หลายครั้ง ก็ไม่เข้าใจเคมีในสมองตนเอง อยู่เฉย ๆ ไม่มีอะไรมากระตุ้นแท้ ๆ เราก็ซึม ดิ่ง จิตตก และย้อนเอาเรื่องที่ผ่านมามาคิดทบทวน แล้วก็ร้องไห้ ไม่ไหวแล้ว เลยกินยาเกินที่จิตแพทย์สั่งเพื่อให้มันหยุด ใช่ หากิจกรรมอะไรทำ แต่มันไม่ไง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย เล่นเกมส์ อ่านโซเชี่ยล ดูการ์ตูน อ่านหนังสือ หรือออกไปไหนก็ตาม เราคนไม่ดื่มไม่สูบ เลยมีแค่กีฬาที่เป็นทางระบายออก แต่มันระบายออกทางกีฬาไม่ได้ เพราะเราถูกรถชนขาหักและพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ลาเกิน 45 วันเขาก็เชิญเราออก ไม่กล้าร้องไห้ต่อหน้าพี่น้องพ่อแม่ ไม่อยากปรึกษาเพื่อนเพราะเพื่อนแต่ละคนก็มีปัญหาเฉพาะของตัวเองอยู่แล้ว และเราเพื่อนน้อยด้วย เห็นสังคมเขาสุขดีไม่อยากเอาเขาเป็นถังขยะปรับทุกข์ ไปพบนักจิตและจิตแพทย์ก็ไม่มีอารมณ์ขณะนั้นเกิดขึ้นเลยแสดงออกให้ทางนั้นทราบไม่ถูก เพราะแม้แต่ตัวเราเองยังไม่ทราบจิตใจเราเองเลย ชีวิตคนมันสั้น ส่วนมากอายุไม่เกิน 20000 วัน เราจะทำทุกวันให้มีความสุข แต่ความสุขคืออะไรกัน เราหาไม่เจอ เราต้องการอะไรกันแน่ อะไรสำคัญที่สุด เราลำดับไม่ถูก มีแต่นักจิตที่ช่วยคลายปมให้เห็นลำดับความสำคัญ แต่มันก็ไม่หมด เพราะเราก็เล่าให้นักจิตไม่หมดเช่นกัน โรคเวรโรคกรรมจริง ๆ เป็นแล้วทรมานจิตใจมาก แต่ก็เสพสมอารมณ์ทรมาณแบบนี้เช่นกัน เราก็รอหวังให้โชคชะตาพาเราเกิดอุบัติเหตุสมองตายจะได้บริจาคอวัยวะได้ (หรือว่าคนกินยาทางปรับสื่อประสาทบริจาคไม่ได้เหมือนบริจาคเลือดนะ) เราพยายามยึดมั่นในพระเจ้า พระแม่ แต่ใจเราไม่เอนไปทางนั้นเลย เราคิดว่าปัญหาเราเกินที่ศาสนาจะเยียวยาถึง มันเกิดขึ้นที่ตัวเรา เราต้องแก้ปัญหาเอง โดยใช้จิตแพทย์ ยา นักจิตวิทยา ECT เป็นตัวสื่อกลางในการช่วยเหลือ และใจเราต้องไหว ต้องสู้ ต้องชนะด้วย มันยึดติดกับตัวเรามาตั้งแต่ปี 1997 แล้ว เราคงต้องกินยาตลอดชีวิต ดูซิ อวัยวะภายในจะทนได้ไหม อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราไม่ยอมหลุดจากห้วงเหวตรงนั้นเอง เพราะเราเห็นแสงสว่างแต่เราออกไปไม่ได้ ก้าวข้ามไม่พ้น ตอนนี้เราหายใจ เรารู้สึกนึกคิดได้ เรารู้สึกร้อนเย็น ตาเรามองเห็น มือเราพิมพ์ได้ ใจเราอารมณ์ตีกันนุงนัง อืม แปลว่า เรามีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ที่จะรักษาและอยากเรียนรู้อยู่กับมันแบไม่ให้มันครอบงำเราเกินไป เราต้องทำ
หลายครั้ง ก็ไม่เข้าใจเคมีในสมองตนเอง