ผมจะมาเล่าประสบการณ์ถึงการรักษาด้วยไฟฟ้าบำบัดสำหรับผู้ป่วยทางจิตเวชด้วย ECT ครับ

วันนี้ ผมจะมาเล่าประสบการณ์รักษาผู้ป่วยจิตเวชด้วยไฟฟ้า (ECT) นะครับ
ECT คือ Electroconvulsive Therapy หรือเรียกสั้นๆ ว่า ECT เป็นวิธีการรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นต่ำผ่านสมองเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดอาการชัก ซึ่งจะส่งผลให้อาการทางจิตดีขึ้น เปรียบเทียบง่ายๆ คือ การทำ ECT เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นให้สารสื่อนำประสาทภายในสมองที่หลั่งผิดปกติได้กลับมา ผลข้างเคียงบางคนจะความทรงจำเสื่อมชั่วคราว ประมาณ 3-6 เดือนครับแล้วแต่เคมีในสมอง เป็นวิธีการรักษาขั้นสุดที่เราไม่มีการตอบสนองต่อยาที่กินครับ


การเตรียมตัวไม่ยากครับ ผมเผ้าสระสะอาด ไม่กินอาหารหลังเที่ยงคืน ตอนเช้าไปตามนัดเพราะทำตอนเช้า ต้องมีญาติไปด้วยนะครับเพื่อเขาจะพาเรากลับบ้านได้ หลังทำเรากลับเองไม่ได้ครับ เขาจะมีชุดให้เปลี่ยน ถอดโลหะออกจากตัวให้หมด และรอคิวครับ
พอถึงคิว แอร์เย็นจัด นอนบนเตียง เขาจะเอาเจลทาขมับ และแปะแผ่น ๆ ที่หน้าผาก หน้าอก ฉีดยาหลังมือ(หรือเปล่าตรงนี้ไม่ค่อยรู้สึก) แล้วเขาจะรมยาสลบครับ ตรงนี้เหมือนวินาทีเดียวเลยครับ เราก็นอนรอที่จุดพักฟื้นเรียบร้อยสักพัก เขาก็ให้เราออกไปเปลี่ยนเสื้อและกลับครับ อาการหลังทำ เราอาจจะรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปทั้งตัว ปวดขมับ เวียนหัว ตาไม่สู้แสงแดด พอกลับมาถึงบ้านอันดับแรกคือเราจะมุ่งไปที่เตียงนอนเพื่อนอนเลยครับ เพราะเวียนหัวจริง ๆ ผมโชคดีคือไม่มีอาการความจำเสื่อมใด ๆ


การทำทำเป็นคอร์สครับ คอร์สนึง 8-16 ครั้งครับ ทำวันเว้นวันหรือวันเว้นสองวันต่อเนื่องครับ
ผลของการทำ มันทำให้สมองปรอดโปร่งขึ้น การใส่ใจย้ำคิดมันลดลง อารมณ์สวิงน้อยลง ควบคู่กับการนัดจิตแพทย์และกินยาเหมือนเดิมครับ บางคนอาการดีขึ้นคือดีขึ้นมากจริง ๆ ส่วนคนที่อาการแย่ผมก็ไม่ทราบครับ เพราะในห้องรอ มีผู้ป่วยหลากหลายครับตั้งแต่เหมือนคนปกติ จนถึง คนเอ๋อ ๆ เลยครับ
ค่าใช้จ่าย ผมใช้สิทธิ์ ปกส แต่สิทธิ์บัตรทองก็ใช้ได้ครับ กรณีนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญานของจิตแพทย์ครับว่าควรทำหรือไม่ ไม่ใช่เราไปขอจิตแพทย์ตรง ๆ เพราะการรักษาบำบัดด้วยไฟฟ้า มันมีความเสี่ยงหลายอย่างซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ตอนนี้ผมก็ผ่าน ECT มาเกือบปีแล้ว กำลังรักษาด้วยการพบนักจิตบำบัดเพื่อให้เขาอธิบายให้เราเห็นตัวเองมากขึ้นและการควบคุมอะไรด้วยตนเองที่ถูกจุดครับ คู่กับการรักษากับจิตแพทย์และยาเหมือนเดิม


ที่ผมโพสมานี้จะเป็นความรู้สึกหรับคนนอกที่อยากให้เข้าใจการรักษา ของผู้ป่วยทางจิตเวช เช่น ซึมเศร้า ไบโพล่าร์ จิตเภท ฯลฯ มากขึ้น และเข้าใจผู้ป่วยด้วยว่าคนปกติทำงานได้ทำอะไรได้ไม่ขาดตกบกพร่องก็สามารถเป็นโรคทางจิตเวชได้ อยากให้คนเข้าใจมากขึ้นว่าพวกเขาต่อสู้กับมันแค่ไหน การนัดพบจิตแพทย์จะมีถี่และมีการปรับยาบ่อย ทำให้อาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์มีเยอะ แต่ต้องสู้ต้องทนครับ

ผมอยู่กับซึมเศร้ามาตั้งแต่ปี 1997 มันทำให้ผมเรียนหนังสือต่อไม่ได้ เรียนไม่จบ และสิบปีที่ผ่านมา ผมกรีดร้องทำลายข้าวของเสียหายเหมือนหมาบ้าไม่สามารถทำงานอะไรได้ ช่วงนั้นบัตรทองก็ได้รับการรักษาแบบเดิม ๆ และไม่ได้พบโรงพยาบาลเฉพาะทางถ้าเขาไม่ส่งตัวมา ถึงมาโรงพยาบาลเฉพาะทาง จิตแพทย์ต้องคลิกกับเราด้วย ถ้าเราไม่โอเคคนนี้ เปลี่ยนหมอได้ทันทีอย่ากลัวครับเพื่อการรักษาของเรา และไม่ควรเอาอาการโรคของตัวเองมาอ้างในการทำผิดบาปใด ๆ นะครับ เพราะสติสัมปชัญญะเหมือนคนปกติครับ ต่างกันคือการควบคุมอารมณ์จะเล่นใหญ่ไปหน่อย

ขอบคุณสมาชิกครับ ที่ผมโพสเพราะครบปีนึงพอดีที่ผมทำ ECT และวันนี้ก็เพิ่งไปตามนัดพบจิตแพทย์มา ผมยอมรับว่าผมเหนื่อยหลายครั้งเลย และมีคำถามว่า เราจะกินยาไปตลอดชีวิตเลยหรือ อยากให้โชคชะตาทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดให้เราสมองตาย จะได้บริจาคอวัยวะได้ (หรือไม่ได้เพราะผู้ที่กินยาทางปรับสื่อประสาทจะบริจาคเลือดไม่ได้) ความอดทนการอดกลั้น การให้ความร่วมมือในวินัยการกินยาร่วมมือการรักษาและการควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตัวเองไหลไปตามอารมณ์มันช่วยได้เยอะครับ เพราะยาปรับตรงนั้นทำให้เราควบคุมตัวเองง่ายขึ้น ครอบครัว คนรอบตัว สังคมรอบตัว สำคัญหมดครับว่าเราจะอาการดีขึ้นหรือแย่ลง เขาต้องเข้าใจเราด้วย เราต้องควบคุมอย่าเปิดเผยตนเองกับคนภายนอกและพยายามสันโดษเข้าไว้การยุ่งสังคมมากมันมากคนมากความครับ เราจะยิ่งคิดมากไปใหญ่

วีดีโอแสดงวิธีการทำ ECT ครับ

ขอพระเมตตาของพระเจ้า จงสถิตย์กับท่าน และสถิตย์กับท่านด้วย

พระจันทร์..............................................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่