[CR] รีวิว Mix Mart ร้านยากินิคุ-ชาบูในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ต มีวัตถุดิบทุกอย่างให้เลือกครบจบในร้านเดียว !

หลายคนคงจะคุ้นกับร้านปิ้งย่าง-ชาบูแบบ A La Carte ไม่ก็บุฟเฟ่ต์ที่ปัจจุบันเปิดกันเยอะมากๆ แต่วันนี้ผมจะพาทุกคนมารีวิวร้านที่มีแนวคิดใหม่ไม่เหมือนใคร ถ้าให้นิยามสั้นๆนั่นคือ "ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่รวบรวมวัตถุดิบอุปกรณ์สำหรับทานปิ้งย่าง-ชาบูแบบครบวงจร" แค่ชื่อร้านก็งงแล้วนั่นคือ "Mix Mart" ฟังดูไม่น่าใช่ร้านอาหารเลยตอนรุ่นน้องผมชวนไปทานด้วยกัน โดนหลอกล่อด้วยเนื้อ Kagoshima Wagyu A5 ราคาขีดละ 490 บาท !! (ถูกกว่าร้าน ดองกี้ซะอีก)เลยตัดสินใจว่าจะมาทานร้านนี้ด้วยอย่างไม่ลังเลใดๆทั้งสิ้น สถานที่ตั้งอยู่บนถนนบางแวกใกล้ๆกับพุทธมณฑลสาย 2 มองป้ายริมถนนแว็บแรกนึกว่าร้านขายเนื้อวัวต้องมองดีๆหน่อยถึงจะเห็นคำว่า Yakiniku & Shabu รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเป็นบ้านธรรมดาๆนำมาเปิดเป็นร้านอาหารแต่ก็พอมีที่จอดรถให้จอดได้ประมาณ 8-9 คัน ซึ่งเราได้จองที่นั่งมาก่อนแล้วเพราะภายในร้านมีโต๊ะน้อยมากๆ(รุ่นน้องผมจัดการให้เรียบร้อย) อยากรู้เหมือนกันว่าที่นี่เขามีแนวคิดที่แปลกแตกต่างจากร้านอื่นยังไงบ้าง เดี๋ยวเข้าเราไปทำความเข้าใจด้านในร้านกันทีละส่วนกันเลยครับ

เปิดประตูเข้ามา "นี่มันร้านขายของชำไม่ใช่ร้านอาหาร" เหมือนถูกพามาผิดร้านแต่นี่แหละคือร้านอาหารโดยวิธีการเริ่มสนุกกับแนวคิดของที่นี่คือ คุณสามารถหยิบของทุกๆอย่างจากร้านนี้ตรงจุดไหนก็ได้แล้วค่อยมาคิดเงินทีหลัง ไม่ว่าจะเป็นของสด-ของแห้ง-เครื่องดื่ม-ขนม-ของเล่นเด็ก โดยผลิตภัณฑ์ที่ทางร้านคัดนำมาขายส่วนใหญ่ก็จะเป็นของนำเข้าไม่มีขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตอื่นๆหรือหายากมากจนต้องมาซื้อที่นี่ หากใครเป็นสายปิ้งย่าง-ชาบูกำลังจะหาซื้อเตาหรืออุปกรณ์อื่นๆก็มีให้เลือกครบวงจร เรียกได้ว่ามาถึงร้านนี้แล้วสามารถซื้อของสดต่างๆทานที่ร้านหรือแบกกลับไปปาร์ตี้กับคนที่บ้านได้เลย ส่วนของสดต่างๆภายในร้านจะดีงามขนาดไหนเดี๋ยวเราไปเปิดที่ตู้เย็นพร้อมกันครับ

เริ่มจากโซนของสดแรกเป็นเส้นมาม่าเกาหลีโดยที่แต่ละรูปแบบมีราคาติดเอาไว้หยิบได้ตามใจ เปิดตู้เย็นออกมาก็พบกับเนื้อวัวคุณภาพระดับพรีเมี่ยมทั้งเนื้อออสเตรเลียริปอาย/คาโกชิม่าวากิวริปอาย A5/เนื้อสันในออสเตรเลีย/เนื้อไทยพรีเมี่ยม/เนื้อโคขุนหลากหลายส่วนไปจนถึงเนื้อวัวธรรมดา ทุกอย่างถูกชั่งและแพ็คไว้เรียบร้อยแล้วมีราคาที่พิมพ์เป็นบาร์โค้ดติดไว้ทุกชิ้นหยิบตามงบในกระเป๋า ตู้ต่อมามีไข่หวานเสียบไม้ย่าง/ปลาหมึกแดดเดียว/หมูมีส่วนสันนอก-สันคอและสามชั้นแบ่งออกไปอีก 2 เกรดคือคุโรบูตะและหมูปล่อยเลี้ยงทุ่ง ตู้ถัดไปเป็นของสดนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งหอยเชลล์ฮอกไกโด/ปลาไหลญี่ปุ่น/ปลาไข่/ชีส/ข้าวโพดคลุกเนย/ยำสาหร่ายผสมหูฉลาม/คานิมิโสะ/ไก่ย่างเทริยากิ/หนังไก่เสียบไม้/ไก่ย่างผสมต้นหอมญี่ปุ่น/เนื้อไก่ย่างเสียบไม้/เกี๊ยวซ่า/กิมจิ/ลิ้นหมูสไลด์/กระดูกอ่อนไก่เสียบไม้ นอกจากนี้ยังมีอูด้ง/ไข่ไก่/เนย/วาซาบิ/เต้าหู้ไข่ส่วนของหวานมีไอศครีมโมจิหลากหลายรสชาติหยิบเองได้เลยจ้า

ตู้ถัดมาเป็นวัตถุดิบตักเองแบบชั่งกิโลคล้ายๆกับเราไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแต่ทุกถาดมีราคาไม่เท่ากัน โดยมีสติกเกอร์กำกับสีเพื่อบ่งบอกราคาของแต่ละถาดคล้ายๆกับร้านซูชิจานหมุน โดยมีให้ตักทั้งลูกชิ้น/ปูอัด/ไส้กรอก/ตับ/หมู-ไก่หมัก/เบคอน/อาหารทะเล ราคาเริ่มต้นขีดละ 19 บาท แพงสุดคือกุ้งลายเสือตัวยักษ์ขีดละ 189 บาท ก็ถือว่าราคาสมเหตุผลดี นอกจากนี้ยังมีเตาให้ยืมไปทานที่บ้านได้ด้วยเงื่อนไขเป็นอย่างไรสอบถามทางร้านเองนะครับ

นอกจากเนื้อสัตว์แล้วก็ยังมีผักสดถูกแยกราคาแบบเดียวกันมีราคาขีดละ 19 บาท/29 บาท/แพงสุดขีดละ 59 บาท (ผักบัตเตอร์เฮด) ที่ร้านบอกว่าเป็นผักออแกนิกส์ถูกตัดแต่งแล้วจึงมีราคาสูงเป็นพิเศษ เมื่อดูครบรอบร้านก็ได้เวลาหยิบตักของสดต่างๆที่จะทาน เนื้อเป็นแพ็คสามารถหยิบไปที่แคชเชียร์ให้พนักงานคีย์ใส่ระบบแล้วก็นำไปใส่จานทันที ส่วนเนื้อที่ต้องช่างน้ำหนักเราต้องแยกจานตามสีสติกเกอร์ที่ร้านกำหนด เมื่อชั่งแล้วจะถูกคำนวณราคาออกมาเป็นบาร์โค๊ดที่แคชเชียร์สามารถบันทึกเข้าระบบได้ทันที ส่วนใครขี้เกียจเดินเลือกไป-มาก็สามารถสั่งได้จากใบเมนู 2 หน้าของทางร้านมีของสดครบทุกๆอย่างไม่ต้องเดินก้มหาให้เมื่อย เดี๋ยวน้องพนักงานเดินจัดเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะเลยครับ

เมื่อเดินเลือกของทุกอย่างเสร็จแล้วก็รออาหารสดมาเสิร์ฟที่โต๊ะ โดยที่นั่งร้านนี้มีเพียงแค่ 5 โต๊ะเท่านั้น สำหรับปิ้งย่าง 4 ที่ชาบูอย่างเดียวอีก 1 ที่ ตรงผนังของร้านมีวิธีการปรุงน้ำซุปชาบูและน้ำจิ้มให้เลือกทานถึง 8 สูตร แต่จุดที่น่าตกใจกว่าคือเครื่องปรุงเยอะมากทั้งกระเทียมสด/พริกสด/ต้นหอม/โคชูจัง/เกลือสมุทร/เกลือชมพู/พริกไทย 3 สี/พริกไทยดำ/พริกไทยขาว/เกลือดำ/น้ำมะนาวและยังมีพริกไทยเขมรอีกด้วย พร้อมกับมีปุ่มกดเรียกพนักงานที่โต๊ะ (เพราะเป็นห้องแบบปิด) โดยวันนี้เราสั่งเป็นปิ้งย่างและชาบูทางร้านมีเตาอินดักชั่นพร้อมหม้อชาบูให้บริการ ส่วนน้ำซุปชาบูที่ร้านมีให้เลือกทั้งหมด 5 สูตรคือต้มยำ/ชาบูน้ำดำ/เย็นตาโฟ/น้ำใสและทงคัตสึ เราสามารถเลือกได้ 2 ช่องฟรีเฉพาะทานที่ร้านเท่านั้น ! ปกติน้ำซุปเข้มข้นราคาขวดละ 29 บาท ใครมีปาร์ตี้ชาบูที่บ้านแล้วขี้เกียจปรุงน้ำซุปเองก็ซื้อกลับไปผสมกับน้ำเปล่า 1 ลิตรได้เลย รออาหารมาเสิร์ฟให้ครบถ้วนพร้อมเปิดเตาย่างเตรียมตัวลุยแล้วครับผม

เมนูแรกเนื้อวัว "Kagosima Wagyu Ribeye A5" ขนาด 208 กรัม ราคา 1020 บาท ถือว่าราคาถูกเพราะผมเคยไปทานที่ดองกี้ขีดละ 600 กว่าบาท แต่ชิ้นนี้ราคาขีดละ 490 บาทเท่านั้น ! โดยวิธีการทานทางร้านแนะนำให้เราเปิดเตาย่างระดับร้อนที่สุด (เตาของที่นี่ถึงจะเป็นไฟฟ้าแต่นำเข้าจากเกาหลีไฟแรงสะใจสุดๆ) โรยด้วยเกลือสมุทรกับพริกไทยดำเล็กน้อยแล้วนำย่างให้เนื้อเปลี่ยนสีโดยการพลิกเพียงแค่ครั้งเดียว จะเอาเข้าปากเลยหรือทานคู่กับน้ำจิ้มยากินิคุรสหวานเค็มหอมโชยุใส่พริกสด/กระเทียมสดและน้ำมะนาวเล็กน้อยก็อร่อยนุ่ม/ไขมันฉ่ำแต่สดชื่น/มีกลิ่นหอมของเนื้อสุดผู้ดีตามแบบฉบับญี่ปุ่นดีงามสุดๆ ถาดต่อมาเป็น"เนื้อไทยพรีเมี่ยมสไลด์"ที่ร้านไม่ได้บอกว่าเป็นส่วนไหน (แค่เห็นว่าลายไขมันเนื้อสวยดีเลยหยิบมาด้วย) ขนาด 120 กรัม ราคา 200 บาท ย่างด้วยไฟแรงแบบเดียวกับเนื้อชิ้นแรกให้พอสุก รสชาติของเนื้อนี้ไม่ค่อยมีกลิ่นหอมของเนื้อหรือไขมันวัวและนุ่มจนเกือบเหมือนเนื้อหมักนุ่ม แต่ยังมีสัมผัสของความเป็นเนื้อวัวอยู่เล็กน้อย ถ้าจิ้มกับยากินิคุส่วนตัวว่าไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่เพราะกลิ่นเนื้อบางมาก แต่นำไปจิ้มกับซอสจิ้มแจ่วอีสานรสหวานเค็มหอมกลิ่นข้าวคั่วและสมุนไพรแบบไทยนี่เข้ากันได้แบบสุดๆเลยครับผม

มาร้านเนื้อย่างแต่หยิบปลาไหลย่างนี่คิดอะไรอยู่ ? ตอนแรกที่รุ่นน้องผมหยิบมาก็คิดแบบนั้นแต่พอมาย่างบนใบโฮบะดีๆแล้วนี่มัน.... ไม่กินจะเสียดายมากๆกับเมนู "ปลาไหลใบโฮบะ" ตัวใหญ่ขนาดนี้ 450 บาทเอง ถือว่าถูกมากเพราะไซส์นี้ถ้าร้านอาหารญี่ปุ่นอื่นต้อง 600-900 บาท อย่างแน่นอน ความช่างคิดของที่ร้านนี้คือเอาปลาไหลญี่ปุ่นวางบนใบไม้แล้วค่อยๆย่างไฟกลางทำให้ไขมันส่วนเกินของปลาไหลออกไป ตัวเนื้อไม่ไหม้และยังคงความชุ่มชื้นนุ่มฟูเอาไว้อยู่ ปลาไหลเนื้อนุ่มฟูฉ่ำซอสรสหวานเค็มกลมกล่อมสั่งมาทานคู่กับข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆถูกกว่าภัตตาคารญี่ปุ่นแน่นอนครับ (ทานข้าวได้สัก 2-3 ถ้วยเพราะเข้มข้นมากๆ) เมนูพรีเมี่ยมถัดมาเป็นหอยเชลล์ฮอกไกโด 1 แพ็คบรรจุ 2 ตัวราคาแค่ 169 บาท ตกแค่ตัวละ 85 บาทเองถือว่าถูกมาก เพราะถ้าเทียบกับหอยนางรมสดไทยตัวละ 80-90 บาท แต่นี่แค่ 85 บาทได้ทานหอยเชลล์นำเข้าคุณภาพดีแถมย่างแล้วเนื้อไม่หด ด้านนอกๆตรงขอบที่เป็นเอ็นมีความกรุบกรอบส่วนเนื้อด้านในหวานฉ่ำมีกลิ่นหอมของเนื้อหอยเชลล์คล้ายกับหอยเชลล์ตากแห้งบางๆ จะย่างกับเนยแล้วโรยเกลือทานเลยก็อร่อยหรือจะจิ้มกับน้ำจิ้มที่มีให้เลือกถึง 8 สูตรคือ น้ำจิ้มยากินิคุ/น้ำจิ้มสุกี้โบราณ(อันนี้หอมกลิ่นข่าสดชื่นอร่อยมาก)/น้ำจิ้มงา(เป็นงาปั่นรสหวานมันหอมกลิ่นคั่วอ่อนๆ)/น้ำจิ้มซีฟู๊ด(เปรี้ยว-เผ็ดจี๊ดจ๊าดพริดสดและกระเทียมถึงใจ)/น้ำจิ้มพอนสึ(รสเค็ม-เปรี้ยวอมหวานนิดๆหอมกลิ่นคอมบุบางๆ)/น้ำจิ้มสุกี้สูตรกวางตุ้ง(รสหวานๆมีกลิ่นน้ำมันงากลมกล่อมไม่ฉุนจนเกินไป)/น้ำจิ้มแจ่วและน้ำจิ้มหมูกระทะ(หอมกลิ่นพริก-กระเทียมรสหวานอ่อนๆตัวน้ำจิ้มสัมผัสใสแต่รสชาติเข้มข้นแบบน้ำจิ้มหมูกระทะโบราณ) มีน้ำจิ้มเยอะเลือกเปลี่ยนรสชาติได้เรื่อยๆไม่มีเบื่อครับ

****** เกิน 10,000 ตัวอักษร ขอรีวิวต่อในช่อง Comment นะครับ *****
ชื่อสินค้า:   Mix Mart
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่