"นาอูรู" ประเทศเกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 2/3 ของสนามบินสุวรรณภูมินั้นเคยสร้างสถิติโลกไว้สามอย่าง คือ 1. เป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2. เป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก 3. เป็นประเทศที่มีสัดส่วนคนอ้วนสูงที่สุดในโลก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วคนเดียว ...เรื่องราวที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ยังวิปริตยิ่งกว่าคำโปรยอีกมาก...
1. นี่คือ "นาอูรู" ประเทศเกาะสัณฐานกลม มีขนาดเพียง 21 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2 ใน 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศนี้เล็กเป็นอันดับสามของโลก (รองจากวาติกัน และโมนาโก) ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากออสเตรเลีย 4,385 กิโลเมตร มีประชากรราว 10,000 คน
2. ปี 2016 โอมิด มาซูมาลี ผู้ลี้ภัยชาวอิหร่านได้เผาตัวตาย เมื่อ UNHCR บอกเขาว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในนาอูรูอีกอย่างน้อย 10 ปี มีผู้ลี้ภัยอีกหลายคนคิดทำตาม ...แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?
3. ในอดีตนาอูรูเคยเป็นเกาะที่สวยงาม มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ ปี 1798 กัปตันเรืออังกฤษชื่อ จอห์น เฟิร์นได้ค้นพบนาอูรู เขาตั้งชื่อเกาะนี้ว่า "Pleasant Island" เพราะมีความสวยงามมาก
4. ต่อมาต้นศตวรรษที่ 19 นักเดินเรือชาวยุโรปมาค้าขายกับชาวเกาะ ชาวนาอูรูขายอาหารแลกเหล้ากับปืน จนกระทั่งทุกครอบครัวมีปืนครอบครองหมด นำสู่สงครามกลางเมืองในปี 1878-1888 ซึ่งลงท้ายคร่าชีวิตชาวเกาะไป 500 คน (หนึ่งในสามของชาวเกาะตอนนั้น) และถูกเยอรมันแทรกแซงจนตกเป็นเมืองขึ้น
5. ต่อมามีการค้นพบแร่ฟอสเฟตในนาอูรู ทำให้มหาอำนาจมาช่วงชิงเกาะนี้กัน ตลอดศตวรรษที่ 20 นาอูรูเปลี่ยนมือจากการตกเป็นเมืองขึ้นเยอรมัน ไปตกเป็นเมืองขึ้นออสเตรเลีย ไปตกเป็นเมืองขึ้นญี่ปุ่น แล้วกลับเป็นเมืองขึ้นออสเตรเลียอีก
6. แร่ฟอสเฟตเกิดจากขี้นกที่ขี้ทับถมบนเกาะนาอูรูนับล้านๆ ตันมักเอามาใช้ทำปุ๋ย ปี 1968 ออสเตรเลียได้ขุดแร่นี้จนทำลายธรรมชาตินาอูรูไปมาก จึงยื่นข้อเสนอว่า จะย้ายชาวนาอูรู (ตอนนั้นมีราว 7,000 คน) ไปเกาะที่ใหญ่และดีกว่านี้ จะให้สัญชาติออสเตรเลีย ตลอดจนจะจ่ายเงินอีกราว 400 ล้านบาท สร้างบ้าน สร้างงานให้ชาวนาอูรูมีชีวิตที่ดี ชดเชยกับที่ทำลายเกาะไป
7. ตอนนั้นชาวนาอูรูเลือกขอตั้งรัฐเอกราชปกครองตัวเอง และใช้รายได้จากเหมืองฟอสเฟตมาบำรุงเลี้ยงตนเองดีกว่า
8. ...การตัดสินใจนั้นเหมือนจะถูกต้อง เพราะมันทำให้ชาวนาอูรูได้รายได้มากกว่า 6 หมื่นสี่พันล้านบาทจากเหมือง เอามาหารประชากร 7,000 คน ก็ได้คนละราว 9 ล้านบาท ทำให้พวกเขากลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในทันที!
9. ช่วงยุค 1970s - 80s ชาวนาอูรูเฟื่องฟูด้วยทรัพศฤงคาร พวกเขาเอาเงินมาสร้างบ้าน ซื้อรถ บินไปเที่ยวต่างประเทศ สั่งของฟุ่มเฟือยนานาชนิดมาปรนเปรอตนเอง
10. ในช่วงนั้นชาวนาอูรูค่อยๆ พัฒนาวัฒนธรรมการบริโภคมากเกินควร พวกเขาชื่นชอบกินอาหารขยะที่ขนมาจากออสเตรเลีย ทำให้อ้วนขึ้นเป็นอันมาก
11. ขณะเดียวกันเมื่อแร่เริ่มหมด พวกเขาก็ขุดแร่หนักขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทำลายธรรมชาติของเกาะตนเองหนักกว่าที่ออสเตรเลียทำ จนในที่สุดพื้นที่ 70% ของนาอูรูก็ถูกทำลายไม่อาจอยู่อาศัยหรือเพาะปลูกได้
12. แม้มีการพยายามเอาเงินไปลงทุนกับอย่างอื่นแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เช่นนาอูรูเคยออกเงินสร้างละครเพลงเรื่อง "Leonardo a Portrait of Love" เกี่ยวกับประวัติของลีโอนาโด ดาวินชี ไปออกแสดงในลอนดอน ปรากฏว่าเขียนบทแย่ มีฉากดาวินชีตบก้นโมนาลิซา ทำให้ละครประสบความล้มเหลว ขาดทุนหลายล้านบาท ต้องปิดแสดงในเวลาอันสั้น
13. และพอขุดแร่ไปเรื่อยๆ ...วันนึงแร่ก็หมด
14. ตั้งแต่ยุค 2000s นาอูรูล้มละลายกลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกในชั่วข้ามคืน ...เมื่อแร่หมด เกาะก็ไม่เหลือทรัพยากรอะไรอีกแล้ว
15. ซากเหมืองสุดลูกหูลูกตากลายเป็นที่ทิ้งขยะ ซึ่งชาวนาอูรูไม่มีเงินและไม่มีปัญญาฟื้นฟูมันกลับมาดีได้ ...พวกเขาทำอะไรไม่ค่อยเป็นเพราะอยู่สบายมานาน คนกว่า 90% ว่างงาน ส่วนระบบการศึกษาก็อ่อนแอแทบพังพินาศ
16. ซ้ำร้ายกว่านั้นชาวเกาะกว่า 71% ยังเป็นโรคอ้วน เพราะติดนิสัยกินดีอยู่ดีมาตั้งแต่ตอนรวย บัดนี้พื้นดินเกาะนาอูรูฟัคอัพเกินกว่าจะปลูกพืชผัก ต้องนำเข้าอาหารแทบทั้งหมดจากออสเตรเลีย ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารกระป๋องที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
17. พวกเขามีอัตราเป็นโรคเบาหวาน และความดันสูงที่สุดในโลก คือคน 40% เป็นโรคเบาหวาน หลายคนต้องตายก่อนวัย มีการตัดแขนตัดขาเพราะเบาหวานกันเป็นปกติ
18. คำถามที่เหลือกับชาวเกาะคือ ...วิบัติถึงเพียงนี้แล้วจะเอาอย่างไรดี?
19. คำตอบคือนาอูรูขายทุกอย่างที่เหลืออยู่ ...พวกเขาใช้ความเป็นประเทศ ประกาศว่าใครมีเงิน 20,000 เหรียญก็สามารถมาตั้งธนาคารในนาอูรูได้ เพื่อเปิดโอกาสให้นายทุนต่างชาติมาฟอกเงินกันเป็นล่ำเป็นสัน
20. นาอูรูยังใช้ความเป็นเกาะห่างไกลของตนเอง รับ "ตั้งค่ายผู้ลี้ภัย" ให้แก่ออสเตรเลีย ...นี่เป็นกิจกรรมที่จะสร้างรายได้หลักให้นาอูรูต่อมาอีกนับสิบปี
21. ทั้งนี้ที่ผ่านมามีผู้อพยพจากหลายประเทศนั่งเรือหนีมาออสเตรเลียเพื่อหวังชีวิตที่ดีกว่า ออสเตรเลียตอบโต้โดยประกาศชัดว่าใครหนีมาจะไม่ได้อาศัยในออสเตรเลีย แต่ต้องไปอาศัยในนาอูรู, หรือเกาะที่ห่างไกล ไม่มีอะไรเลย
22. มาตรการนี้ดูเป็นการลงโทษ เพราะสภาพค่ายลี้ภัยในนาอูรูนั้นแย่มาก ผู้ลี้ภัยมักถูกผู้คุมทำร้ายข่มขืนอยู่เนืองๆ จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ติดต่อใครก็ไม่ได้ ชีวิตเหมือนตกในนรก เกิดการประท้วงหลายครั้ง จนมีคนฆ่าตัวตายดังที่ลงเรื่องไว้ข้างต้น
23. ความนี้ชั่วร้ายจนชาวออสเตรเลียเองยังทนไม่ไหว พวกเขาออกมาประท้วงรัฐบาล จนกระทั่งต้องมีการยอมผ่อนปรนย้ายผู้ลี้ภัยจากนาอูรูไปไว้ที่อื่น
24. ปัจจุบันผู้ลี้ภัยได้รับการช่วยเหลือออกไปจากนาอูรูมาก แต่ไม่ทราบว่าจะมีเพิ่มอีกหรือไม่เมื่อใด นั่นทำให้นาอูรูขาดรายได้ลงไปอีก ...นาอูรูเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคนมาเที่ยวน้อยที่สุดในโลก ปีหนึ่งมีเพียงราว 200 คน ...จากเกาะที่เคยสวยงาม ที่นี่ไม่มีอะไรให้เที่ยวดูอีกแล้ว เว้นแต่ซากประวัติศาสตร์แห่งความวิบัติของตนเอง
25. เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง? เหตุวิปริตในประเทศเกาะเล็กๆ นี้ เป็นความผิดของใคร? หากท่านเป็นชาวนาอูรูซึ่งผ่านพ้นประสบการณ์ทั้งหมดนี้มา ท่านจะทำอย่างไร?
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ The Wild Chronicles - เชษฐา
https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwatได้เลยครับ
***เหตุวิปริตในนาอูรู***
1. นี่คือ "นาอูรู" ประเทศเกาะสัณฐานกลม มีขนาดเพียง 21 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2 ใน 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศนี้เล็กเป็นอันดับสามของโลก (รองจากวาติกัน และโมนาโก) ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากออสเตรเลีย 4,385 กิโลเมตร มีประชากรราว 10,000 คน
2. ปี 2016 โอมิด มาซูมาลี ผู้ลี้ภัยชาวอิหร่านได้เผาตัวตาย เมื่อ UNHCR บอกเขาว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในนาอูรูอีกอย่างน้อย 10 ปี มีผู้ลี้ภัยอีกหลายคนคิดทำตาม ...แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?
3. ในอดีตนาอูรูเคยเป็นเกาะที่สวยงาม มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ ปี 1798 กัปตันเรืออังกฤษชื่อ จอห์น เฟิร์นได้ค้นพบนาอูรู เขาตั้งชื่อเกาะนี้ว่า "Pleasant Island" เพราะมีความสวยงามมาก
4. ต่อมาต้นศตวรรษที่ 19 นักเดินเรือชาวยุโรปมาค้าขายกับชาวเกาะ ชาวนาอูรูขายอาหารแลกเหล้ากับปืน จนกระทั่งทุกครอบครัวมีปืนครอบครองหมด นำสู่สงครามกลางเมืองในปี 1878-1888 ซึ่งลงท้ายคร่าชีวิตชาวเกาะไป 500 คน (หนึ่งในสามของชาวเกาะตอนนั้น) และถูกเยอรมันแทรกแซงจนตกเป็นเมืองขึ้น
5. ต่อมามีการค้นพบแร่ฟอสเฟตในนาอูรู ทำให้มหาอำนาจมาช่วงชิงเกาะนี้กัน ตลอดศตวรรษที่ 20 นาอูรูเปลี่ยนมือจากการตกเป็นเมืองขึ้นเยอรมัน ไปตกเป็นเมืองขึ้นออสเตรเลีย ไปตกเป็นเมืองขึ้นญี่ปุ่น แล้วกลับเป็นเมืองขึ้นออสเตรเลียอีก
6. แร่ฟอสเฟตเกิดจากขี้นกที่ขี้ทับถมบนเกาะนาอูรูนับล้านๆ ตันมักเอามาใช้ทำปุ๋ย ปี 1968 ออสเตรเลียได้ขุดแร่นี้จนทำลายธรรมชาตินาอูรูไปมาก จึงยื่นข้อเสนอว่า จะย้ายชาวนาอูรู (ตอนนั้นมีราว 7,000 คน) ไปเกาะที่ใหญ่และดีกว่านี้ จะให้สัญชาติออสเตรเลีย ตลอดจนจะจ่ายเงินอีกราว 400 ล้านบาท สร้างบ้าน สร้างงานให้ชาวนาอูรูมีชีวิตที่ดี ชดเชยกับที่ทำลายเกาะไป
7. ตอนนั้นชาวนาอูรูเลือกขอตั้งรัฐเอกราชปกครองตัวเอง และใช้รายได้จากเหมืองฟอสเฟตมาบำรุงเลี้ยงตนเองดีกว่า
8. ...การตัดสินใจนั้นเหมือนจะถูกต้อง เพราะมันทำให้ชาวนาอูรูได้รายได้มากกว่า 6 หมื่นสี่พันล้านบาทจากเหมือง เอามาหารประชากร 7,000 คน ก็ได้คนละราว 9 ล้านบาท ทำให้พวกเขากลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในทันที!
9. ช่วงยุค 1970s - 80s ชาวนาอูรูเฟื่องฟูด้วยทรัพศฤงคาร พวกเขาเอาเงินมาสร้างบ้าน ซื้อรถ บินไปเที่ยวต่างประเทศ สั่งของฟุ่มเฟือยนานาชนิดมาปรนเปรอตนเอง
10. ในช่วงนั้นชาวนาอูรูค่อยๆ พัฒนาวัฒนธรรมการบริโภคมากเกินควร พวกเขาชื่นชอบกินอาหารขยะที่ขนมาจากออสเตรเลีย ทำให้อ้วนขึ้นเป็นอันมาก
11. ขณะเดียวกันเมื่อแร่เริ่มหมด พวกเขาก็ขุดแร่หนักขึ้น และกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทำลายธรรมชาติของเกาะตนเองหนักกว่าที่ออสเตรเลียทำ จนในที่สุดพื้นที่ 70% ของนาอูรูก็ถูกทำลายไม่อาจอยู่อาศัยหรือเพาะปลูกได้
12. แม้มีการพยายามเอาเงินไปลงทุนกับอย่างอื่นแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เช่นนาอูรูเคยออกเงินสร้างละครเพลงเรื่อง "Leonardo a Portrait of Love" เกี่ยวกับประวัติของลีโอนาโด ดาวินชี ไปออกแสดงในลอนดอน ปรากฏว่าเขียนบทแย่ มีฉากดาวินชีตบก้นโมนาลิซา ทำให้ละครประสบความล้มเหลว ขาดทุนหลายล้านบาท ต้องปิดแสดงในเวลาอันสั้น
13. และพอขุดแร่ไปเรื่อยๆ ...วันนึงแร่ก็หมด
14. ตั้งแต่ยุค 2000s นาอูรูล้มละลายกลายเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกในชั่วข้ามคืน ...เมื่อแร่หมด เกาะก็ไม่เหลือทรัพยากรอะไรอีกแล้ว
15. ซากเหมืองสุดลูกหูลูกตากลายเป็นที่ทิ้งขยะ ซึ่งชาวนาอูรูไม่มีเงินและไม่มีปัญญาฟื้นฟูมันกลับมาดีได้ ...พวกเขาทำอะไรไม่ค่อยเป็นเพราะอยู่สบายมานาน คนกว่า 90% ว่างงาน ส่วนระบบการศึกษาก็อ่อนแอแทบพังพินาศ
16. ซ้ำร้ายกว่านั้นชาวเกาะกว่า 71% ยังเป็นโรคอ้วน เพราะติดนิสัยกินดีอยู่ดีมาตั้งแต่ตอนรวย บัดนี้พื้นดินเกาะนาอูรูฟัคอัพเกินกว่าจะปลูกพืชผัก ต้องนำเข้าอาหารแทบทั้งหมดจากออสเตรเลีย ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารกระป๋องที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
17. พวกเขามีอัตราเป็นโรคเบาหวาน และความดันสูงที่สุดในโลก คือคน 40% เป็นโรคเบาหวาน หลายคนต้องตายก่อนวัย มีการตัดแขนตัดขาเพราะเบาหวานกันเป็นปกติ
18. คำถามที่เหลือกับชาวเกาะคือ ...วิบัติถึงเพียงนี้แล้วจะเอาอย่างไรดี?
19. คำตอบคือนาอูรูขายทุกอย่างที่เหลืออยู่ ...พวกเขาใช้ความเป็นประเทศ ประกาศว่าใครมีเงิน 20,000 เหรียญก็สามารถมาตั้งธนาคารในนาอูรูได้ เพื่อเปิดโอกาสให้นายทุนต่างชาติมาฟอกเงินกันเป็นล่ำเป็นสัน
20. นาอูรูยังใช้ความเป็นเกาะห่างไกลของตนเอง รับ "ตั้งค่ายผู้ลี้ภัย" ให้แก่ออสเตรเลีย ...นี่เป็นกิจกรรมที่จะสร้างรายได้หลักให้นาอูรูต่อมาอีกนับสิบปี
21. ทั้งนี้ที่ผ่านมามีผู้อพยพจากหลายประเทศนั่งเรือหนีมาออสเตรเลียเพื่อหวังชีวิตที่ดีกว่า ออสเตรเลียตอบโต้โดยประกาศชัดว่าใครหนีมาจะไม่ได้อาศัยในออสเตรเลีย แต่ต้องไปอาศัยในนาอูรู, หรือเกาะที่ห่างไกล ไม่มีอะไรเลย
22. มาตรการนี้ดูเป็นการลงโทษ เพราะสภาพค่ายลี้ภัยในนาอูรูนั้นแย่มาก ผู้ลี้ภัยมักถูกผู้คุมทำร้ายข่มขืนอยู่เนืองๆ จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ติดต่อใครก็ไม่ได้ ชีวิตเหมือนตกในนรก เกิดการประท้วงหลายครั้ง จนมีคนฆ่าตัวตายดังที่ลงเรื่องไว้ข้างต้น
23. ความนี้ชั่วร้ายจนชาวออสเตรเลียเองยังทนไม่ไหว พวกเขาออกมาประท้วงรัฐบาล จนกระทั่งต้องมีการยอมผ่อนปรนย้ายผู้ลี้ภัยจากนาอูรูไปไว้ที่อื่น
24. ปัจจุบันผู้ลี้ภัยได้รับการช่วยเหลือออกไปจากนาอูรูมาก แต่ไม่ทราบว่าจะมีเพิ่มอีกหรือไม่เมื่อใด นั่นทำให้นาอูรูขาดรายได้ลงไปอีก ...นาอูรูเป็นหนึ่งในประเทศที่มีคนมาเที่ยวน้อยที่สุดในโลก ปีหนึ่งมีเพียงราว 200 คน ...จากเกาะที่เคยสวยงาม ที่นี่ไม่มีอะไรให้เที่ยวดูอีกแล้ว เว้นแต่ซากประวัติศาสตร์แห่งความวิบัติของตนเอง
25. เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง? เหตุวิปริตในประเทศเกาะเล็กๆ นี้ เป็นความผิดของใคร? หากท่านเป็นชาวนาอูรูซึ่งผ่านพ้นประสบการณ์ทั้งหมดนี้มา ท่านจะทำอย่างไร?
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ The Wild Chronicles - เชษฐา https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwatได้เลยครับ