เข้าตลาดมาประมาณ 6 ปี เพิ่งมีปีนี้เองที่สามารถความแตกต่างระหว่างการเทรด และการซื้อเพื่อถือครองเป็น asset

เข้าตลาดมาประมาณ 6 ปี เพิ่งมีปีนี้เองที่ ที่ในทางปฏิบัติแล้ว สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการเทรด และการซื้อเพื่อถือครองเป็น asset  ได้

สำหรับเรามุมมองต่อทั้งสองแบบ เป็นการลงทุนทั้งสิ้น เพราะมีการลงทุนคือ เงิน เวลา ความรู้ ความสามารถ โดยมีจุดประสงเดียวกัน คือเพื่อให้ได้ผลตอบแทน

การเทรดคือเมื่อส่งออร์เดอร์ไปแล้ว ไม่ว่าจะ buy หรือ sell เมื่อปิดออเดอร์นั้นคุณต้องการได้กำไรส่วนต่าง ใจความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าสินค้านั้นตำ่กว่า book  หรือไม่ จริงๆมันไม่สำคัญกระทั้งว่าสินค้าที่เทรดคืออะไร แต่สาระสำคัญอยู่ที่ "ราคา" ที่เข้าซื้อหรือขาย และราคาตอนที่ปิดออเดอร์นั้นๆ

ตรงกันข้าม  การซื้อเพื่อถือครองเป็น asset ไม่ได้สนใจราคาเป็นหลัก แต่หัวใจหลักคือ จำนวน  share หรือจำนวนหุ้น ของกิจการที่สนใจ ราคาจะขึ้นจะลงช่างมัน แต่ยิ่งลงยิ่งดี ยิ่งถูกยิ่งดี เพราะจะได้ซื้อหุ้นได้จำนวนเยอะๆ ด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม การที่ซื้อแล้วราคาลงจึงไม่น่าจะเป็นสาระสำคัญสำหรับการลงทุนประเภทนี้ เพราะเมื่อเราซื้อหุ้นราคา x จำนวน 1000 หุ้น ต่อมาเมื่อราคาหุ้นตกไปที่ Y จำนวนหุ้นที่เราถือครองก็ยังมีจำนวนเท่าเดิม จึงไม่เห็นว่าเราจะขาดทุนได้อย่างไร ในเมื่อซื้อมาไม่ได้คิดจะขายตั้งแต่ต้น อยากได้เพิ่มขึ้นอีกต่างหาก

แล้วการลงทุนแบบหลังนี้จะได้อะไรเป็นผลตอบแทนล่ะในเมื่อส่วนต่างกำไรไม่ใช่ปัจจัยหลัก สิ่งนั้นคือการจ่ายปันผลไง และหากว่าหากกิจการเติบโตหรือฟื้นตัว ราคาหุ้นก็จะขึ้นตามไปเอง กำไรกิจการเยอะขึ้น ปันผลต่อหุ้นก็จะเยอะตาม และแม้ว่าราคาจะขึ้นไปสูง แต่คนที่ลงทุนประเภทนี้เขาก็ไม่ได้อยากจะขายหรอกนะ  อาจมีแบ่งขายนิดหน่อยแล้วซื้อกลับภายหลังให้ได้จำนวนหุ้นเยอะกว่าเดิม เพื่อที่ว่าตอนที่จ่ายปันผลต่อหุ้นเขาก็จะได้เงินปันผลมากขึ้นไปอีก  

การลงทุนแบบหลังจึงเห็นว่าคนซื้อมักถือยาว เพราะอะไร? เพราะเมื่อเลือกแล้วว่าเป็นกิจการที่ดี มั่นคง ทนทานทุกภาวะเศรษกิจได้ ก็ไม่ต้องมีความจำเป็นที่จะต้องซื้อๆขาย ๆเพิ่มงานของตนเอง   แค่ซื้อแล้วถือ สะสมหุ้นไปเรื่อยๆ การขึ้นลงของราคารายวันเป็นเพียงราคาที่เขา "เล่น” กัน ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรมากกว่านั้น

มันต่างกันนะ ที่ว่า"ถือยาวถึงจะเป็นการลงทุน” กับ "ลงทุนแบบนี้มักมีการถือยาว”

สำหรับเราแล้ว ใช้เวลานานหลายปีกว่าจะแยกความแตกต่างระหว่างการลงทุนสองแบบนี้ได้ ปัจจุบันเราเทรด เป็นหลัก พอมองย้อนไปในอดีตเราลงทุนแบบมั่วมาก ยกตัวอย่างเช่น ซื้อหุ้นหวังลงทุนระยะยาว เลือกกิจการดีมั่นคง แต่เช็คราคารายวันเลย ขึ้นสิบเปอร์นี่อยากขายมากๆๆ แล้วพอราคาลงสิบเปอร์ๆ ก็อยากขายมากๆอีกเหมือนกัน 55 ร้อนหนาวๆเลย นั่งหาข่าวหาบทวิเคราะห์ ลงเพราะอะไร พอลงแตะสิบห้าเปอร์เท่านั้น ขายหมดเลยค่าาา จากนั้นมันก็ลงไปสิบหก สิบเจ็ดปอร์ เราก็โล่งอก ว่าเราตัดสินใจถูก ต่อมา ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหม ราคามันก็วิ่งย้อนขึ้นมา เราก็นึกว่าจะเด้งเพื่อลงต่อ ที่ไหนได้มันขึ้นสูงขึ้นๆ เกินราคาที่เราขาย เราก็ไม่กล้าซื้อกลับเพราะราคามันสูงกว่าที่เคยขาย รู้สึกว่าแพง ยิ่งนับวันมันก็ยิ่งไต่ระดับสุดท้ายทำนิวไฮ นั่นแหละคะทั่นผู้ชม...

หรืออีกกรณี ก็คือซื้อเพื่อเก็งกำไร ใช้เวลาหาหุ้นอย่างเยอะ หาหุ้นดี กิจการเเติบโต มั่นคง ดูพื้นฐาน อ่านงบ อ่านบทวิเคราะห์ หาข่าว ดูปันผล พอซื้อแล้วราคาขึ้นไปสิปยี่สิบเปอร์ เท่านั้นแหละขายหมดเลยค่าาาา  แต่ถ้าซื้อแล้วมันลง อันนี้ก็เริ่มเป็นทุกข์อีก คิดแต่ว่าเมื่อไหร่มันจะขึ้น และถ้าลงไปเรื่อยๆ ก็ดันไปคิดอีกว่าหุ้นดี กิจการมั่นคง เดี๋ยวมันก็กลับมา 555 

ที่เขียนมายืดยาวไม่ใช่อะไร อยากให้น้องๆหรือนักลงทุนมือใหม่หลายท่าน ลงทุนให้ถูกกับจริตของตนเอง แยกให้ออกว่าเราจะลงทุนแบบไหน เมื่อเป้าหมายและแนวทางเราชัดเจน เราก็จะ action ได้เหมาะสมเมื่อราคาหุ้น ขึ้นหรือลง 

ถือว่าเอามุมมองมาร่วมแชร์นะคะ เราเองก็ไม่ได้เก่งอะไร ทุกวันนี้ก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เทรดเป็นงานรอง รายได้หลักยังมาจากงานประจำอยู่เลยค่ะ เราก็เก็บประสบการณ์เทรดเพื่อพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่