันเหลือบไปเห็นบุรุษผู้ถูกเสียบบนหลาวใกล้ประตู ดำริขึ้นในใจว่า นี่คงเป็นความหวังสุดท้ายของเรา จึงร้องออกไปว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นพยานให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้ามาถึงประตูเมืองก่อนพระอาทิตย์จะอัสดงคตเสียอีก แต่พวกเขากลับปิดประตูเมืองเสีย แม้ข้าพเจ้าจะร้องบอกอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดประตู ท่านก็จงรู้เถิดว่า เรามาทันเวลา เราไม่มีโทษแต่อย่างใด.
บุรุษผู้อยู่บนหลาวได้ฟังดังนั้น ให้รู้สึกเห็นใจในโชคชะตาของเขาเป็นกำลัง จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกร้อยด้วยหลาว ชีวิตกำลังบ่ายหน้าไปหาความตาย เขาจะฆ่าในวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ จะเป็นพยานให้ท่านได้อย่างไร. แต่เอาเถิด ยังพอมีหนทางอยู่ คือทุกคืนจะมีเปรตตนหนึ่งซึ่งมีฤทธิ์มาก เหาะลงจากอากาสมาปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา แล้วร้องเตือนอยู่ทุกคืน ถ้าท่านไม่เกรงกลัว ก็จงให้เปรตนั่นแหละเป็นพยานให้
บุรุษนั้นถามว่า เราจะเห็นเปรตผู้มีฤทธิ์มากตนนั้นได้อย่างไร.
บุรุษผู้อยู่บนหลาวกล่าวว่า ท่านจงรออยู่ที่นี้แหละ ท่านจะเห็นด้วยตนเอง.
เขายืนรออยู่ในที่นั้นด้วยความหวังซึ่งหลงเหลือเพียงทางสุดท้าย
ครั้นถึงมัชฌิมยามเปรตนั้นมีม้าสีขาวเป็นพาหนะเหาะลงมาจากนภากาศ มาอยู่ต่อหน้าของบุรุษผู้ถูกหลาวเสียบอยู่ แล้วร้องเตือนว่า เจ้าหลานรัก เจ้าจงมีชีวิตต่อไปเถิด การมีชีวิตอยู่ของเจ้านั้นประเสริฐแล้ว
เขาเห็นเปรตดังนั้นจึงเข้าไปหากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านอาศัยความกรุณา โปรดเป็นพยานให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด จากนั้นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เปรตฟัง
เปรตได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด บังเกิดความกรุณาต่อเขา กล่าวว่า ได้ ข้าพเจ้ายินดีเป็นพยานให้ท่าน
ครั้นเมื่อราตรีสว่าง พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษนำตัวเขามายืนอยู่หน้าพระพักตร์ ตรัสว่า เจ้า ล่วงอาญาของเรา เพราะฉะนั้น เราจะลงราชทัณฑ์แก่เจ้า
เขากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่ได้ล่วงอาชญาของพระองค์ ข้าพระองค์มาถึงที่นี้ ก่อนที่พระอาทิตย์จะอัสดงคตเสียอีก
พระราชาตรัสถามว่า ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้น ใครเป็นพยานให้เจ้า.
มีอยู่พระเจ้าข้า ที่หน้าประตูพระนคร มีเปรตเปลือยกายตนหนึ่ง มาหาหลานของตนทุกค่ำคืน เขานั่นและจะเป็นพยานของข้าพระองค์พระเจ้าข้า
เรื่องนี้จะให้เราเชื่อได้อย่างไร
ในเวลาราตรี ของวันนี้ พระองค์จงส่งบุรุษที่น่าเชื่อถือไปกับข้าพระองค์ แล้วจะทรงทราบเอง พระเจ้าข้า.
พระราชาได้สดับดังนั้น แม้ไม่พอพระทัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจทำอย่างไรได้ อีกทั้งยังสงสัยพระทัยอยู่ในทีว่า เจ้านี่จะมีลวดลายอะไรอีก จึงเสด็จไปในที่นั้นพร้อมกับบุรุษนั้นด้วยพระองค์เอง แล้วประทับยืนอยู่ในที่ไม่ไกลบุรุษผู้ถูกหลาวเสียบเท่าใดนัก
ครั้นถึงมัชฌิมยาม เปรตมีม้าขาวเป็นพาหนะได้เหาะลงมาจากนภากาศ

ปรากฏอยู่ต่อหน้าบุรุษผู้ถูกหลาวเสียบ พร้อมกับร่ำร้องว่า เจ้าหลานรัก เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไปเถิด การมีชีวิตอยู่นั้น ประเสริฐแล้ว
cr.ขุนพลไร้เงา
จบตอน บุรุษผู้โชคร้าย
พบกันใหม่โอกาสหน้า
เรื่อง เปรตขี่ม้าขาว ตอน บุรุษผู้โชคร้าย
ตอน บุรุษผู้โชคร้าย
ครั้งหนึ่ง ในพระนครเวสาลี มีเปือกตมอยู่ในที่ใกล้ร้านตลาดของพ่อค้าคนหนึ่ง. ชนเป็นอันมาก ต่างต้องกระโดดข้ามไปมา ได้รับความลำบากอยู่บ้าง บางคนก็เปราะเปื้อนโคลนตม. พ่อค้าเห็นดังนั้น จึงคิดว่า คนเหล่านี้อย่าต้องลำบากเพราะการเหยียบเปือกตมเลย จึงได้นำกระดูกศีรษะโคอันมีสีเหมือนดังสังข์ปราศจากกลิ่นเหม็น มาวางทอดไว้. ก็ตามปกติ เขาเป็นคนมีศีลไม่มักโกรธ มีวาจาอ่อนหวาน และกล่าวสรรเสริญถึงคุณความดีของผู้อื่นตามความเป็นจริง
และวันนั้น ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขาลงอาบน้ำ ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น เขาเห็นเข้าคิดจะล้อเล่น จึงซ่อนผ้านุ่งไว้ ทำให้เขาลำบากเสียก่อนจึงจะให้คืน. ในวันเดียวกันหลานของเขาขโมยสิ่งของมาจากเรือนของคนอื่น แล้วทิ้งไว้ที่ร้านของเขานั่นเอง.
เจ้าของทรัพย์ติดตามมาเมื่อตรวจดูในร้าน พบสิ่งของที่ตนกำลังค้นหาอยู่ จึงจับหลานของเขาและตัวเขาพร้อมทั้งของกลางถวายแก่พระราชา. พระราชาไม่ได้พิจารณาความให้ดีเสียก่อน จึงสั่งบังคับว่า พวกท่านจงตัดศีรษะผู้นี้ ส่วนหลานของเขาจงเสียบหลาวประจานไว้ที่นอกเมือง. พวกราชบุรุษได้กระทำตามพระกระแสรับสั่งนั้น.
เขาทำกาละแล้วบังเกิดในภุมเทพ มีม้าอาชาไนยทิพย์ สีขาว มีความเร็วประดุจลม ซึ่งเป็นผลจากที่เอาศีรษะโคทำสะพาน และเนื่องจากการกล่าวสรรเสริญคุณของผู้มีคุณ กลิ่นทิพย์จึงฟุ้งออกจากกายของเขา แต่เขากลับเป็นผู้เปลือยกาย เพราะเก็บผ้าสาฎกของเพื่อนไปซ่อนไว้ เมื่อตรวจดูกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อน ก็พลันเห็นหลานของตนถูกเสียบหลาวอยู่นอกเมือง บังเกิดความกรุณา จึงขึ้นม้ามีฝีเท้าเร็วทันใจ ในเวลาเที่ยงคืน ก็มาถึงสถานที่ที่หลานนั้นถูกเสียบไว้บนหลาว จึงยืนอยู่ในที่ไม่ไกล กล่าวซ้ำทุกวัน ๆ ว่า เจ้าหลานรัก เจ้าจงมีชีวิตอยู่ต่อไปเถิด เพราะการมีชีวิตอยู่ของเจ้าประเสริฐแล้ว
วันหนึ่ง พระเจ้าอัมพสักขระประทับบนคอช้างเชือกประเสริฐ เสด็จเลียบพระนคร ภรรยาของบุรุษเข็ญใจคนใดคนหนึ่ง ยีนอยู่ในเรื่อนของตน เปิดบานหน้าต่างบานหนึ่ง พอแลดูพระราชาก็หลบไป. การหลบไปของหญิงนั้น ปรากฏแก่พระราชา ราวกับว่าพระจันทร์เพ็ญเข้าไปสู่กลีบเมฆ. ท้าวเธอ ทรงมีพระหฤทัยปฏิพัทธ์ในหญิงนั้น เป็นประหนึ่งว่า จะพลัดตกจากคอช้างเสียให้ได้ ทรงรีบกระทำประทักษิณพระนคร แล้วเสด็จเข้าสู่พระราชวัง ตรัสกะอำมาตย์คนสนิทนายหนึ่งว่า เรือนที่เราชำเลืองดูในที่โน้น เธอเห็นไหม
เห็น พระเจ้าข้า.
เธอเห็นหญิงคนหนึ่งในเรือนนั้นไหม
เห็น พระเจ้าข้า.
ลองไปสืบดูซิ ว่านางมีสามีหรือยัง
อำมาตย์นั้นรีบไปตามรับสั่ง สืบทราบว่าหญิงนั้นมีสามีแล้ว จึงกลับมากราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ หญิงนั้นมีสามีแล้วพระเจ้าข้า.
พระราชาแม้จะทรงทราบว่านางมีสามีแล้ว แต่ก็ไม่อาจหักห้ามพระทัยได้ จึงตรัสสั่งอำมาตย์นั้นว่า ถ้ากระนั้น เธอจงเรียกสามีของหญิงนั้นมา
อำมาตย์รับพระกระแสรับสั่งนั้น แล้วไปพูดกะสามีของหญิงนั้นว่า มานี่แน่ะ นาย พระราชารับสั่งหาท่าน บุรุษนั้น คิดว่า ภัยอันตรายคงเกิดขึ้น เพราะภรรยาคนสวยของเราแน่ เมื่อไม่อาจจะขัดขืนพระราชอาญา จึงได้ไปถวายบังคมพระราชา แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.
พระราชาตรัสกะเขาว่า พนาย เธอจงมารับใช้เรา.
ข้าแต่สมมติเทพ อย่าเลย ข้าพระองค์ทำการงานของตน จะถวายส่วยแด่พระองค์ ขอให้ข้าพระองค์เลี้ยงชีพอยู่อย่างนั้นเถิด พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า เราไม่ต้องการส่วยของเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงมารับใช้เรา แล้วพระราชทานโล่และอาวุธแก่บุรุษนั้น. ฟังว่า พระราชา ทรงดำริว่า เราจะแสวงหาโทษสักอย่างหนึ่งของเขาแล้วฆ่าทิ้งเสีย จากนั้นจะริบเอาภรรยาของเขามา.
ทีนั้น เขากลัวต่อมรณภัยจึงเป็นผู้ไม่ประมาท รับใช้พระราชาด้วยดี กระทำกิจทุกอย่างมิให้บกพร่องเลย
พระราชาไม่ทรงเห็นโทษของบุรุษนั้นเลย แต่เพราะความเร่าร้อนในกามกำเริบอยู่ตลอด จึงทรงดำริว่า เราจะแสวงหาโทษของเขาสักอย่างหนึ่ง แล้วลงราชอาญาให้จงได้ เมื่อทรงดำริดังนั้นจึงรับสั่งให้เรียกเขาเข้าเฝ้า ตรัสว่า ผู้เจริญ เจ้าจงไปยังไปยังแม่น้ำโน้น ซึ่งมีระยะทางประมาณ ๕ โยชน์ จงนำเอาดอกโกมุท ดอกอุบลและดินสีอรุณมาให้ทันในเวลาเราอาบน้ำในเวลาเย็น, ถ้าเธอไม่อาจนำมาได้ในตอนนั้น เราจะลงอาญาแก่เธอ.
ฝ่ายบุรุษผู้โชคร้ายนั้น เมื่อถูกมรณภัยคุกคาม จึงรีบวิ่งไปสู่สระโบกขรณีนั้นโดยเร็ว โดยมิยอมหยุดพักเลย ครั้นถึงสระโบกขรณีนั้น กลับไม่กล้าจะลงไป เพราะเคยได้สดับตรับฟังมาก่อนว่า สระโบกขรณีนั้น มีอมนุษย์หวงแหน เพราะความกลัว เขาจึงเดินวนเวียนไปมารอบ ๆ หวาดหวั่นในใจว่า ในที่นี้ จะมีอันตรายอะไรหรือไม่หนอ.
อมนุษย์ผู้รักษาสระโบกขรณีเห็นเขาเข้า บังเกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า เขามาทำอะไรแถวนี้ จึงแปลงเป็นมนุษย์เข้าไปหาถามว่า สหาย ท่านมาที่นี้ประสงค์สิ่งใดหรือ
เขากล่าวว่า ข้าพเจ้ามาที่นี้เพื่อต้องการดอกโกมุท ดอกอุบลและดินสีอรุณ แต่ก็ไม่กล้าลงไปในสระจึงต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้ จากนั้นได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้อมนุษย์นั้นฟัง.
อมนุษย์นั้นบังเกิดความกรุณา จึงกล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจงลงไปเด็ดเอาตามต้องการเถิด เมื่อได้สิ่งของตามความต้องการแล้ว จงรีบให้ไปให้ทันเวลาอย่ารอช้า หวังว่าท่านคงไปทันเวลา ว่าแล้วก็แสดงรูปทิพย์ของตน แล้วหายไปในที่นั้นนั่นเอง
เขาได้ฟังดังนั้นรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ร้องตะโกนออกไปว่า ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านมาก จากนั้นถือเอาดินสีอรุณและดอกอุบลแดงในสระโบกขรณี รีบวิ่งกลับไปยังพระนครโดยเร็ว
ฝ่ายพระราชา ทรงดำริว่า ธรรมดามนุษย์ทั้งหลาย มีมนต์มาก ถ้าบุรุษนั้น พึงได้ของนั้นด้วยอุบายบางอย่าง เรื่องที่เราทำมาทั้งหมดก็เป็นอันล้มเหลว ท้าวเธอรับสั่งให้ปิดประตูเมืองเสียแต่วันเทียว สั่งให้นำลูกดาลไปยังสำนักของพระองค์.
บุรุษนั้น มาทันในเวลาก่อนพระอาทิตย์จะอัสดงคต แต่เขาไม่อาจเข้าไปในเมืองได้ จึงเรียกคนเฝ้าประตู กล่าวว่า ท่านจงเปิดประตู ท่านจงเปิดประตู.
คนเฝ้าประตูกล่าวว่า เราไม่อาจจะเปิดได้ พระราชารับสั่งให้นำลูกดาลไปสู่พระราชมนเทียรตั้งแต่หัววันแล้ว.
บุรุษนั้น แม้จะบอกว่า เราเป็นราชทูต ท่านจงเปิดประตู ก็ไม่สามารถสามารถเข้าไปในเมืองได้ หมดหนทางที่จะแก้ไข จึงทอดถอนใจหมดอาลัยตายอยากในชีวิต คิดว่า บัดนี้เราเอาชีวิตไม่รอด จะทำอย่างไรดีนี่ ในขณะที่กำลังทอดอาลัยอยู่นั้นพลันเหลือบไปเห็นบุรุษผู้ถูกเสียบบนหลาวใกล้ประตู ดำริขึ้นในใจว่า นี่คงเป็นความหวังสุดท้ายของเรา จึงร้องออกไปว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นพยานให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้ามาถึงประตูเมืองก่อนพระอาทิตย์จะอัสดงคตเสียอีก แต่พวกเขากลับปิดประตูเมืองเสีย แม้ข้าพเจ้าจะร้องบอกอย่างไรก็ไม่ยอมเปิดประตู ท่านก็จงรู้เถิดว่า เรามาทันเวลา เราไม่มีโทษแต่อย่างใด.
บุรุษผู้อยู่บนหลาวได้ฟังดังนั้น ให้รู้สึกเห็นใจในโชคชะตาของเขาเป็นกำลัง จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าถูกร้อยด้วยหลาว ชีวิตกำลังบ่ายหน้าไปหาความตาย เขาจะฆ่าในวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ จะเป็นพยานให้ท่านได้อย่างไร. แต่เอาเถิด ยังพอมีหนทางอยู่ คือทุกคืนจะมีเปรตตนหนึ่งซึ่งมีฤทธิ์มาก เหาะลงจากอากาสมาปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา แล้วร้องเตือนอยู่ทุกคืน ถ้าท่านไม่เกรงกลัว ก็จงให้เปรตนั่นแหละเป็นพยานให้
บุรุษนั้นถามว่า เราจะเห็นเปรตผู้มีฤทธิ์มากตนนั้นได้อย่างไร.
บุรุษผู้อยู่บนหลาวกล่าวว่า ท่านจงรออยู่ที่นี้แหละ ท่านจะเห็นด้วยตนเอง.
เขายืนรออยู่ในที่นั้นด้วยความหวังซึ่งหลงเหลือเพียงทางสุดท้าย
ครั้นถึงมัชฌิมยามเปรตนั้นมีม้าสีขาวเป็นพาหนะเหาะลงมาจากนภากาศ มาอยู่ต่อหน้าของบุรุษผู้ถูกหลาวเสียบอยู่ แล้วร้องเตือนว่า เจ้าหลานรัก เจ้าจงมีชีวิตต่อไปเถิด การมีชีวิตอยู่ของเจ้านั้นประเสริฐแล้ว
เขาเห็นเปรตดังนั้นจึงเข้าไปหากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านอาศัยความกรุณา โปรดเป็นพยานให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด จากนั้นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เปรตฟัง
เปรตได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด บังเกิดความกรุณาต่อเขา กล่าวว่า ได้ ข้าพเจ้ายินดีเป็นพยานให้ท่าน
ครั้นเมื่อราตรีสว่าง พระราชารับสั่งให้ราชบุรุษนำตัวเขามายืนอยู่หน้าพระพักตร์ ตรัสว่า เจ้า ล่วงอาญาของเรา เพราะฉะนั้น เราจะลงราชทัณฑ์แก่เจ้า
เขากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่ได้ล่วงอาชญาของพระองค์ ข้าพระองค์มาถึงที่นี้ ก่อนที่พระอาทิตย์จะอัสดงคตเสียอีก
พระราชาตรัสถามว่า ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้น ใครเป็นพยานให้เจ้า.
มีอยู่พระเจ้าข้า ที่หน้าประตูพระนคร มีเปรตเปลือยกายตนหนึ่ง มาหาหลานของตนทุกค่ำคืน เขานั่นและจะเป็นพยานของข้าพระองค์พระเจ้าข้า
เรื่องนี้จะให้เราเชื่อได้อย่างไร
ในเวลาราตรี ของวันนี้ พระองค์จงส่งบุรุษที่น่าเชื่อถือไปกับข้าพระองค์ แล้วจะทรงทราบเอง พระเจ้าข้า.
พระราชาได้สดับดังนั้น แม้ไม่พอพระทัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจทำอย่างไรได้ อีกทั้งยังสงสัยพระทัยอยู่ในทีว่า เจ้านี่จะมีลวดลายอะไรอีก จึงเสด็จไปในที่นั้นพร้อมกับบุรุษนั้นด้วยพระองค์เอง แล้วประทับยืนอยู่ในที่ไม่ไกลบุรุษผู้ถูกหลาวเสียบเท่าใดนัก
ครั้นถึงมัชฌิมยาม เปรตมีม้าขาวเป็นพาหนะได้เหาะลงมาจากนภากาศ
cr.ขุนพลไร้เงา
จบตอน บุรุษผู้โชคร้าย
พบกันใหม่โอกาสหน้า