“เมิงรู้ไหมเวลามีคนตัดความสัมพันธ์กับกุ กุรู้สึกเหมือนกับว่าเค้าเดินมาหากุแล้วก็ยื่นบัตรเชิญเข้าร่วมงานศพของเค้าให้แก่กุ มันเหมือนกับการบอกว่าหลังจากนี้พวกเราจะตายจากกันไปแล้วถึงจะมีชีวิตอยู่ก็ตาม”
นั่นเป็นประโยคที่ผมเคยพูดไว้กับเพื่อนตอนที่กำลังปลอบตอนมันอกหัก ในชีวิตคนเราไม่ว่าผมหรือใครก็ตามก็น่าจะมีประสบการณ์แบบนี้ทั้งนั้น เราทิ้งเค้า เค้าทิ้งเรา เราเสียใจ เค้าเสียใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นเสมอๆ ซึ่งผมก็ไม่เคยขบคิดอะไรเกี่ยวกับการ “ทิ้ง” ซักเท่าไหร่
จนเมื่อเดือนก่อนผมไปดูช่องรีวิวหนังของ redremaster เกี่ยวกับหนังเรื่องฮาวทูทิ้ง
ผมสนใจเลยได้ไปดูหนังเรื่องนี้ใน Netflix พอผมดูไปซักพักผมพบว่านี่มันเป็นหนังเศร้าที่ลุ้นยิ่งกว่าหนังแอคชั่นซะอีก คนเขียนบทต้องคิดเรื่องเกี่ยวกับคำว่า “ทิ้ง” มากแค่ไหนพอดูจบผมก็พบว่านี่เป็นหนังชั้นดีที่ทำให้ผมเอาไปคิดต่อแล้วเข้าใจอะไรมากขึ้น อย่างที่เรดพูดไว้ว่านี่มันหนังปรัชญาชัดๆ
จนกระทั่งผ่านมาเดือนนึงแล้วผมยังรู้สึกอินและคิดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้อยู่ ใน Pantip บางคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ห่วย แต่บอกเลยว่าสำหรับผมหนังเรื่องนี้ขึ้นแท่นหนังดีในดวงใจไปแล้ว มันเป็นหนังที่ดูจบแล้วผมต้องเอาเก็บไปคิดต่อเหมือน Forrest gump และด้วยความอัดอั้นเลยอยากจะมาเล่าความรู้สึกที่มีต่อหนังในแต่ละซีน แน่นอนว่า Spoil
อ่อใช่ก่อนที่คุณจะอ่าวสปอย ผมอยากบอกว่า นี่เป็นหนังที่จะฉีกกระชากใจคุณออกมา ปาลงกับพื้น กระทืบสองที ก่อนจะหยิบเอาซากของใจคุณยัดกลับไปไว้ที่เดิม ใครที่อ่อนไหวเกินไปก็ไม่ควรดูเท่าไหร่ ผมดูแล้วผมไม่ได้ร้องไห้หรือเศร้ามากเท่าไหร่ แต่ผมกลับชอบประเด็นของมันมากๆ
จีนการจัดบ้านกับจุดเริ่มต้นของการทิ้ง
หนังจะเล่าเรื่องราวของจีนที่พยายามจะจัดบ้านใหม่เพื่อ Renovate ให้บ้านกลายเป็นสไต Minimal โดยทำการซื้อถุงดำและโยนทุกอย่างที่มีทิ้งลงไปในถุงดำ เหตุการณ์ดูเหมือนจะไม่มีอะไรจนกระทั้งเพื่อนคนนึงของจีน เข้าไปเจอแผ่นซีดีอันนึงที่เคยให้จีนและโกรธที่จีนทิ้งมันไป เพื่อของจีนพูดว่า
“ถ้าเมิงแค่เอามาคืนกุ กุอาจจะเสียใจแต่พอเมิงจะทิ้งไป กุโกรธหวะ”
จีนพยายามจะเถียงว่าเอางี้ถ้าเมิงจะทิ้งของจีนบ้างจีนก็จะไม่โกรธ แต่ก็โดนสวนว่า
“เมิงไม่โกรธเพราะเมิงไม่แคร์ไง”
นี่น่าจะเป็นจุดที่ทำให้ตีนฉุกคิดและขอโทษเพื่อนที่หลัง และเมื่อจีนเจอผ้าพันคอที่อยู่ในถุงดำที่ถักให้พี่ชายที่พี่ชายทิ้งเช่นกัน จีนก็รู้สึกเสียใจว่าพอเป็นตัวเองเห็นของที่เราเคยให้แล้วคนอื่นทิ้งก็เสียใจเช่นกัน
และนี่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่จีนเริ่มกลับไปเผชิญอดีตการทิ้งของตัวเองและเริ่มจะนำของแต่ละชิ้นกลับไปคืนเจ้าของ
นี่เป็นจุดที่ผมสนใจมากผมมองว่าหนังพยายามบอกกับเราว่า เราต้องกลับไปเผชิญเรื่องราวในอดีตนั้นอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผมคิดว่าหลายๆคนคงเคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้ ผมไม่แน่ใจว่าถ้าการ "แคร์" คนอื่นนั้น คือการกลับไปเผชิญหน้าหรือเปล่า
ผมเคยมีคนที่ทำผิดต่อผม แต่สิ่งที่เค้าทำคือหนีหายไป ไม่เผชิญหน้าไม่อะไรเลย มันทำให้ผมเข้าใจซีนนี้ว่า ความรู้สึกของคนที่โดนคนทิ้งแต่ไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้าความจริงมันแย่กว่า แต่นั้นก็คือคำตอยในประสบการณ์ของผม ไม่ใช่ของทุกคน แล้วจีนหละเป็นยังไงต่อ มาฟังกันต่อดีกว่า
จีนการคืนของกับการเผชิญหน้ากับอดีต
ผมไม่รู้ว่าจีนคิดยังไงเหมือนกัน แต่เหมือนจีนเลือกว่าการกลับไปเผชิญหน้าและไล่คืนของแก่คนอื่นจะเป็นทางออกที่จะปลดปล่อยความรู้สึกของจีนเอง คือสิ่งที่เป็นการ "แคร์" เราจะได้เห็นจีนเริ่มคืนของอดีตของตัวเอง
เริ่มมาที่เพื่อนคนแรกจีนคืนต่างหูอันเล็กๆ ให้แกเพื่อนคนนั้น ซึ่งเพื่อนคนนั้นลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเป็นของเขา ครั้งนี้ดูจะผ่านไปได้ด้วยดีเพราะดูเพื่อนจะขอบอกขอบใจ ดูเหมือนว่าการเอาของมาคืนเพื่อนครั้งนี้เพื่อจะทำให้เพื่อนระลึกถึงอดีตที่ลืมไปแล้วและมันเป็นอดีตที่ดี เรื่องราวเลยดูจะไม่มีอะไร
เพื่อนคนที่สองก็ไม่ต่างกันแผ่นซีดีนั้นก็เป็นสิ่งที่เพื่อนคนนั้นอยากได้มาตลอด
คราวนี้มาถึงคนที่สามคราวนี้เป็นดับเบิ้ลเบส คราวนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะเหมือนว่าอดีตครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แต่เพื่อนกลับบอกว่า
“ไม่ต้องมาคืนก็ได้ ทิ้งไปเลยก็ได้”
และยังประชดถึงสิ่งที่เขาต้องเจอเมื่อจีนทิ้งเขาไป สุดท้ายจีนจึงวางของไว้หน้าบ้านและดูกังวลกับสิ่งที่เพิ่งเจอ ซึ่งสุดท้ายจีนก็พบว่า เพื่อนของเธอมาหยิบของขึ้นบ้านไป
ซีนนี้เป็นซีนที่ผมชอบมาก คือจีนเลือกที่จะไปเผชิญอดีต ไม่ว่ามันจะเป็นคำตอบที่ถูกหรือเปล่า บางครั้งอดีตก็ไม่ได้หอมหวานไปซะทุกครั้ง ถ้าเราไม่หนีเราก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่อาจจะไม่ได้ง่ายเสมอไป
ของอีกชิ้นที่ดูเหมือนจะ Happy Ending คือการที่จีนหารูปของเพื่อนที่กำลังจะแต่งงานเจอและเพื่อนดีใจจนร้องไห้ โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าซีนนี้มัน Overacting ไปหน่อยเลยรู้สึกค่อนข้างเฉยๆ
จีนกับลาสบอสที่แข็งแกร่งที่สุด พี่เอ็มแฟนเก่า
สุดท้ายจีนก็ต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่ยากที่สุด นั้นคือพี่เอ็มแฟนเก่าของตัวเองที่ตัวเองทิ้งไปแบบลอยๆเมื่อสามปีก่อน ซึ่งดูเหมือนเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับจีน
จีนพยายามส่งของผ่าน ปณ แต่ของก็ถูกตีกลับ สุดท้ายจีนจึงต้องไปคืนด้วยตัวเอง (ผมชอบซีนที่จีนกดออดแล้วเดินหนีมาก)
เมื่อจีนเผชิญหน้ากับพี่เอ็มแฟนเก่า จีนได้พร่างพรูคำขอโทษที่ตัวเองอัดอั้นไว้มาตลอด ประโยคนึงที่ผมชอบมากคือจีนบอกว่า
“ในเมื่อเรารู้สึกว่าเธอไม่ใช่แล้วมันก็เป็นเรื่องของเธอเปล่าวะ มันไม่ใช่เรื่องของเรา ทำไมเราต้องมานั่งรับผิดชอบความรู้สึกคนอื่นด้วยวะ เราก็แค่เลือกสิ่งที่ใช่ที่ดีสุดกับตัวเอง”
นี่เป็น Dialog ที่น่าสนใจมาก ถ้าเราฟังดูผ่านๆคือจีนนั้นเห็นแก่ตัวมาก ใครที่โดนแบบเอ็มก็คงรับไม่ได้ แต่มันก็มีความจริงที่น่าโหดร้ายอยู่พอสมควรสำหรับผู้ที่ทิ้งคนอื่น จริงๆแล้วการทิ้งคนอื่นอย่างสิ้นเชิงโหดร้ายอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนทิ้งหรือเปล่าและยกทุกอย่างไปไว้ที่คนอื่น
แต่ถ้าวิธีนั้นมันดีจริงๆ ทำไมจีนต้องกลับมาขอโทษเอ็มวันนี้ หรือถ้าจีนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความจริงเมื่อสามปีก่อน จีนจะต้องมาขอโทษแบบนี้หรือเปล่า
สิ่งที่พีคคือพี่เอ็มแค่ยิ้มในขณะที่จีนขอให้ด่าเธอและตอบว่า “เราไม่รู้จะด่าอะไร เราดีใจอยู่” ทำผมเอ๋อ-เลยครับ ซีนนี้มันคควรจะเป็นซีนที่เข้มข้นแต่กลับกลายเป็นซีนโลกสวยที่จบง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่าผมก็คิดผิดทีหลัง
พี่เอ็มขอให้จีนทำซุปข้าวโพดให้ และชวนเข้าไปในห้อง พี่เอ็มมีแฟนใหม่แล้วชื่อมี่ ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างจะโลกสวยเพราะเอ็ม Move on ได้แล้ว แฟนใหม่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ หนึ่งเป็นอย่างดี แต่ตรงจุดนี้มีซีนนึงที่เป็น ซีนสำคัญ ซีนนั้นคือเสื้อที่มี่ใส่อยู่นั้นเป็นเสื้อของจีน ซึ่งเรื่องนี้ถูกเฉลยในตอนหลังของเรื่อง
ซึ่งผมค่อนข้างว้ากับซีนนี้ตรงที่ จีนอมยิ้มเมื่อเห็นเสื้อตัวนั้น จีนผู้ที่ทิ้งเอ็มอย่างโหดร้าย จีนผู้ที่พยายามปัดทุกคนออกไปจากชีวิตอย่างลวกๆในตอนแรก จีนคนนั้นกลับดีใจที่แม้คนเป็นคนที่ตัวเองทิ้งไปนั้นยังเก็บเสื้อของตนอยู่(แถมแฟนใหม่ใส่) ผมคิดว่าถ้าผมเป็นจีนผมคงไม่รู้สึกดีเท่าไหร่
แต่จีนกลับดีใจ ทำไมกันหละ? มนุษย์ทุกคนก็เป็นอย่างนี้ครับเราอาจจะมักคิดว่าเราสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองหรือไม่พึ่งใคร แต่การที่ตัวตนของตัวเองถูกยอมรับหรือจดจำก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนโหยหาไม่เว้นกระทั่งจีน
หลังจากนั้นเรื่องราวก็ผ่านไปด้วยดีจนกระทั่งพี่เอ็มโทรมาหาจีนเพื่อนัดกินข้าว (ผมชอบซีนที่จีนมองโทรศัพท์แล้วทำหน้าประมาณว่าจะรับหรือไม่รับดี) แล้วจีนก็ไปเจอเอ็มที่ร้านเดิมที่เคยไปด้วยกันพร้อมกับมี่
โดยเอ็มนั้นเอาของส่วนตัวของจีนมาคืนจีน นี่เป็นอีกซีนที่เหวอมาก เพราะจีนนั้นอยู่ในสถานะคนที่เอาของไปคืนคนอื่นเพื่อทิ้งมันไป แม้จีนจะกล้าที่จะพบปัญหา แต่พอจีนต้องมาเจอความรู้สึกของคนที่โดนคืนของจีนก็จุกไปเหมือนกัน
การกลับมาเผชิญหน้ากับปัญหาที่ตอนจบไม่ได้สวยงาม
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ที่พีคที่น่าสนใจมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่เอ็มได้บอกจีนว่าเค้าจะย้ายไปอยู่ที่สิงคโปร์กับมี่แฟนสาวคนใหม่ แต่มาวันนึงมี่ก็มากดกริ่งบ้านจีน เพื่อเอาเสื้อของจีนมาคืนซึ่งมันเป็นของอย่างเดียวที่พี่เอ็มไม่ได้เอามาคืนจีน มี่รู้ว่าเสื้อตัวนั้นเป็นของจีนจากตอนที่เห็นรูปเก่าๆในอัลบั้มของเอ็มซึ่งรู้ทีหลัง จีนได้ขอโทษมี่ที่ไม่ได้พูดหรือบอกเรื่องเสื้อของตัวเอง
เอาจริงๆผมไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วพี่เอ็มหเอาเสื้อของจีนมาให้มี่ใส่เพราะอะไร ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าพี่เอ็มไม่เคย “ทิ้ง” จีนหรือความทรงจำที่มีได้จริงๆ
จีนได้พยายามยิ้มแย้มแล้วบอกว่ายังไงสิงคโปร์ก็ไม่ไกลก็แวะกลับมาเยี่ยมกันได้ แต่มี่กลับตอบว่า “เราคงไม่ได้ไปสิงคโปร์แล้ว” จีนจากที่ยิ้มแล้วค่อยเหลี่ยนสีหน้าเป็นซีด (แสดงดีมากครับยอมรับเลย) จีนพยายามขอโทษมี่ แต่มี่กลับบอกว่า
“เราอยากเกลียดเธอสองคนมากเลย แต่ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาให้เกลียด พี่เอ็มก็บอกเราตรงๆจีนก็แค่เอาของมาคืน จริงๆถ้าวันนั้นเราไม่แฎิเสธพัสดุ เราคงไม่ซวยแบบนี้”
ซีนนี้ก็พีคครับ เคยได้ยินคำว่า ”เข้าใจแต่ทำไม่ได้ไหม” มี่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นรวมไปถึงความรู้สึกของทุกฝ่าย แต่สุดท้ายผลก็ลงเอยที่ความเสียใจของตนเอง จริงๆผมมองว่ามี่เป็นหนึ่งในคนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องรองจากแม่ของจีนด้วยซ้ำ
สุดท้ายคือการกลับมาเผชิญด้วยการคืนของที่จีนคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและคืนของแต่ละคนที่จบด้วยดี แต่กลับพี่เอ็มลาสบอสกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น เหมือนกับหนังจะบอกเราว่าการเผชิญหน้ากับอดีตมันก็ไม่ได้ง่ายดายเสมอไป
[Spoil] รีวิว ฮาวทูทิ้งหนังที่ดีที่สุดที่ได้ดูในปีนี้ ระบายแบบจัดเต็ม
นั่นเป็นประโยคที่ผมเคยพูดไว้กับเพื่อนตอนที่กำลังปลอบตอนมันอกหัก ในชีวิตคนเราไม่ว่าผมหรือใครก็ตามก็น่าจะมีประสบการณ์แบบนี้ทั้งนั้น เราทิ้งเค้า เค้าทิ้งเรา เราเสียใจ เค้าเสียใจ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นเสมอๆ ซึ่งผมก็ไม่เคยขบคิดอะไรเกี่ยวกับการ “ทิ้ง” ซักเท่าไหร่
จนเมื่อเดือนก่อนผมไปดูช่องรีวิวหนังของ redremaster เกี่ยวกับหนังเรื่องฮาวทูทิ้ง
ผมสนใจเลยได้ไปดูหนังเรื่องนี้ใน Netflix พอผมดูไปซักพักผมพบว่านี่มันเป็นหนังเศร้าที่ลุ้นยิ่งกว่าหนังแอคชั่นซะอีก คนเขียนบทต้องคิดเรื่องเกี่ยวกับคำว่า “ทิ้ง” มากแค่ไหนพอดูจบผมก็พบว่านี่เป็นหนังชั้นดีที่ทำให้ผมเอาไปคิดต่อแล้วเข้าใจอะไรมากขึ้น อย่างที่เรดพูดไว้ว่านี่มันหนังปรัชญาชัดๆ
จนกระทั่งผ่านมาเดือนนึงแล้วผมยังรู้สึกอินและคิดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้อยู่ ใน Pantip บางคนบอกว่าหนังเรื่องนี้ห่วย แต่บอกเลยว่าสำหรับผมหนังเรื่องนี้ขึ้นแท่นหนังดีในดวงใจไปแล้ว มันเป็นหนังที่ดูจบแล้วผมต้องเอาเก็บไปคิดต่อเหมือน Forrest gump และด้วยความอัดอั้นเลยอยากจะมาเล่าความรู้สึกที่มีต่อหนังในแต่ละซีน แน่นอนว่า Spoil
อ่อใช่ก่อนที่คุณจะอ่าวสปอย ผมอยากบอกว่า นี่เป็นหนังที่จะฉีกกระชากใจคุณออกมา ปาลงกับพื้น กระทืบสองที ก่อนจะหยิบเอาซากของใจคุณยัดกลับไปไว้ที่เดิม ใครที่อ่อนไหวเกินไปก็ไม่ควรดูเท่าไหร่ ผมดูแล้วผมไม่ได้ร้องไห้หรือเศร้ามากเท่าไหร่ แต่ผมกลับชอบประเด็นของมันมากๆ
จีนการจัดบ้านกับจุดเริ่มต้นของการทิ้ง
หนังจะเล่าเรื่องราวของจีนที่พยายามจะจัดบ้านใหม่เพื่อ Renovate ให้บ้านกลายเป็นสไต Minimal โดยทำการซื้อถุงดำและโยนทุกอย่างที่มีทิ้งลงไปในถุงดำ เหตุการณ์ดูเหมือนจะไม่มีอะไรจนกระทั้งเพื่อนคนนึงของจีน เข้าไปเจอแผ่นซีดีอันนึงที่เคยให้จีนและโกรธที่จีนทิ้งมันไป เพื่อของจีนพูดว่า
“ถ้าเมิงแค่เอามาคืนกุ กุอาจจะเสียใจแต่พอเมิงจะทิ้งไป กุโกรธหวะ”
จีนพยายามจะเถียงว่าเอางี้ถ้าเมิงจะทิ้งของจีนบ้างจีนก็จะไม่โกรธ แต่ก็โดนสวนว่า
“เมิงไม่โกรธเพราะเมิงไม่แคร์ไง”
นี่น่าจะเป็นจุดที่ทำให้ตีนฉุกคิดและขอโทษเพื่อนที่หลัง และเมื่อจีนเจอผ้าพันคอที่อยู่ในถุงดำที่ถักให้พี่ชายที่พี่ชายทิ้งเช่นกัน จีนก็รู้สึกเสียใจว่าพอเป็นตัวเองเห็นของที่เราเคยให้แล้วคนอื่นทิ้งก็เสียใจเช่นกัน
และนี่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่จีนเริ่มกลับไปเผชิญอดีตการทิ้งของตัวเองและเริ่มจะนำของแต่ละชิ้นกลับไปคืนเจ้าของ
นี่เป็นจุดที่ผมสนใจมากผมมองว่าหนังพยายามบอกกับเราว่า เราต้องกลับไปเผชิญเรื่องราวในอดีตนั้นอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผมคิดว่าหลายๆคนคงเคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้ ผมไม่แน่ใจว่าถ้าการ "แคร์" คนอื่นนั้น คือการกลับไปเผชิญหน้าหรือเปล่า
ผมเคยมีคนที่ทำผิดต่อผม แต่สิ่งที่เค้าทำคือหนีหายไป ไม่เผชิญหน้าไม่อะไรเลย มันทำให้ผมเข้าใจซีนนี้ว่า ความรู้สึกของคนที่โดนคนทิ้งแต่ไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้าความจริงมันแย่กว่า แต่นั้นก็คือคำตอยในประสบการณ์ของผม ไม่ใช่ของทุกคน แล้วจีนหละเป็นยังไงต่อ มาฟังกันต่อดีกว่า
จีนการคืนของกับการเผชิญหน้ากับอดีต
ผมไม่รู้ว่าจีนคิดยังไงเหมือนกัน แต่เหมือนจีนเลือกว่าการกลับไปเผชิญหน้าและไล่คืนของแก่คนอื่นจะเป็นทางออกที่จะปลดปล่อยความรู้สึกของจีนเอง คือสิ่งที่เป็นการ "แคร์" เราจะได้เห็นจีนเริ่มคืนของอดีตของตัวเอง
เริ่มมาที่เพื่อนคนแรกจีนคืนต่างหูอันเล็กๆ ให้แกเพื่อนคนนั้น ซึ่งเพื่อนคนนั้นลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเป็นของเขา ครั้งนี้ดูจะผ่านไปได้ด้วยดีเพราะดูเพื่อนจะขอบอกขอบใจ ดูเหมือนว่าการเอาของมาคืนเพื่อนครั้งนี้เพื่อจะทำให้เพื่อนระลึกถึงอดีตที่ลืมไปแล้วและมันเป็นอดีตที่ดี เรื่องราวเลยดูจะไม่มีอะไร
เพื่อนคนที่สองก็ไม่ต่างกันแผ่นซีดีนั้นก็เป็นสิ่งที่เพื่อนคนนั้นอยากได้มาตลอด
คราวนี้มาถึงคนที่สามคราวนี้เป็นดับเบิ้ลเบส คราวนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายเท่าไหร่ เพราะเหมือนว่าอดีตครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ แต่เพื่อนกลับบอกว่า
“ไม่ต้องมาคืนก็ได้ ทิ้งไปเลยก็ได้”
และยังประชดถึงสิ่งที่เขาต้องเจอเมื่อจีนทิ้งเขาไป สุดท้ายจีนจึงวางของไว้หน้าบ้านและดูกังวลกับสิ่งที่เพิ่งเจอ ซึ่งสุดท้ายจีนก็พบว่า เพื่อนของเธอมาหยิบของขึ้นบ้านไป
ซีนนี้เป็นซีนที่ผมชอบมาก คือจีนเลือกที่จะไปเผชิญอดีต ไม่ว่ามันจะเป็นคำตอบที่ถูกหรือเปล่า บางครั้งอดีตก็ไม่ได้หอมหวานไปซะทุกครั้ง ถ้าเราไม่หนีเราก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่อาจจะไม่ได้ง่ายเสมอไป
ของอีกชิ้นที่ดูเหมือนจะ Happy Ending คือการที่จีนหารูปของเพื่อนที่กำลังจะแต่งงานเจอและเพื่อนดีใจจนร้องไห้ โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าซีนนี้มัน Overacting ไปหน่อยเลยรู้สึกค่อนข้างเฉยๆ
จีนกับลาสบอสที่แข็งแกร่งที่สุด พี่เอ็มแฟนเก่า
สุดท้ายจีนก็ต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่ยากที่สุด นั้นคือพี่เอ็มแฟนเก่าของตัวเองที่ตัวเองทิ้งไปแบบลอยๆเมื่อสามปีก่อน ซึ่งดูเหมือนเป็นอะไรที่ยากมากสำหรับจีน
จีนพยายามส่งของผ่าน ปณ แต่ของก็ถูกตีกลับ สุดท้ายจีนจึงต้องไปคืนด้วยตัวเอง (ผมชอบซีนที่จีนกดออดแล้วเดินหนีมาก)
เมื่อจีนเผชิญหน้ากับพี่เอ็มแฟนเก่า จีนได้พร่างพรูคำขอโทษที่ตัวเองอัดอั้นไว้มาตลอด ประโยคนึงที่ผมชอบมากคือจีนบอกว่า
“ในเมื่อเรารู้สึกว่าเธอไม่ใช่แล้วมันก็เป็นเรื่องของเธอเปล่าวะ มันไม่ใช่เรื่องของเรา ทำไมเราต้องมานั่งรับผิดชอบความรู้สึกคนอื่นด้วยวะ เราก็แค่เลือกสิ่งที่ใช่ที่ดีสุดกับตัวเอง”
นี่เป็น Dialog ที่น่าสนใจมาก ถ้าเราฟังดูผ่านๆคือจีนนั้นเห็นแก่ตัวมาก ใครที่โดนแบบเอ็มก็คงรับไม่ได้ แต่มันก็มีความจริงที่น่าโหดร้ายอยู่พอสมควรสำหรับผู้ที่ทิ้งคนอื่น จริงๆแล้วการทิ้งคนอื่นอย่างสิ้นเชิงโหดร้ายอาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคนทิ้งหรือเปล่าและยกทุกอย่างไปไว้ที่คนอื่น
แต่ถ้าวิธีนั้นมันดีจริงๆ ทำไมจีนต้องกลับมาขอโทษเอ็มวันนี้ หรือถ้าจีนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับความจริงเมื่อสามปีก่อน จีนจะต้องมาขอโทษแบบนี้หรือเปล่า
สิ่งที่พีคคือพี่เอ็มแค่ยิ้มในขณะที่จีนขอให้ด่าเธอและตอบว่า “เราไม่รู้จะด่าอะไร เราดีใจอยู่” ทำผมเอ๋อ-เลยครับ ซีนนี้มันคควรจะเป็นซีนที่เข้มข้นแต่กลับกลายเป็นซีนโลกสวยที่จบง่ายๆ ซึ่งแน่นอนว่าผมก็คิดผิดทีหลัง
พี่เอ็มขอให้จีนทำซุปข้าวโพดให้ และชวนเข้าไปในห้อง พี่เอ็มมีแฟนใหม่แล้วชื่อมี่ ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างจะโลกสวยเพราะเอ็ม Move on ได้แล้ว แฟนใหม่ก็ดูเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ หนึ่งเป็นอย่างดี แต่ตรงจุดนี้มีซีนนึงที่เป็น ซีนสำคัญ ซีนนั้นคือเสื้อที่มี่ใส่อยู่นั้นเป็นเสื้อของจีน ซึ่งเรื่องนี้ถูกเฉลยในตอนหลังของเรื่อง
ซึ่งผมค่อนข้างว้ากับซีนนี้ตรงที่ จีนอมยิ้มเมื่อเห็นเสื้อตัวนั้น จีนผู้ที่ทิ้งเอ็มอย่างโหดร้าย จีนผู้ที่พยายามปัดทุกคนออกไปจากชีวิตอย่างลวกๆในตอนแรก จีนคนนั้นกลับดีใจที่แม้คนเป็นคนที่ตัวเองทิ้งไปนั้นยังเก็บเสื้อของตนอยู่(แถมแฟนใหม่ใส่) ผมคิดว่าถ้าผมเป็นจีนผมคงไม่รู้สึกดีเท่าไหร่
แต่จีนกลับดีใจ ทำไมกันหละ? มนุษย์ทุกคนก็เป็นอย่างนี้ครับเราอาจจะมักคิดว่าเราสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองหรือไม่พึ่งใคร แต่การที่ตัวตนของตัวเองถูกยอมรับหรือจดจำก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนโหยหาไม่เว้นกระทั่งจีน
หลังจากนั้นเรื่องราวก็ผ่านไปด้วยดีจนกระทั่งพี่เอ็มโทรมาหาจีนเพื่อนัดกินข้าว (ผมชอบซีนที่จีนมองโทรศัพท์แล้วทำหน้าประมาณว่าจะรับหรือไม่รับดี) แล้วจีนก็ไปเจอเอ็มที่ร้านเดิมที่เคยไปด้วยกันพร้อมกับมี่
โดยเอ็มนั้นเอาของส่วนตัวของจีนมาคืนจีน นี่เป็นอีกซีนที่เหวอมาก เพราะจีนนั้นอยู่ในสถานะคนที่เอาของไปคืนคนอื่นเพื่อทิ้งมันไป แม้จีนจะกล้าที่จะพบปัญหา แต่พอจีนต้องมาเจอความรู้สึกของคนที่โดนคืนของจีนก็จุกไปเหมือนกัน
การกลับมาเผชิญหน้ากับปัญหาที่ตอนจบไม่ได้สวยงาม
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ที่พีคที่น่าสนใจมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่เอ็มได้บอกจีนว่าเค้าจะย้ายไปอยู่ที่สิงคโปร์กับมี่แฟนสาวคนใหม่ แต่มาวันนึงมี่ก็มากดกริ่งบ้านจีน เพื่อเอาเสื้อของจีนมาคืนซึ่งมันเป็นของอย่างเดียวที่พี่เอ็มไม่ได้เอามาคืนจีน มี่รู้ว่าเสื้อตัวนั้นเป็นของจีนจากตอนที่เห็นรูปเก่าๆในอัลบั้มของเอ็มซึ่งรู้ทีหลัง จีนได้ขอโทษมี่ที่ไม่ได้พูดหรือบอกเรื่องเสื้อของตัวเอง
เอาจริงๆผมไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วพี่เอ็มหเอาเสื้อของจีนมาให้มี่ใส่เพราะอะไร ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ว่าพี่เอ็มไม่เคย “ทิ้ง” จีนหรือความทรงจำที่มีได้จริงๆ
จีนได้พยายามยิ้มแย้มแล้วบอกว่ายังไงสิงคโปร์ก็ไม่ไกลก็แวะกลับมาเยี่ยมกันได้ แต่มี่กลับตอบว่า “เราคงไม่ได้ไปสิงคโปร์แล้ว” จีนจากที่ยิ้มแล้วค่อยเหลี่ยนสีหน้าเป็นซีด (แสดงดีมากครับยอมรับเลย) จีนพยายามขอโทษมี่ แต่มี่กลับบอกว่า
“เราอยากเกลียดเธอสองคนมากเลย แต่ก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาให้เกลียด พี่เอ็มก็บอกเราตรงๆจีนก็แค่เอาของมาคืน จริงๆถ้าวันนั้นเราไม่แฎิเสธพัสดุ เราคงไม่ซวยแบบนี้”
ซีนนี้ก็พีคครับ เคยได้ยินคำว่า ”เข้าใจแต่ทำไม่ได้ไหม” มี่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นรวมไปถึงความรู้สึกของทุกฝ่าย แต่สุดท้ายผลก็ลงเอยที่ความเสียใจของตนเอง จริงๆผมมองว่ามี่เป็นหนึ่งในคนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องรองจากแม่ของจีนด้วยซ้ำ
สุดท้ายคือการกลับมาเผชิญด้วยการคืนของที่จีนคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและคืนของแต่ละคนที่จบด้วยดี แต่กลับพี่เอ็มลาสบอสกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น เหมือนกับหนังจะบอกเราว่าการเผชิญหน้ากับอดีตมันก็ไม่ได้ง่ายดายเสมอไป