ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวอ่างเก็บน้ำหุบเขาวง จ.สุพรรณบุรี ตอน “ปางอุ๋งสุพรรณช่วงโลวซี่ซั่นในวันธรรมดา“

#ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวอ่างเก็บน้ำหุบเขาวง
อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง ปางอุ๋ง สุพรรณบุรี
สุ1000 แค่ 1000 เดียว(จะพอหรอ55555)
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2020 เรานอนอยู่บนเตียงที่หอ สายตาสองคู่เราจ้องไปที่หลอดไฟหนึ่งดวงที่อยู่กลางห้องตอนนั้นรู้สึกว่า เฮ้ย ชีวิตทำไมมันดูเหงาๆ เศร้าๆ ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีแรงบันดาลใจในการทำอะไรสักอย่างเลยว๊าา จะพูดแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คืออยากออกไปเที่ยวนั่นแหละ5555 เราเลยหยิบมือถือขึ้นมา เลื่อนๆๆๆ หาป่าที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ปิ๊งป่อง อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง หรือที่หลายๆ คนเรียกว่าปางอุ๋ง สุพรรณบุรีนั่นเอง พอได้สถานที่แล้วเราก็เก็บเสื้อผ้าของใช้เท่าที่จำเป็นไป เป็นทริปที่ปุ๊บปั๊บมากและไม่ได้วางแผนอะไรเลย เพราะเราถือคติที่ว่า the best plan is no plan. 

🗓 Day1  07•02•2020 
06:00 น. เรานั่งวินไปขึ้นรถตู้ที่ขนส่งแม่กลองเพื่อไปขึ้นรถที่หมอชิต
08:00 น. นั่งรถตู้จากหมอชิต ไปที่สุพรรณบุรี
10:00 น. ถึงสุพรรณบุรี
10:45 น. ต่อรถตู้ไปที่อำเภอด่านช้าง
12:00 น. ถึงอำเภอด่านช้าง
14:00 น. ต่อรถเมล์ ด่านช้าง-กาญจนบุรี ไปลงที่หน้าทางเข้าอ่างเก็บน้ำหุบเขาวง
 
ขุ่นพระ ! การเดินทางมันช่างยาวนานเสียจริง โชคดีที่ไปคนเดียวมันก็จะไม่ค่อยได้รีบร้อนกับอะไรมากนัก -เรายิ้มโคตรหลงรักการเดินทางคนเดียวเลยว่ะ-
#ตอนการเดินทางแสนยาวนานได้สิ้นสุดลง 🌲
หลังจากที่เราใช้เวลาเดินทางยาวนานกว่า....(กี่ชั่วโมงนะ555) ช่างมันเหอะ! ในที่สุดเราก็มาถึงหน้าทางเข้าอ่างเก็บน้ำหุบเขาวง เราลงจากรถและข้ามทางมา ยืนตากแดดงงๆ คนเดียว และกำลังจะหยิบมือถือโทรหาพี่จ๋า(พี่เจ้าหน้าที่)ให้มารับ

“เข๊ามานั๊งข๊างในก่อนลู๊ก ข๊างน๊อกมันร๊อน” (สำเนียงคนสุพรรณ) คุณป้าร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าทางเข้าได้เรียกให้เราเข้าไปนั่งในร้านก่อน คุณป้าน่ารักมาก ระหว่างที่เรารอให้พี่จ๋ามารับเราก็นั่งคุยกับคุณป้าไปเรื่อยเปื่อย  ก่อนที่เราจะไหว้ลา คุณป้ายังบอกเราทิ้งท้ายว่า “อย่าลืมไปซื้อขนมกับลูกสาวป้านะ พรุ่งนี้ลูกสาวป้าจะไปขายขนม” 55555 

พี่จ๋ามารับเราแล้ว เราเหลือบไปเห็นป้าย “อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง 8 กิโล” ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค เรากระโดด(ทำไมต้องกระโดด) เอ้า นี่ก็สงสัยเก่งจริง555 โอเคเราขึ้นรถไปซ้อนท้ายพี่จ๋า พร้อมออกเดินทางแล้วจ้าาาาา
#ตอนทางที่ดีคือทาง... 🌈
แรกๆ เหมือนเป็นทางเข้าหมู่บ้านก็จะเป็นถนนลาดยาง ซักพักเป็นถนนคอนกรีต ขับไปเรื่อยๆ จะเป็นถนนหินลูกรังระหว่างทางที่เราซ้อนท้ายพี่จ๋านั้นเราก็มองบรรยากาศรอบข้างไปด้วย ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะทำสวนทำไร่ โดยเฉพาะไร่มัน ไร่อ้อย ระหว่างทางพี่จ๋าเองก็เล่านู่นเล่านี่ให้เราฟังมาตลอดทาง เช่น ประวัติความเป็นมาของอ่างเก็บน้ำหุบเขาวง
#ตอนน้องไม่กลัวหรอ
“สวัสดีค่ะ” หลังจากที่ลงจากรถ เรายกมือไหว้ เจ้าหน้าที่ทุกคนยกมือรับไว้ กล่าวทักทายและยิ้มต้อนรับเรา  “มาคนเดียวเลยหรอคะ ทำไมไม่พาเพื่อนมาด้วย” เป็นคำถามแรกๆ ที่เราโดนยิงใส่ เราได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปว่า มันปุ๊บปั๊บมากค่าาาาา ฮรือ
“จ๋า ทำไมไม่พาน้องเขาไปเดินดูก่อน ว่าจะกางเต็นท์ตรงไหน” ลุงเล็กเจ้าหน้าที่รุ่นใหญ่ได้บอกพี่จ๋า พี่จ๋าก็พาเราไปและแนะนำให้เรานอนที่จุดชมวิว “น้องนอนแถวนี้มั้ยคะ วิวดี ใกล้ห้องน้ำและเจ้าหน้าที่ด้วย” พี่หวั่ง เจ้าหน้าที่อีกคนเสริมว่า “ใช่ๆ ดูสิตรงนี้มีชิงช้าให้นั่งเล่นด้วยนะ ปกติตรงนี้เราไม่ได้เปิดให้ลูกค้านอนนะ แต่วันนี้ลูกค้าน้อยเลยอนุญาตให้นอนได้” แต่ความรู้สึกส่วนตัวเราว่าบรรยากาศมันยังไม่ได้ มันต้องมีมุมที่สวยกว่านี่แน่ๆ เราเลยขอพี่ๆ ไปเดินเล่นรอบๆ ดูก่อน
จากที่ดูรูปมาคร่าวๆ บรรยากาศดีมาก 🏡🏔🏕 แต่เรามาในฤดูที่แตกต่าง ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน หน้าแล้ง ทุกอย่างก็ดูแห้งๆ ไปหมด ใบไม้ก็เปลี่ยนสี น้ำก็ลดน้อยลง แต่เราไม่ผิดหวังเลย เพราะเรามาแบบไม่ได้คาดหวัง เราออกไปเดินเล่น ถ่ายรูปดื่มด่ำบรรยากาศไปเรื่อยๆ คุยกับคนหาปลาบ้าง คุยกับหมาบ้างก็สนุกดี(โดนหมาเมินด้วย หน้าตาคงไม่ใช่สเปกหมา) 
เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ ไปจนถึงจุดกางเต็นท์ที่อยู่ทางด้านหลังจุดบริการ วี๊ดดด วิวดีมาก มุมสวยมาก ดูโล่งๆ กว้างๆดีไม่มีเต็นท์มากางสักหลัง จะมีก็แต่ชิงช้า 1 อัน เราชอบวิวตรงนี้มาก เราเลยเดินไปบอกพี่ๆ ที่กำลังเก็บกวาดขยะอยู่ใกล้ๆ ตรงนั้น
เรา: พี่คะ หนูกางเต็นท์ตรงนั้นได้มั้ยคะ
พี่เจ้าหน้าที่: กางได้นะคะ แต่น้องไม่กลัวหรอ น้องมาคนเดียว อีกอย่างมันอยู่ไกลจุดที่เจ้าหน้าที่อยู่นะคะ พวกพี่เป็นห่วง
(เราก็ขอบคุณที่พี่ๆ เป็นห่วง แต่เราชอบมุมนี้จริงๆ)
เรา: หนูโอเค หนูนอนได้ค่ะ
พี่เจ้าหน้าที่: โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวเย็นๆ ให้พี่เขามากางเต็นท์ให้นะคะ
เราก็ไปนั่งเล่นที่จุดบริการที่เราวางกระเป๋าไว้ พี่หวั่งก็กำลังจะไปกางเต็นท์ให้เราพอดี เราเลยอาสาไปถือของช่วย เสร็จแล้วเราก็ไปเดินเล่นต่อ
#ตอนไอเลิฟไข่เจียว ♥️
ตกเย็นเราไปสั่งข้าวที่จุดบริการไปนั่งกินที่แพรใหญ่ โดยที่พี่หวั่งเป็นคนลากโป๊ะไปให้ พี่ๆ ลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มก็แซวเราใหญ่เลย “น้องมาคนเดียวหรอคะ เหงามั้ย” เราก็ยิ้มๆ นั่งกินข้าวไป ซึ่งเมนูในวันนี้ก็คือ “ข้าวกะเพราหมู ไข่เจียว(กรอบมาก)” + น้ำพริก ผักต้ม อร่อยยยย เราชอบไข่เจียวมากๆๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเจอร้านถูกใจที่ตามหามานาน
 
เรานั่งกินข้าวไป ชื่นชมบรรยากาศไป ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เราเองก็ได้นั่งทบทวนตัวเองถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมา และกำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ มีหนึ่งอย่างที่เรารู้แน่ชัดมาก คือ เราเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย...
#ตอนไม่รู้จะคุยกับใคร 👸🏻
ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เรากลับมาที่จุดบริการเตรียมข้าวของไปอาบน้ำ ห้องน้ำที่นี่มีหลายห้อง แยกชาย-หญิงบรรยากาศเหมือนตอนไปออกค่ายในถิ่นทุรกันดารประมาณนั้นเลย
พออาบน้ำเสร็จเราก็กลับมาที่สหกรณ์ เห็นพี่หวั่งเดินเอาตะเกียงมาให้ อย่างที่บอกค่ะว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ จะมีก็แต่ไฟฟ้าที่ได้มาจากแสงโซลาเซลล์ ที่เราพอจะชาร์จแบตมือถือได้ จากผู้หญิงที่ติดโซเชียลมากๆ ไปไหนต้องเช็คเฟสตลอด แต่วันนี้ต้องอยู่ในดินแดนที่ตัดขาดจากโซเชียล ไม่สามารถเข้าได้เลย ไปคนเดียวมองเห็นพี่หวั่ง ดีเลย ชวนพี่หวั่งคุยดีกว่า5555 ลูกค้าน้อยพี่หวั่งไม่ยุ่งก็มานั่งคุยกับเรา
ทีแรกในหัวเราคิดว่า คนสุพรรณบุรีต้องพูดสำเนียงเหน่อๆ แต่เราก็สังเกตว่าคนที่นี่พูดภาษาอีสาน สำเนียงเหมือนคนจังหวัดเลยมาก เราก็อดสงสัยไม่ได้เลยถามพี่หวั่ง ได้ความว่าชาวบ้านน้ำพุร้อนอพยพมาจากประเทศลาว และเรียกตัวเองว่าลาวครั่ง นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมคนที่นี่ถึงพูดภาษาคล้ายๆ ภาษาอีสานนั่นเอง

สักพักลุงเล็ก ก็เดินเข้ามาร่วมวงสนทนากับเราด้วย เราก็นั่งคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆ กันไปเรื่อยๆ สนุกดี โดยเฉพาะพี่หวั่งผู้ใกล้ชิดศาสนา เคยบวชนานถึง 11 ปี กับเราผู้ที่ห่างไกลจากศาสนา สวดอะระหังสัมมาจบนี่ถือว่าเก่งแล้วมาคุยกัน ก็ถือว่าได้แลกเปลี่ยน ทำให้เราได้เปิดใจและทำความเข้ากับศาสนามากขึ้น วันนี้เราก็ถือว่าได้มิตรภาพ และเปิดใจกับอะไรบางอย่าง คุยกันจนถึง 3 ทุ่มเราก็เข้านอน

ก่อนนอนเรานึกขึ้นได้ ลุงเล็กบอกว่า “ถ้าเราอยู่กับธรรมชาติ เราจะได้เห็นอะไรแปลกๆ เยอะ คืนนี้มีพระจันทร์ด้วยเพราะเป็นคือก่อนวันมาฆะบูชา ตื่นมาตอนตี4 ตี5 นะ พระจันทร์จะเลื่อนมาอยู่ตรงช่องกลางระหว่างภูเขา สวยมากเลยนะ” 

นึกขึ้นได้เราก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ และไม่พลาดที่จะตื่นขึ้นมาดู จริงด้วยเป็นอย่างที่ลุงเล็กพูดจริงๆ พระจันทร์สวยมากเราหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำ แต่โทรศัพท์ไม่สามารถเก็บภาพนั้นได้ ทุกอย่างมืดไปหมด ดังนั้นเราทำได้แค่มอง เสพภาพนั้นด้วยสายตา และบันทึกความทรงจำนั้นไว้ในหัวใจ

เป็นการนอนเต็นท์ที่กว้างมาก แต่เรานอนคนเดียว ตอนกลางคืนอากาศจะเย็นๆ นิดนึง เรามีสะดุ้งตื่นบ้างเพราะได้ยินเสียงนก เสียงสัตว์ต่างๆ แต่มันสนุกดีเพราะเรารู้สึกว่าเราได้นอนท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ
 
🗓 Day2 08•02•2020
เช้านี้เราตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว และไม่พลาดที่จะไปซื้อขนมร้านลูกสาวคุณป้าขายก๋วยเตี๋ยวที่เราได้คุยด้วยเมื่อวาน มีทั้งดักแด้และขนมข้าวปิ้ง เราก็ถือเดินไปขึ้นโป๊ะไปกินกับชาร้อนที่แพใหญ่ วานให้น้องแถวๆ นั้นถ่ายรูปให้ไปเป็นที่ระลึกสักรูป พอใกล้ถึงเวลา 9 โมงที่เราได้นัดกับพี่จ๋าไว้เราก็ไปเก็บกระเป๋ามาที่จุดบริการ ระหว่างนั่งรอก็จดบันทึกไปด้วยเพลิน
“โอ๊ยย พี่นึกว่าลูกค้ามาใหม่” เสียงพี่หวั่งทักทายเราพร้อมรอยยิ้ม แล้วแกก็หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า สิ่งนั้นก็คือ หนังสือธรรมมะ 2 เล่ม เราดีใจมาก ขอบคุณพี่หวั่งยกใหญ่ ไม่พอพี่หวั่งยังแบ่งปันกล้วยบวชชีให้เราได้ชิม 1 ถ้วยพร้อมกับบอกว่าอยู่ต่ออีกสักคืนสิ555555 สักพักพี่จ๋าก็มาถึง เราเองก็พร้อมออกเดินทางแล้ว เราไหว้ลาพี่ๆเป็นการจากลาเพื่อที่เราจะได้กลับมาพบกันใหม่ ♥️
ทุกการเดินทางเปรียบเสมือนลูกกุญแจ ที่สามารถปลดล็อกเรื่องบางอย่างในใจเรา
ขอบคุณมิตรภาพ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณยังสำคัญ และจะเป็นหนึ่งบุคคลในเรื่องเล่าของเรา เราจะคิดถึงคุณเสมอ
และขอบคุณมากมาก ๆ นะคะ คนที่อ่านมาถึงตรงนี้ 🙏🏻💓
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่