ดวงตาเห็นธรรม...

นำมาจากท่านอื่นเพื่อให้พิจารณาครับ

สายวัดป่า...
เอากำลังสมาธิพิจารณาร่างกายตัวเอง จะรู้สึกสลด เบื่อหน่ายในร่างกาย ความรู้สึกจะเริ่มถอยจากกาย
ยิ่งเพียรพิจารณาเท่าใดใจจะห่างกายไปเรื่อยๆ จนหดไปรวมอยู่ที่กลางอก 

สายเจริญสติจับการเคลื่อนไหวของกาย  จนความรู้สึกของกายหดจากร่างกายไปรวมที่ทรวงอก
สายสมาธิทำสมาธิจนสงบระงับ  ใจแยกออกจากกาย ในระหว่างสมาธิรู้สึกเป็นดวงๆ

( ลำดับต่อไปเป็นที่รวมของการปฏิบัติทุกสายทุกทางจะเป็นเหมือนกัน )

หลังจากใจทิ้งกายแล้ว จากเดิมที่ใจทำความสงบได้ง่าย จะเปลี่ยนมาทำความสงบไม่ค่อยได้ จะเห็นสิ่งต่างๆเปลี่ยนไปมา
ทั้งกาย เวทนา จิต วนเวียนไปมา จากสติที่ชัดขึ้นใจจะเริ่มเห็น อารมณ์โกรธ เศร้า ดีใจ เสียใจ ว่าต่างจากอารมณ์ปกติอย่างไร
จะเห็นละเอียดทวนเข้าไปเรื่อยๆ ด้วยสติ จนกระทั่งเห็นชัดว่าก่อนเกิดอารมณ์เป็นอย่างไร เวลามีผัสสะเข้ามาก่อให้เกิดอารมณ์นั้น
ใจเป็นอย่างไร เห็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ( เรียกตอนนี้ว่า เห็นปฏิปจสมุทบาท ) จนใจรู้เองว่า การปรุงผัสสะใดใดที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก
หรืออื่นๆ ก่อให้เกิดทุกข์กับใจตน ใจจะไม่ปรุงผัสสะต่างๆโดยอัตโนมัติ ใจของคุณจะอยู่กับความโปร่งเบาสบายไม่ทุกข์ระยะเวลาหนึ่ง

แต่ต่อมาเราจะเริ่มสังเกตเห็นว่า ทำไมบางวันใจที่โปร่งเบาสบายนั้น กลับฟุ้งซ่าน สับสน ทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้เหมือนเดิมได้
เพียรทำซ้ำแล้วซ้ำอีกก็ไม่ได้ จนใจของคุณปล่อยวางว่าช่างมัน ใจเราจะดีหรือไม่ดีก็ช่าง อาการแบบนี้จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอารมณ์
ปล่อยวางจิตจะสั่งสมทีละน้อย

จนวันหนึ่ง ปราศจากการรู้ตัว มีบางอย่างเกิดขึ้นเอง เกิดที่ใจหรือความรู้สึกว่าเป็นเราอันสุดท้าย ผุดแทรกแหวกความรู้สึกที่เป็นเราออกมา
ออกมาให้เห็นสองสามวินาที สิ่งนั้นเป็นความว่าง ความว่างที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความว่างภายนอกใจ จากนั้นสิ่งนั้นกลับลงไปอยู่ใน
ใจแล้วใจกลับมาหุ้มสิ่งนั้นเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือเราจะรู้ว่า ใจตนเองไม่เป็นอมตะ เที่ยงแท้ และไม่น่ายึดถือ

ต่อจากนั้นคุณจะรู้สึกต่อไปอีกว่า พระพุทธองค์ท่านตรัสไว้เป็นความจริงทุกประการ และท่านทรงมีพระเมตตา กรุณาทิคุณ ที่อดทน ลำบาก
สั่งสอนสิ่งที่เห็นโดยยาก ลำบากนี้ ให้กับคนทั่วไป ท่านทรงเป็นบุคคลที่ควรเคารพจริงๆ

โปรดพิจารณา...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่