คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
คนญี่ปุ่นดั้งเดิมเรียกว่าชาวโจมง มีวิถีชีวิตหาปลาล่าสัตว์เป็นหลัก (หน้าตาคมเข้ม ออกไปทางคอเคซอยด์หน่อย ๆ เพราะแต่เดิมมาจากทางแถบยูเรเชียน) เป็นกลุ่มคนที่อพยพเข้ามาในญี่ปุ่นช่วงปลายยุคน้ำแข็ง ประมาณ 30,000 ปีที่แล้ว พอย่างเข้าสู่ยุคหินใหม่ ชาวยาโยอิที่รู้จักการปลูกข้าว (หน้าไม่ค่อยมีมิติ ตาชั้นเดียว จืด ๆ) มีสองความเป็นไปได้หลัก ๆ คือ 1) อพยพออกจากคาบสมุทรเกาหลี 2) อพยพออกจากเจียงหนานบริเวณตอนล่างของแม่น้ำแยงซี ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินญี่ปุ่น แล้วก็ค่อย ๆ กลืนเผ่าพันธุ์กันกับชาวโจมง ส่วนชาวไอนุสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากชาวโจมง แต่มี DNA ผสมกับชาวเมืองแถบชายฝั่งทะเลโอคอตสก์อยู่ด้วย
ถือว่าทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่นสืบเชื้อสายหลักมาจากบรรพบุรุษเดียวกันเมื่อประมาณ 3,000 กว่าปีที่แล้ว เพราะจากการตรวจ DNA ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กัน แต่คนเกาหลีจะมี % ของ DNA ที่ตรงกับคนจีนเชื้อสายฮั่นมากกว่าคนญี่ปุ่น แล้วก็มี DNA ของชาวมองโกลผสมอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนคนญี่ปุ่นสมัยใหม่ เรียกว่า ยามาโตะ มีเชื้อสายชาวโจมงโดยเฉลี่ยประมาณ 15% ชาวริวกีวในโอกินาว่ามีเชื้อสายชาวโจมงประมาณ 28% (จะเห็นว่าหน้าตาของคนโอกินาว่าจะคมเข้มกว่าคนญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป) ในขณะที่ชาวไอนุปัจจุบันมีเชื้อสายชาวโจมงโดยเฉลี่ยประมาณ 70% ถือว่ามี DNA ของชาวโจมงมากที่สุด
โครงสร้างกับเครื่องหน้าระหว่างชาวโจมง/ไอนุกับชาวยาโยอิแตกต่างกัน
ส่วนตัวมองว่าคนจีน เกาหลี ญี่ปุ่นโดยเฉลี่ยไม่ค่อยเหมือนกันบางจุด คนเกาหลีโครงหน้า/รูปทรงกระโหลกแย่ที่สุด ตาตี่ เล็ก มีตาชั้นเดียวมากที่สุด ส่วนคนญี่ปุ่นจมูกโด่งสวยได้รูปเยอะที่สุด รองมาคือเกาหลี แล้วมาจีน แต่ขาคนญี่ปุ่นจะสั้น ผู้หญิงหลายคนขาทู่ บางคนเดินเหมือนเป็ด ผู้หญิงจีนขาเรียวสวยสุด คนญี่ปุ่นหลายคนฟันไม่สวย ฟันเก
ประเด็นระบบอักษรของจีนที่ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลแล้วยืมเอามาใช้ เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 4-5 สองอาณาจักรมีการไปมาหาสู่ติดต่อเชื่อมสัมพันธ์กัน พอญี่ปุ่นเห็นงานเขียนของจีนก็เลยจุดประกายเอาอักษรฮั่นจื้อมาใช้เป็นอักษรคันจิ แต่เป็นการใช้อักษรในเชิงสัญลักษณ์กับการออกเสียง แต่ถ้าถามว่าตัวอักษรคันจิในภาษาญี่ปุ่นปัจจุบัน คนจีนอ่านคันจิเข้าใจมั้ย? ก็อาจจะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตัวคันจิหลายตัวแปลความหมายไม่เหมือนกับตัวฮั่นจื้อ แล้วถ้าเป็นทั้งประโยคที่มีคันจิกับฮิรางานะหรือคาตาคานะผสมไปด้วย คนจีนอ่านเข้าใจมั้ย? อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะถึงมีตัวคันจิที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกับตัวฮั่นจื้อ ยังไงคนจีนก็ไม่รู้ความหมายทั้งประโยคอยู่ดี เพราะไม่เข้าใจตัวฮิรางานะกับคาตาคานะ แล้วโครงสร้างไวยากรณ์ของทั้งสองภาษาก็ต่างกัน
ถือว่าทั้งจีน เกาหลี ญี่ปุ่นสืบเชื้อสายหลักมาจากบรรพบุรุษเดียวกันเมื่อประมาณ 3,000 กว่าปีที่แล้ว เพราะจากการตรวจ DNA ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กัน แต่คนเกาหลีจะมี % ของ DNA ที่ตรงกับคนจีนเชื้อสายฮั่นมากกว่าคนญี่ปุ่น แล้วก็มี DNA ของชาวมองโกลผสมอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนคนญี่ปุ่นสมัยใหม่ เรียกว่า ยามาโตะ มีเชื้อสายชาวโจมงโดยเฉลี่ยประมาณ 15% ชาวริวกีวในโอกินาว่ามีเชื้อสายชาวโจมงประมาณ 28% (จะเห็นว่าหน้าตาของคนโอกินาว่าจะคมเข้มกว่าคนญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไป) ในขณะที่ชาวไอนุปัจจุบันมีเชื้อสายชาวโจมงโดยเฉลี่ยประมาณ 70% ถือว่ามี DNA ของชาวโจมงมากที่สุด
โครงสร้างกับเครื่องหน้าระหว่างชาวโจมง/ไอนุกับชาวยาโยอิแตกต่างกัน
ส่วนตัวมองว่าคนจีน เกาหลี ญี่ปุ่นโดยเฉลี่ยไม่ค่อยเหมือนกันบางจุด คนเกาหลีโครงหน้า/รูปทรงกระโหลกแย่ที่สุด ตาตี่ เล็ก มีตาชั้นเดียวมากที่สุด ส่วนคนญี่ปุ่นจมูกโด่งสวยได้รูปเยอะที่สุด รองมาคือเกาหลี แล้วมาจีน แต่ขาคนญี่ปุ่นจะสั้น ผู้หญิงหลายคนขาทู่ บางคนเดินเหมือนเป็ด ผู้หญิงจีนขาเรียวสวยสุด คนญี่ปุ่นหลายคนฟันไม่สวย ฟันเก
ประเด็นระบบอักษรของจีนที่ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลแล้วยืมเอามาใช้ เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 4-5 สองอาณาจักรมีการไปมาหาสู่ติดต่อเชื่อมสัมพันธ์กัน พอญี่ปุ่นเห็นงานเขียนของจีนก็เลยจุดประกายเอาอักษรฮั่นจื้อมาใช้เป็นอักษรคันจิ แต่เป็นการใช้อักษรในเชิงสัญลักษณ์กับการออกเสียง แต่ถ้าถามว่าตัวอักษรคันจิในภาษาญี่ปุ่นปัจจุบัน คนจีนอ่านคันจิเข้าใจมั้ย? ก็อาจจะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะตัวคันจิหลายตัวแปลความหมายไม่เหมือนกับตัวฮั่นจื้อ แล้วถ้าเป็นทั้งประโยคที่มีคันจิกับฮิรางานะหรือคาตาคานะผสมไปด้วย คนจีนอ่านเข้าใจมั้ย? อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะถึงมีตัวคันจิที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกับตัวฮั่นจื้อ ยังไงคนจีนก็ไม่รู้ความหมายทั้งประโยคอยู่ดี เพราะไม่เข้าใจตัวฮิรางานะกับคาตาคานะ แล้วโครงสร้างไวยากรณ์ของทั้งสองภาษาก็ต่างกัน
แสดงความคิดเห็น
อยากรู้ที่มาของ คนญี่ปุ่น และ เกาหลี