กราบบบบบสวัสดียามบ่ายค่ะ พ่อจ๋า แม่จ๋า พี่จ๋า น้องจ๋า
ขอทักทายแบบดัดจริตนิด ๆ ขยุกขยิก กุ๊กกิ๊ก ให้หายคิดถึงเมืองไทยสักหน่อยจ้า
นั่นก็เกิดเหตุจากว่า เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว หนูจ๋าได้รับโอกาสพิเศษให้ไปทำวิจัยในมหาวิทยาลัยที่เกาหลี ตอนนั้น เป็นช่วงที่พี่(โค)วิดเริ่มแวะเวียนเยี่ยมเยียนไปทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนออกมาตรการจัดการกับพี่(โค)วิดจริงจังเสียที
หนูจ๋าก็หวั่นใจนะ คิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะปฏิเสธทุนดีมั้ย ใจหนึ่งก็กลัวพี่(โค)วิด อีกใจหนึ่งก็อยากเจอสหายผู้กอง อุ๊บ!!! ไม่ช่ายยยยย
แต่ก็นั่นละฮะ ท่านผู้ชมมมมมมม หนูจ๋าก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาบ้านเก่า ดินแดนที่เราเกิดมา 🎵🎶🎵🎶🎷
ตลอดเที่ยวบิน หนูจ๋าใส่หน้ากาก 😷 ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ หนูเป็นเด็กดี หนูเชื่อ ศบค. นะคะ
พอแลนดิ้งปุ๊บ หัวใจก็ถวิลหา โซจู แป้งต๊อก และโอปป้า หนูจ๋าจึงรีบเดินปรี่ ลากกระเป๋า ผ่านด่านตรวจอย่างไว
เอ๊ะ ๆ ๆ ไม่มีด่านตรวจวัดอุณหภูมิอะไรเลยรึ OMG ทางสะดวกมาก 🤯 อย่างงี้ หนูก็จะได้มีเวลาตะลอนทัวร์มากขึ้นละสิ วี้ดวิ้ววววว
เคยไหมคะพี่จ๋า น้องจ๋า สิ่งที่เราอยากได้ มักจะไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น หนูจ๋าก็เช่นกัน
มหาวิทยาลัยที่เป็นโฮสในครั้งนี้ แจ้งเมลด่วนว่า ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำกิจกรรมใด ๆ กับมหาวิทยาลัยจะต้องกักตัวอยู่ในหอพักที่มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ให้เป็นเวลา 14 วัน โดยจะมีอาหารการกินส่งตรงถึงหน้าประตูห้องพัก 3 มื้อทุกวัน
หนูจ๋าก็อึ้งไปเหมือนกัน ไม่ใช่อึ้งที่อดเที่ยวนะคะ แต่อึ้งที่มาตรการนี้ มหาวิทยาลัยประกาศเอง สั่งเอง และจ่ายเอง ทั้ง ๆ ที่ ตอนนั้น รัฐบาลเกาหลียังไม่ออกมาตรการกักตัวในลักษณะนี้เลย
สำหรับหอพักที่มหาวิทยาลัยจัดให้พักนั้นก็ไม่ไก่กาอาราเร่นะคะ หนูจ๋าได้พักห้องเตียงเดี่ยว มีห้องน้ำในตัว แต่ที่พิเศษคือมีปรอทวัดไข้เตรียมไว้ให้ด้วย เพราะหนูจ๋ามีนัดรายงานอุณหภูมิร่างกายผ่านระบบออนไลน์ให้ผู้ดูแลทราบทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เผื่อว่าวันไหนหนูจ๋ามีไข้สูง ผู้ดูแลจะได้ส่งหนูจ๋าไปตรวจหาเชื้อต่อไป และหนทางนี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่หนูจ๋าจะได้ออกจากห้องกักตัว !!!
ภาพถ่ายจากระเบียงห้องพักระหว่างกักตัวค่ะ
บรรยากาศในห้องพัก ต้องขออภัยด้วยนะคะ หนูจ๋าไม่ได้ถ่ายรูปไว้มากมายนัก
สิ่งรื่นรมย์ บันเทิงใจในช่วงเวลานี้สำหรับหนูจ๋าก็คือ เซตอาหารกล่องอร่อย ๆ หน้าตาน่าเขมือบ สารอาหารครบ 5 หมู่ ให้ได้กินอย่างเต็มอิ่ม โดยคนส่งอาหารจะวางอาหารไว้ให้หน้าประตู พร้อมเคาะประตูเป็นรหัสสามก๊อก เพื่อบอกว่าอาหารมาเสิร์ฟที่หน้าห้องแล้วจ้า ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสพี่เขาจะวางแล้วชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หนูจ๋าเปิดประตูไม่ทันพี่เขาสักที 555 ลองดูตัวอย่างหน้าตาอาหารจากฝั่งเกาหลีก่อนจ้า
ภาพถ่ายจากโถงทางเดิน รูปนี้หนูจ๋าได้ถ่ายตอนวันสุดท้ายของการกักตัวเพื่อให้เห็นบรรยากาศการส่งของหน้าห้องพัก
เมื่อเสร็จศึก จบงานเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวเก็บกระเป๋ากลับบ้านเรารักรออยู่ สู่อ้อมใจของบ้านเกิดกันเสียที
แต่พี่จ๋า น้องจ๋า เชื่อมั้ยคะว่าการกลับบ้านครั้งนี้ ยากลำบากมากค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะรัฐบาลไทยเขาไม่อยากให้พวกพี่จ๋า น้องจ๋า ลุงป้าน้าอาที่อยู่ในเมืองไทย ต้องเสี่ยงกับพี่(โค)วิดที่อาจจะติดตัวพวกหนูไป
ขั้นแรก หนูจ๋าต้องแจ้งผ่านแบบฟอร์มออนไลน์ของสถานทูตไทยในเกาหลีว่าหนูจ๋าอยากกลับบ้านแล้ว ได้โปรดจัดคิวให้หนูจ๋ากลับด้วยเถอะ หลังจากนั้นหนูจ๋าก็ต้องทำใจเย็น ๆ ร้องเพลงรอ ร๊อ รอ รอจนกว่าพี่ ๆ เจ้าหน้าที่สถานทูตจะติดต่อกลับมาแจ้งคอนเฟิร์มวันและเที่ยวบินตามคิวเดินทางที่หนูจ๋าได้ ประมาณ 4-5 วันก่อนเดินทาง (ช่วงนี้ต้องจับโทรศัพท์ไว้ให้มั่นเลยนะคะ ไม่งั้นอาจจะพลาดไม่ได้รับสายจากพี่ๆสถานทูต แล้วจะหาว่าหนูจ๋าไม่เตือนไม่ได้นะ) ต่อมา พอหนูจ๋ารู้ว่าได้เดินทางวันไหน หนูจ๋าก็จะต้องรีบติดต่อบริษัทขายตั๋วเครื่องบินตามที่สถานทูตแจ้งมาทำเรื่องซื้อตั๋วและโอนเงิน หลังจากได้ตั๋วเครื่องบินมานอนอุ่น ๆ ในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว หนูจ๋าจะต้องไปแสดงตัวที่สถานทูตเพื่อรับเอกสารราชการที่จะใช้ยื่นเช็คอินที่สนามบินเพื่อยืนยันว่าหนูจ๋าได้รับอนุญาตให้เดินทางโดยเที่ยวบินพิเศษนี้จริง ๆ นะ ไม่ได้โม้
อ้อ ลืมบอกจ้า ตอนที่ไปสถานทูตนั้น เขาให้หนูจ๋าแจ้งด้วยว่าอยากจะกักตัวใน state quarantine : SQ หรือจะเลือกกักตัวใน Alternative State Quarantine : ASQ ซึ่งอย่างหลังนี้ จะต้องออกค่าใช้จ่ายเอง โดยเรตราคาแต่ละแห่งก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความหรูหราไฮโซของสารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก ดังนั้น คนกระเป๋าแบนแฟนทิ้งอย่างหนูจ๋าก็ต้องเลือกแบบ SQ เท่านั้นสิคะ
มาถึงนาทีนี้ พี่จ๋า น้องจ๋า คงคิดว่าหนูจ๋าพร้อมบินแล้วใช่มั้ยคะ โนววววววค่ะ!!! เราต้องไปทำเอกสารการตรวจสุขภาพ fit to fly ก่อนจ้า
เจ้า Fit to Fly เนี่ยเป็นการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและซักถามอาการทั่ว ๆ ไปว่าหนูจ๋ายังไหวอยู่นะ ยังไม่มีอาการเสี่ยงติดโรคนะ ดังนั้น ผลตรวจสุขภาพนี้จะมีอายุใช้งานไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง หนูจ๋าเลือกไปตรวจที่ INHA medical center ตามที่สถานทูตแนะนำซึ่งสะดวกดี ไม่ต้องกลัวหลงทาง เพราะอยู่ในสนามบินอินชอน ชั้น B1 terminal 1 ค่าตรวจ 20,000 วอน ก็จงจ่ายไปค่าาาาาา เมื่อได้ผลตรวจ Fit to Fly มาก็ถือว่าปิดจ็อบเอกสารครบถ้วน ครานี้ จึงถึงคิวที่หนูจ๋าจะเดินวนสวย ๆ ไปเช็คอินได้สักที ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนต่างจากตอนขามาก็คือ ภายในสนามบินก็จะมีการตรวจวัดอุณภูมิร่างกายตามจุดต่าง ๆมากขึ้นค่ะ
หากพี่จ๋า น้องจ๋าท่านใดมีขั้นตอนที่สนามบินอย่างของหนูจ๋า ขอให้ทุกท่านเผื่อเวลาไปถึงสนามบินก่อน อย่างน้อยสัก 5 ชั่วโมงนะคะ เพราะต้องเผื่อเวลาตรวจสุขภาพ หรือเดินข้าม terminal ด้วย อย่างหนูจ๋าต้องตรวจร่างกายที่ terminal 1 แต่เช็คอิน terminal 2 ก็เกือบทำเอกสารต่าง ๆ ไม่ทันค่ะ หนูจ๋าเตือนแล้วนะ !!!!!
ประมาณเกือบสี่ทุ่ม เครื่องโคเรียแอร์ก็แตะรันเวย์ไทยแลนด์แดนสมายล์อย่างนุ่มนวล ระหว่างเดินเข้าอาคารผู้โดยสารก็จะมีเจ้าหน้าที่ประกบและประจำตามจุดต่าง ๆ เสมือนหนึ่งว่าหนูจ๋าเป็นแขกระดับ VVVIP เลยละค่ะ แต่ความจริงก็คือเพื่อกันไม่ให้หนูจ๋าเดินแว้บหลบหนีการกักตัวนั่นเอง
โถ ๆ ๆ ๆ คุณพี่จ๋า ไม่รู้อะไรเสียแล้ว กว่าหนูจะกลับมาถึง สุ-วัน-นะ-บู-มิ-แอร์-พอต ได้ ก็เลือดตาแทบกระเด็น คุณพี่จะให้หนูกลิ้งไปกลิ้งมาเป็นน้องมาเรียมเกยตื้นอีก 14 วัน หนูจ๋าทนด้าาาาาาาาาาย
ด่านแรกที่ทุกคนต้องเจอก็คือ ด่านตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทาง เมื่อตรวจเสร็จแล้วก็ต้องนั่งรอแบบมีระยะห่างทางกายภาพ เพื่อรอเรียกคิวเข้าสู่ด่าน 2 ซึ่งเป็นด่านที่หนูจ๋าคิดว่าใช้เวลารอนานที่สุดแล้ว เพราะคุณเจ้าหน้าที่ต้องตรวจอุณภูมิร่างกายและซักประวัติสุขภาพอย่างละเอียด หนูจ๋าขอขอบคุณและส่งกำลังใจคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ตรวจคัดกรองที่สนามบินด้วยนะคะ ทุกท่านทำงานกันอย่างแข็งขันมากค่ะ หลังจากนั้น หนูจ๋าจึงเดินมารอรับกระเป๋าและก็ถูกต้อนไปขึ้นรถบัสที่จะนำทุกคนไปส่งยัง SQ โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นที่ไหน ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องมีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อกระเป๋าทุกใบก่อนเอาขึ้นรถด้วย
ภาพเข้าสู่ดานตรวจเอกสารด่านแรก เก้าอี้ซ้ายขวาสำหรับนั่งรอเพื่อเข้าสู่ด้านที่สอง
หลังจากเดินทางมาสักพัก หนูจ๋าก็มาถึงโรงแรมที่จะถูกกักตัวเสียที หนูจ๋าขอชื่นชมว่าทางรัฐบาลได้พยายามจัดหาที่พักให้ผู้กักตัวได้แบบเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับประเทศอื่นถือว่าประเทศไทยค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ห้องของหนูจ๋าเป็นแบบเตียงเดี่ยว มีห้องน้ำในตัว และห้ามออกนอกห้องพักตลอดเวลาที่ถูกกักตัวเป็นอันขาด แล้วก็มีปรอทวัดไข้ไว้ให้หนูจ๋าวัดอุณหภูมิร่างกายและรายงานให้ผู้ดูแลทราบผ่านระบบออนไลน์ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ซึ่งระเบียบนี้เหมือนกับที่หนูจ๋าถูกกักตัวที่เกาหลีเลยทีเดียว แต่ที่เพิ่มเติมมาก็คือ ช่วงระหว่างการกักตัวจะมีการตรวจโพรงจมูก 2 ครั้ง ตอนนี้หนูจ๋าตรวจผ่านไปแล้ว 2 ครั้ง ยังไม่ติดเชื้อค่ะ เย้ ๆ ๆ ๆ ที่สำคัญ การตรวจไม่เจ็บอย่างที่คิด เจ้าหน้าที่น่ารักและมือเบามาก ๆ ค่ะ
รูปนี้หนูจ๋าถ่ายจากบนรถบัสตอนเดินทางมาถึงโรงแรม พี่ๆเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมมาก ต้องมีการเว้นระยะเช็คอินเข้าโรงแรม ฆ่าเชื้อรองเท้าและกระเป๋า
บรรยากาศในห้องพัก ทางโรงแรมมีการจัดเตรยมอุปกรณ์ที่จำเป็นให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ผงซักฟอก ถุงขยะ น้ำยาล้างจาน กาต้มน้ำ
บรรยากาศการตรวจหาเชื้อระหว่างกักตัว ทุกอย่างเป็นไปอย่างมีระบบขั้นตอน
ในส่วนของอาหารการกิน โรงแรมจัดอาหารให้ 3 มื้อต่อวัน พอถึงเวลา ก็จะมีคนวางอาหารไว้ให้หน้าประตูและกดกระดิ่งเรียก เป็นวิธีการเดียวกับที่เกาหลีค่ะ แต่อาหารที่ได้จะเป็นข้าวกล่องที่มีข้าวสวยและกับข้าว 1 อย่าง บางมื้อเป็นแบบอาหารจานเดียว ถ้าเป็นมื้อเช้าจะมีผลไม้มาให้ด้วย ถ้ามื้อเย็นจะมีนมเพิ่มมาให้ 1กล่อง แอบเสียใจเล็ก ๆ ที่บางมื้อ หนูจ๋าซึ่งเป็นสาวน้อยหุ่นบาง ก็ยังกินไม่อิ่มเลย และยิ่งแอบเสียใจหนักมากที่เพื่อนส่งรูปอาหารอันดูอลังการจากอีกโรงแรมหนึ่งที่เป็น SQ เหมือนกันมาให้ดู ทำไมมันต่างกันอย่างงี้ หรือ รัฐบาลให้ค่าอาหารแต่ละโรงแรมไม่เท่ากันคะ หยอก ๆ ๆ ๆ
โอ๋ ๆ ๆ ๆ ลุงตู่อย่างอนหนูจ๋าเลยนะคะ
แต่ที่โรงแรมนี้ มีบริการพิเศษคือสามารถสั่งอาหารหรือขนมอื่น ๆ ได้ทางไลน์ของโรงแรม เผื่อใครอยากกินขนม หรืออาหารเพิ่มเติมเผื่อว่าไม่อิ่ม หนูจ๋าเลยไม่พลาดสั่ง โรตีสายไหม ทองหยิบทองหยอดฝอยทอง แต่ที่ทำให้ประหลาดใจมากคือขนมเบื้องค่ะ จนหนูจ๋ารู้สึกว่า 6 เดือนที่ไม่อยู่เมืองไทย เรามีขนมเบื้องไส้นี้แล้วหรือค่ะ เชิญทัศนาเลยจ้า
ใช่ค่ะ พี่จ๋า น้องจ๋า นี่คือขนมเบื้องไส้แครอทค่ะ หนูจ๋าคิดว่ามันคือฝอยทอง คุณหลอกดาว!!! หนูจ๋าจะฟ้อง สคบ. ฮือ ๆ ๆ ๆ
พรุ่งนี้ หนูจ๋าก็จะกักตัวครบแล้ว จะได้ไปตามเก็บแต้มขนมเบื้องไส้หวานชดเชยให้ได้ค่ะ
เมื่อเช้านี้ก็มีพี่ๆจากกรมสุขภาพจิต โทรมาเมื่อสอบสอบถามหนูจ๋า ว่าตลอดเวลาที่อยู่นี้มีความเครียดหรือรู้สึกหดหู่ใจอะไรรึเปล่า หนูจ๋ามองว่านี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความใส่ใจจากเจ้าหน้าที่ทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องนะคะ หลายๆคนอาจคิดว่า 14 วันนี้เป็นช่วงที่สบาย ไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลาก็มีคนเอาข้าวมาส่ง แต่จริงๆหนูจ๋าอยากจะบอกว่า การถูกกักตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่ได้เดินออกไปไหน ไม่มีโอกาสได้สูดอากาศบริสุทธิ์ มันเป็นช่วงที่ทำให้เรารู้สึกเครียดและหดหู่โดยไม่รู้ตัวได้เลยค่ะ (ปสก จากเกาหลี ส่วนตัวหนูจ๋ารู้สึกว่าการได้พักห้องที่มีระเบียงช่วยได้เยอะค่ะ) สุดท้าย.. หนูจ๋าอยากขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนะคะ
และหวังว่าการบอกเล่าประสบการณ์การถูกกักตัวเพื่อคัดกรอง COVID-19 ใน 2 ประเทศทั้งที่เกาหลีและเมืองไทยจะมีประโยชน์ต่อใครที่กำลังจะต้องถูกกักตัวจะได้มีข้อมูลเบื้องต้นไว้สำหรับเตรียมตัวจ้า
อย่างไรก็ตาม การกักตัวหรือการดูแลในแต่ละที่อาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่เจ้าภาพของสถานที่กักตัว ฉะนั้น เคสของหนูจ๋าจึงอาจจะเหมือนหรือต่างจากพี่จ๋า น้องจ๋าท่านอื่น ๆ ก็ได้นะคะ
เปิดประสบการณ์กักตัว quarantine 2 ประเทศ
ขอทักทายแบบดัดจริตนิด ๆ ขยุกขยิก กุ๊กกิ๊ก ให้หายคิดถึงเมืองไทยสักหน่อยจ้า
นั่นก็เกิดเหตุจากว่า เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว หนูจ๋าได้รับโอกาสพิเศษให้ไปทำวิจัยในมหาวิทยาลัยที่เกาหลี ตอนนั้น เป็นช่วงที่พี่(โค)วิดเริ่มแวะเวียนเยี่ยมเยียนไปทั่วแล้ว แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนออกมาตรการจัดการกับพี่(โค)วิดจริงจังเสียที
หนูจ๋าก็หวั่นใจนะ คิดไม่ตกเหมือนกันว่าจะปฏิเสธทุนดีมั้ย ใจหนึ่งก็กลัวพี่(โค)วิด อีกใจหนึ่งก็อยากเจอสหายผู้กอง อุ๊บ!!! ไม่ช่ายยยยย
แต่ก็นั่นละฮะ ท่านผู้ชมมมมมมม หนูจ๋าก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาแล้วหนาบ้านเก่า ดินแดนที่เราเกิดมา 🎵🎶🎵🎶🎷
ตลอดเที่ยวบิน หนูจ๋าใส่หน้ากาก 😷 ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ หนูเป็นเด็กดี หนูเชื่อ ศบค. นะคะ
พอแลนดิ้งปุ๊บ หัวใจก็ถวิลหา โซจู แป้งต๊อก และโอปป้า หนูจ๋าจึงรีบเดินปรี่ ลากกระเป๋า ผ่านด่านตรวจอย่างไว
เอ๊ะ ๆ ๆ ไม่มีด่านตรวจวัดอุณหภูมิอะไรเลยรึ OMG ทางสะดวกมาก 🤯 อย่างงี้ หนูก็จะได้มีเวลาตะลอนทัวร์มากขึ้นละสิ วี้ดวิ้ววววว
เคยไหมคะพี่จ๋า น้องจ๋า สิ่งที่เราอยากได้ มักจะไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น หนูจ๋าก็เช่นกัน
มหาวิทยาลัยที่เป็นโฮสในครั้งนี้ แจ้งเมลด่วนว่า ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำกิจกรรมใด ๆ กับมหาวิทยาลัยจะต้องกักตัวอยู่ในหอพักที่มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ให้เป็นเวลา 14 วัน โดยจะมีอาหารการกินส่งตรงถึงหน้าประตูห้องพัก 3 มื้อทุกวัน
หนูจ๋าก็อึ้งไปเหมือนกัน ไม่ใช่อึ้งที่อดเที่ยวนะคะ แต่อึ้งที่มาตรการนี้ มหาวิทยาลัยประกาศเอง สั่งเอง และจ่ายเอง ทั้ง ๆ ที่ ตอนนั้น รัฐบาลเกาหลียังไม่ออกมาตรการกักตัวในลักษณะนี้เลย
สำหรับหอพักที่มหาวิทยาลัยจัดให้พักนั้นก็ไม่ไก่กาอาราเร่นะคะ หนูจ๋าได้พักห้องเตียงเดี่ยว มีห้องน้ำในตัว แต่ที่พิเศษคือมีปรอทวัดไข้เตรียมไว้ให้ด้วย เพราะหนูจ๋ามีนัดรายงานอุณหภูมิร่างกายผ่านระบบออนไลน์ให้ผู้ดูแลทราบทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เผื่อว่าวันไหนหนูจ๋ามีไข้สูง ผู้ดูแลจะได้ส่งหนูจ๋าไปตรวจหาเชื้อต่อไป และหนทางนี้เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่หนูจ๋าจะได้ออกจากห้องกักตัว !!!
ภาพถ่ายจากระเบียงห้องพักระหว่างกักตัวค่ะ
บรรยากาศในห้องพัก ต้องขออภัยด้วยนะคะ หนูจ๋าไม่ได้ถ่ายรูปไว้มากมายนัก
สิ่งรื่นรมย์ บันเทิงใจในช่วงเวลานี้สำหรับหนูจ๋าก็คือ เซตอาหารกล่องอร่อย ๆ หน้าตาน่าเขมือบ สารอาหารครบ 5 หมู่ ให้ได้กินอย่างเต็มอิ่ม โดยคนส่งอาหารจะวางอาหารไว้ให้หน้าประตู พร้อมเคาะประตูเป็นรหัสสามก๊อก เพื่อบอกว่าอาหารมาเสิร์ฟที่หน้าห้องแล้วจ้า ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสพี่เขาจะวางแล้วชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หนูจ๋าเปิดประตูไม่ทันพี่เขาสักที 555 ลองดูตัวอย่างหน้าตาอาหารจากฝั่งเกาหลีก่อนจ้า
ภาพถ่ายจากโถงทางเดิน รูปนี้หนูจ๋าได้ถ่ายตอนวันสุดท้ายของการกักตัวเพื่อให้เห็นบรรยากาศการส่งของหน้าห้องพัก
เมื่อเสร็จศึก จบงานเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคราวเก็บกระเป๋ากลับบ้านเรารักรออยู่ สู่อ้อมใจของบ้านเกิดกันเสียที
แต่พี่จ๋า น้องจ๋า เชื่อมั้ยคะว่าการกลับบ้านครั้งนี้ ยากลำบากมากค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะรัฐบาลไทยเขาไม่อยากให้พวกพี่จ๋า น้องจ๋า ลุงป้าน้าอาที่อยู่ในเมืองไทย ต้องเสี่ยงกับพี่(โค)วิดที่อาจจะติดตัวพวกหนูไป
ขั้นแรก หนูจ๋าต้องแจ้งผ่านแบบฟอร์มออนไลน์ของสถานทูตไทยในเกาหลีว่าหนูจ๋าอยากกลับบ้านแล้ว ได้โปรดจัดคิวให้หนูจ๋ากลับด้วยเถอะ หลังจากนั้นหนูจ๋าก็ต้องทำใจเย็น ๆ ร้องเพลงรอ ร๊อ รอ รอจนกว่าพี่ ๆ เจ้าหน้าที่สถานทูตจะติดต่อกลับมาแจ้งคอนเฟิร์มวันและเที่ยวบินตามคิวเดินทางที่หนูจ๋าได้ ประมาณ 4-5 วันก่อนเดินทาง (ช่วงนี้ต้องจับโทรศัพท์ไว้ให้มั่นเลยนะคะ ไม่งั้นอาจจะพลาดไม่ได้รับสายจากพี่ๆสถานทูต แล้วจะหาว่าหนูจ๋าไม่เตือนไม่ได้นะ) ต่อมา พอหนูจ๋ารู้ว่าได้เดินทางวันไหน หนูจ๋าก็จะต้องรีบติดต่อบริษัทขายตั๋วเครื่องบินตามที่สถานทูตแจ้งมาทำเรื่องซื้อตั๋วและโอนเงิน หลังจากได้ตั๋วเครื่องบินมานอนอุ่น ๆ ในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว หนูจ๋าจะต้องไปแสดงตัวที่สถานทูตเพื่อรับเอกสารราชการที่จะใช้ยื่นเช็คอินที่สนามบินเพื่อยืนยันว่าหนูจ๋าได้รับอนุญาตให้เดินทางโดยเที่ยวบินพิเศษนี้จริง ๆ นะ ไม่ได้โม้
อ้อ ลืมบอกจ้า ตอนที่ไปสถานทูตนั้น เขาให้หนูจ๋าแจ้งด้วยว่าอยากจะกักตัวใน state quarantine : SQ หรือจะเลือกกักตัวใน Alternative State Quarantine : ASQ ซึ่งอย่างหลังนี้ จะต้องออกค่าใช้จ่ายเอง โดยเรตราคาแต่ละแห่งก็จะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความหรูหราไฮโซของสารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก ดังนั้น คนกระเป๋าแบนแฟนทิ้งอย่างหนูจ๋าก็ต้องเลือกแบบ SQ เท่านั้นสิคะ
มาถึงนาทีนี้ พี่จ๋า น้องจ๋า คงคิดว่าหนูจ๋าพร้อมบินแล้วใช่มั้ยคะ โนววววววค่ะ!!! เราต้องไปทำเอกสารการตรวจสุขภาพ fit to fly ก่อนจ้า
เจ้า Fit to Fly เนี่ยเป็นการตรวจสุขภาพเบื้องต้นและซักถามอาการทั่ว ๆ ไปว่าหนูจ๋ายังไหวอยู่นะ ยังไม่มีอาการเสี่ยงติดโรคนะ ดังนั้น ผลตรวจสุขภาพนี้จะมีอายุใช้งานไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนออกเดินทาง หนูจ๋าเลือกไปตรวจที่ INHA medical center ตามที่สถานทูตแนะนำซึ่งสะดวกดี ไม่ต้องกลัวหลงทาง เพราะอยู่ในสนามบินอินชอน ชั้น B1 terminal 1 ค่าตรวจ 20,000 วอน ก็จงจ่ายไปค่าาาาาา เมื่อได้ผลตรวจ Fit to Fly มาก็ถือว่าปิดจ็อบเอกสารครบถ้วน ครานี้ จึงถึงคิวที่หนูจ๋าจะเดินวนสวย ๆ ไปเช็คอินได้สักที ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนต่างจากตอนขามาก็คือ ภายในสนามบินก็จะมีการตรวจวัดอุณภูมิร่างกายตามจุดต่าง ๆมากขึ้นค่ะ
หากพี่จ๋า น้องจ๋าท่านใดมีขั้นตอนที่สนามบินอย่างของหนูจ๋า ขอให้ทุกท่านเผื่อเวลาไปถึงสนามบินก่อน อย่างน้อยสัก 5 ชั่วโมงนะคะ เพราะต้องเผื่อเวลาตรวจสุขภาพ หรือเดินข้าม terminal ด้วย อย่างหนูจ๋าต้องตรวจร่างกายที่ terminal 1 แต่เช็คอิน terminal 2 ก็เกือบทำเอกสารต่าง ๆ ไม่ทันค่ะ หนูจ๋าเตือนแล้วนะ !!!!!
ประมาณเกือบสี่ทุ่ม เครื่องโคเรียแอร์ก็แตะรันเวย์ไทยแลนด์แดนสมายล์อย่างนุ่มนวล ระหว่างเดินเข้าอาคารผู้โดยสารก็จะมีเจ้าหน้าที่ประกบและประจำตามจุดต่าง ๆ เสมือนหนึ่งว่าหนูจ๋าเป็นแขกระดับ VVVIP เลยละค่ะ แต่ความจริงก็คือเพื่อกันไม่ให้หนูจ๋าเดินแว้บหลบหนีการกักตัวนั่นเอง
โถ ๆ ๆ ๆ คุณพี่จ๋า ไม่รู้อะไรเสียแล้ว กว่าหนูจะกลับมาถึง สุ-วัน-นะ-บู-มิ-แอร์-พอต ได้ ก็เลือดตาแทบกระเด็น คุณพี่จะให้หนูกลิ้งไปกลิ้งมาเป็นน้องมาเรียมเกยตื้นอีก 14 วัน หนูจ๋าทนด้าาาาาาาาาาย
ด่านแรกที่ทุกคนต้องเจอก็คือ ด่านตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทาง เมื่อตรวจเสร็จแล้วก็ต้องนั่งรอแบบมีระยะห่างทางกายภาพ เพื่อรอเรียกคิวเข้าสู่ด่าน 2 ซึ่งเป็นด่านที่หนูจ๋าคิดว่าใช้เวลารอนานที่สุดแล้ว เพราะคุณเจ้าหน้าที่ต้องตรวจอุณภูมิร่างกายและซักประวัติสุขภาพอย่างละเอียด หนูจ๋าขอขอบคุณและส่งกำลังใจคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ตรวจคัดกรองที่สนามบินด้วยนะคะ ทุกท่านทำงานกันอย่างแข็งขันมากค่ะ หลังจากนั้น หนูจ๋าจึงเดินมารอรับกระเป๋าและก็ถูกต้อนไปขึ้นรถบัสที่จะนำทุกคนไปส่งยัง SQ โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าเป็นที่ไหน ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องมีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อกระเป๋าทุกใบก่อนเอาขึ้นรถด้วย
ภาพเข้าสู่ดานตรวจเอกสารด่านแรก เก้าอี้ซ้ายขวาสำหรับนั่งรอเพื่อเข้าสู่ด้านที่สอง
หลังจากเดินทางมาสักพัก หนูจ๋าก็มาถึงโรงแรมที่จะถูกกักตัวเสียที หนูจ๋าขอชื่นชมว่าทางรัฐบาลได้พยายามจัดหาที่พักให้ผู้กักตัวได้แบบเป็นอย่างดีเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับประเทศอื่นถือว่าประเทศไทยค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ห้องของหนูจ๋าเป็นแบบเตียงเดี่ยว มีห้องน้ำในตัว และห้ามออกนอกห้องพักตลอดเวลาที่ถูกกักตัวเป็นอันขาด แล้วก็มีปรอทวัดไข้ไว้ให้หนูจ๋าวัดอุณหภูมิร่างกายและรายงานให้ผู้ดูแลทราบผ่านระบบออนไลน์ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ซึ่งระเบียบนี้เหมือนกับที่หนูจ๋าถูกกักตัวที่เกาหลีเลยทีเดียว แต่ที่เพิ่มเติมมาก็คือ ช่วงระหว่างการกักตัวจะมีการตรวจโพรงจมูก 2 ครั้ง ตอนนี้หนูจ๋าตรวจผ่านไปแล้ว 2 ครั้ง ยังไม่ติดเชื้อค่ะ เย้ ๆ ๆ ๆ ที่สำคัญ การตรวจไม่เจ็บอย่างที่คิด เจ้าหน้าที่น่ารักและมือเบามาก ๆ ค่ะ
รูปนี้หนูจ๋าถ่ายจากบนรถบัสตอนเดินทางมาถึงโรงแรม พี่ๆเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมมาก ต้องมีการเว้นระยะเช็คอินเข้าโรงแรม ฆ่าเชื้อรองเท้าและกระเป๋า
บรรยากาศในห้องพัก ทางโรงแรมมีการจัดเตรยมอุปกรณ์ที่จำเป็นให้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ผงซักฟอก ถุงขยะ น้ำยาล้างจาน กาต้มน้ำ
บรรยากาศการตรวจหาเชื้อระหว่างกักตัว ทุกอย่างเป็นไปอย่างมีระบบขั้นตอน
ในส่วนของอาหารการกิน โรงแรมจัดอาหารให้ 3 มื้อต่อวัน พอถึงเวลา ก็จะมีคนวางอาหารไว้ให้หน้าประตูและกดกระดิ่งเรียก เป็นวิธีการเดียวกับที่เกาหลีค่ะ แต่อาหารที่ได้จะเป็นข้าวกล่องที่มีข้าวสวยและกับข้าว 1 อย่าง บางมื้อเป็นแบบอาหารจานเดียว ถ้าเป็นมื้อเช้าจะมีผลไม้มาให้ด้วย ถ้ามื้อเย็นจะมีนมเพิ่มมาให้ 1กล่อง แอบเสียใจเล็ก ๆ ที่บางมื้อ หนูจ๋าซึ่งเป็นสาวน้อยหุ่นบาง ก็ยังกินไม่อิ่มเลย และยิ่งแอบเสียใจหนักมากที่เพื่อนส่งรูปอาหารอันดูอลังการจากอีกโรงแรมหนึ่งที่เป็น SQ เหมือนกันมาให้ดู ทำไมมันต่างกันอย่างงี้ หรือ รัฐบาลให้ค่าอาหารแต่ละโรงแรมไม่เท่ากันคะ หยอก ๆ ๆ ๆ
โอ๋ ๆ ๆ ๆ ลุงตู่อย่างอนหนูจ๋าเลยนะคะ
แต่ที่โรงแรมนี้ มีบริการพิเศษคือสามารถสั่งอาหารหรือขนมอื่น ๆ ได้ทางไลน์ของโรงแรม เผื่อใครอยากกินขนม หรืออาหารเพิ่มเติมเผื่อว่าไม่อิ่ม หนูจ๋าเลยไม่พลาดสั่ง โรตีสายไหม ทองหยิบทองหยอดฝอยทอง แต่ที่ทำให้ประหลาดใจมากคือขนมเบื้องค่ะ จนหนูจ๋ารู้สึกว่า 6 เดือนที่ไม่อยู่เมืองไทย เรามีขนมเบื้องไส้นี้แล้วหรือค่ะ เชิญทัศนาเลยจ้า
ใช่ค่ะ พี่จ๋า น้องจ๋า นี่คือขนมเบื้องไส้แครอทค่ะ หนูจ๋าคิดว่ามันคือฝอยทอง คุณหลอกดาว!!! หนูจ๋าจะฟ้อง สคบ. ฮือ ๆ ๆ ๆ
พรุ่งนี้ หนูจ๋าก็จะกักตัวครบแล้ว จะได้ไปตามเก็บแต้มขนมเบื้องไส้หวานชดเชยให้ได้ค่ะ
เมื่อเช้านี้ก็มีพี่ๆจากกรมสุขภาพจิต โทรมาเมื่อสอบสอบถามหนูจ๋า ว่าตลอดเวลาที่อยู่นี้มีความเครียดหรือรู้สึกหดหู่ใจอะไรรึเปล่า หนูจ๋ามองว่านี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงถึงความใส่ใจจากเจ้าหน้าที่ทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องนะคะ หลายๆคนอาจคิดว่า 14 วันนี้เป็นช่วงที่สบาย ไม่ต้องทำอะไร ถึงเวลาก็มีคนเอาข้าวมาส่ง แต่จริงๆหนูจ๋าอยากจะบอกว่า การถูกกักตัวอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่ได้เดินออกไปไหน ไม่มีโอกาสได้สูดอากาศบริสุทธิ์ มันเป็นช่วงที่ทำให้เรารู้สึกเครียดและหดหู่โดยไม่รู้ตัวได้เลยค่ะ (ปสก จากเกาหลี ส่วนตัวหนูจ๋ารู้สึกว่าการได้พักห้องที่มีระเบียงช่วยได้เยอะค่ะ) สุดท้าย.. หนูจ๋าอยากขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนะคะ
และหวังว่าการบอกเล่าประสบการณ์การถูกกักตัวเพื่อคัดกรอง COVID-19 ใน 2 ประเทศทั้งที่เกาหลีและเมืองไทยจะมีประโยชน์ต่อใครที่กำลังจะต้องถูกกักตัวจะได้มีข้อมูลเบื้องต้นไว้สำหรับเตรียมตัวจ้า
อย่างไรก็ตาม การกักตัวหรือการดูแลในแต่ละที่อาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่เจ้าภาพของสถานที่กักตัว ฉะนั้น เคสของหนูจ๋าจึงอาจจะเหมือนหรือต่างจากพี่จ๋า น้องจ๋าท่านอื่น ๆ ก็ได้นะคะ