เพื่อน ๆ เคยเป็นแบบนี้บ้างไหม เมื่อมีปัญหาหรือความท้าทายหลาย ๆ อย่างเข้ามาหาเราในระยะเวลาไล่ ๆ กัน ทำให้เราเกิดความกดดัน รู้สึกท้อแท้
และบ่อยครั้งรู้สึกว่าอยากทิ้งปัญหาทุกอย่างไป ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ กำลังรู้สึกแบบนี้ และยังไม่เจอทางแก้ปัญหา เราก็อยากให้เพื่อน ๆ ลองปรับวิธีคิดต่าง ๆ แทน เพื่อจัดการกับสุขภาพจิตและสร้างแรงบันดาลใจในการเดินหน้าต่อไป
ซึ่งวันนี้ JobThai Tips ก็อยากมาแนะนำการคิดแบบ Positive Thinking ให้ทุกคนลองไปปรับใช้กัน
Positive Thinking คือ “การคิดเชิงบวก” ซึ่งไม่ใช่การมองทุกอย่างโดยเอาข้อดีมาปิดข้อเสียแต่เป็นการมองเห็นข้อเสียนั้นแล้วยอมรับความเป็นจริงอย่างเข้าใจ หรือพยายามมองหามุมดี ๆ ที่อาจมีซ่อนอยู่ต่างหาก เพราะว่าทุกสิ่งที่ไม่ราบรื่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเจอ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกมองและรู้สึกกับมันอย่างไร และรู้จักเลือกใช้ประโยชน์จากด้านบวกที่แฝงอยู่จากสิ่งนั้น ๆ แทน
ควรทำยังไงให้มี Positive Thinking
รู้จักตัวเองทั้งในด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี
ก่อนจะมองหาเหตุผลและข้อดีของเรื่องราวทั้งหลาย พื้นฐานต้องเริ่มจากการรู้จักตัวเองทั้งในด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดีก่อน เมื่อเรายอมรับข้อเสียในตัวเองก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาข้อดีข้อเสียของตัวเองและรักตัวเองมากขึ้น
ยอมรับและทำความเข้าใจในข้อบกพร่องของคนอื่น
ข้อเสียของเราเองบางข้อตัวเราเองก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ คนอื่นรอบตัวเราก็ย่อมมีข้อบกพร่องมากน้อยแตกต่างกันออกไป ซึ่งทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการโฟกัสของตัวเราเอง ว่าจะมองเขาเป็นแบบไหน ทำความเข้าใจตัวตนของเขาและมองถึงแง่ดี หรือเอาแต่มองแต่ข้อเสียของเขาและทำลายสุขภาพจิตเราเอง
มองสิ่งที่ยังมีอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่จากไปแล้ว
อะไรที่ผ่านไปแล้ว บางอย่างเอากลับมาและแก้ไขได้ ในขณะที่บางอย่างทำไม่ได้ ซึ่งหากเรายังมัวแต่คาดหวังว่าสิ่งนั้นจะกลับมาก็จะมีแต่ความทุกข์เปล่า ๆ ให้ลองมองกลับมาที่สิ่งที่ยังมีอยู่ ดูว่าในวิกฤติที่เราเจอนี้มีข้อดีอะไรแฝงอยู่บ้างไหม หรือจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นได้อย่างไร
ถ้าเหนื่อยมากไป ก็หาเวลาไปพักสักหน่อย
หากคิดว่าวันนี้เรามีเรื่องมากมายที่ทำให้ตัวเองคิดลบมากเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่เรานั้นจะหาเวลาไปพักบ้าง ลองใช้เวลาช่วงสั้น ๆ ออกไปหาอะไรใหม่ ๆ ทำกิจกรรมที่ชอบ ออกกำลังกาย ไปต่างจังหวัด เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ชีวิต หรือหาเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับคนที่มี Positive Thinking ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีรับพลังบวกเช่นกัน
แต่ละคนมีวิธีชาร์จพลังบวกที่ต่างกันไป อย่างวิธีออกกำลังกายในตอนเช้าก่อนจะไปทำกิจกรรมอื่น ๆ นั่งสมาธิ หาเพลงสบาย ๆ ฟังเพื่อผ่อนคลาย หรือบางครั้งแค่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเริ่มต้นวันด้วยการยิ้มพร้อมกับบอกกับตัวเองหน้ากระจกว่า “วันนี้จะเป็นวันที่ดี” ก็ได้ เชื่อสิว่าเรื่องง่าย ๆ แบบนี้จะสามารถเพิ่มพลังบวกให้กับเราไปทั้งวันแน่นอน
Positive Thinking ไม่ใช่แค่บังคับให้ตัวเองมองในแง่ดีเท่านั้น แต่เป็นการยอมรับกับความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ เกิดขึ้น และจัดการกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วให้ได้ต่างหาก แม้ในช่วงแรก ๆ อาจจะมีความคิดแง่ลบหรืออุปสรรคที่เข้ามาท้าทายเราบ้าง แต่เราจะเรียนรู้ ปรับตัว และมองเห็นข้อดีของสิ่งเหล่านั้นได้ในที่สุดแน่นอน
คิดแบบ Positive Thinking ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น
และบ่อยครั้งรู้สึกว่าอยากทิ้งปัญหาทุกอย่างไป ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ กำลังรู้สึกแบบนี้ และยังไม่เจอทางแก้ปัญหา เราก็อยากให้เพื่อน ๆ ลองปรับวิธีคิดต่าง ๆ แทน เพื่อจัดการกับสุขภาพจิตและสร้างแรงบันดาลใจในการเดินหน้าต่อไป
ซึ่งวันนี้ JobThai Tips ก็อยากมาแนะนำการคิดแบบ Positive Thinking ให้ทุกคนลองไปปรับใช้กัน
Positive Thinking คือ “การคิดเชิงบวก” ซึ่งไม่ใช่การมองทุกอย่างโดยเอาข้อดีมาปิดข้อเสียแต่เป็นการมองเห็นข้อเสียนั้นแล้วยอมรับความเป็นจริงอย่างเข้าใจ หรือพยายามมองหามุมดี ๆ ที่อาจมีซ่อนอยู่ต่างหาก เพราะว่าทุกสิ่งที่ไม่ราบรื่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเจอ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะเลือกมองและรู้สึกกับมันอย่างไร และรู้จักเลือกใช้ประโยชน์จากด้านบวกที่แฝงอยู่จากสิ่งนั้น ๆ แทน
ควรทำยังไงให้มี Positive Thinking
รู้จักตัวเองทั้งในด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี
ก่อนจะมองหาเหตุผลและข้อดีของเรื่องราวทั้งหลาย พื้นฐานต้องเริ่มจากการรู้จักตัวเองทั้งในด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดีก่อน เมื่อเรายอมรับข้อเสียในตัวเองก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเอง พัฒนาข้อดีข้อเสียของตัวเองและรักตัวเองมากขึ้น
ยอมรับและทำความเข้าใจในข้อบกพร่องของคนอื่น
ข้อเสียของเราเองบางข้อตัวเราเองก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้ คนอื่นรอบตัวเราก็ย่อมมีข้อบกพร่องมากน้อยแตกต่างกันออกไป ซึ่งทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับการโฟกัสของตัวเราเอง ว่าจะมองเขาเป็นแบบไหน ทำความเข้าใจตัวตนของเขาและมองถึงแง่ดี หรือเอาแต่มองแต่ข้อเสียของเขาและทำลายสุขภาพจิตเราเอง
มองสิ่งที่ยังมีอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่จากไปแล้ว
อะไรที่ผ่านไปแล้ว บางอย่างเอากลับมาและแก้ไขได้ ในขณะที่บางอย่างทำไม่ได้ ซึ่งหากเรายังมัวแต่คาดหวังว่าสิ่งนั้นจะกลับมาก็จะมีแต่ความทุกข์เปล่า ๆ ให้ลองมองกลับมาที่สิ่งที่ยังมีอยู่ ดูว่าในวิกฤติที่เราเจอนี้มีข้อดีอะไรแฝงอยู่บ้างไหม หรือจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเล็ก ๆ เหล่านั้นได้อย่างไร
ถ้าเหนื่อยมากไป ก็หาเวลาไปพักสักหน่อย
หากคิดว่าวันนี้เรามีเรื่องมากมายที่ทำให้ตัวเองคิดลบมากเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่เรานั้นจะหาเวลาไปพักบ้าง ลองใช้เวลาช่วงสั้น ๆ ออกไปหาอะไรใหม่ ๆ ทำกิจกรรมที่ชอบ ออกกำลังกาย ไปต่างจังหวัด เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ชีวิต หรือหาเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกับคนที่มี Positive Thinking ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีรับพลังบวกเช่นกัน
แต่ละคนมีวิธีชาร์จพลังบวกที่ต่างกันไป อย่างวิธีออกกำลังกายในตอนเช้าก่อนจะไปทำกิจกรรมอื่น ๆ นั่งสมาธิ หาเพลงสบาย ๆ ฟังเพื่อผ่อนคลาย หรือบางครั้งแค่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วเริ่มต้นวันด้วยการยิ้มพร้อมกับบอกกับตัวเองหน้ากระจกว่า “วันนี้จะเป็นวันที่ดี” ก็ได้ เชื่อสิว่าเรื่องง่าย ๆ แบบนี้จะสามารถเพิ่มพลังบวกให้กับเราไปทั้งวันแน่นอน
Positive Thinking ไม่ใช่แค่บังคับให้ตัวเองมองในแง่ดีเท่านั้น แต่เป็นการยอมรับกับความเป็นจริงของสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ เกิดขึ้น และจัดการกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วให้ได้ต่างหาก แม้ในช่วงแรก ๆ อาจจะมีความคิดแง่ลบหรืออุปสรรคที่เข้ามาท้าทายเราบ้าง แต่เราจะเรียนรู้ ปรับตัว และมองเห็นข้อดีของสิ่งเหล่านั้นได้ในที่สุดแน่นอน