ทำยังไงดี? เมื่ออยากตัวหอม แต่ไม่อยากแพ้น้ำหอม

ทำยังไงดี? เมื่ออยากตัวหอม แต่ไม่อยากแพ้น้ำหอม
 
     มีใครต้องฉีดน้ำหอมก่อนออกจากบ้านบ้างครับ? พี่หมอคนนึงล่ะที่ต้องทำอย่างนั้น (ถึงเป็นผู้ชายแมนๆ แต่ก็ชอบให้ตัวหอมเหมือนกันนะคร้าบบ) เพราะถ้าวันไหนไม่ได้ฉีดก็จะรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ซึ่งพอไปหาข้อมูลมาแล้วก็พบว่าน้ำหอมเป็นสิ่งที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเข้าสังคมหรือไปเจอคนมากๆ นอกจากนี้ กลิ่นที่ใช้ก็ยังสื่อถึงตัวตนของเรา ทำให้คนรอบข้างจดจำเราได้อีกด้วยนะครับ  
     ต้นกำเนิดของน้ำหอมนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อ 4,000 ปีที่แล้ว โดยชาวเมโสโปเตเมีย เปอร์เซียและอียิปต์เป็นผู้คิดค้น ในยุคนั้นผู้คนจะใช้กลิ่นหอมเนื่องในโอกาสสำคัญต่างๆ ตั้งแต่พิธีกรรมทางศาสนา การเตรียมฝังศพ ไปจนถึงการนำมาปะพรมตัวเอง โดยชาวอียิปต์เชื่อว่า น้ำหอมคือเหงื่อของเทพแห่งดวงอาทิตย์ จึงถือว่าน้ำหอมเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คนอียิปต์จึงนับถือเทพเจ้าแห่งน้ำหอมที่มีชื่อว่า ‘เนเฟอร์ตุม’ ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นเครื่องประดับศีรษะที่ทำจากดอกวอเตอร์ลิลลี่ ทำให้ดอกไม้ชนิดนี้กลายมาเป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมที่นิยมกันมากจนถึงปัจจุบัน 
 
     จริงๆ เรื่องน้ำหอมก็มีอะไรที่น่าสนใจอีกเยอะแยะเลยครับ  วันนี้พี่หมอขออนุญาตพักจากเรื่องหนักๆ มาเล่าเรื่องหอมๆ ดีกว่า จะได้เป็นเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง เริ่มกันที่เรื่องเบสิคที่สุดเลย นั่นก็คือ.....
 
การให้กลิ่นของน้ำหอมในปัจจุบัน มักจะผสมหัวน้ำหอมชนิดต่างๆ ดังนี้
 
     · Top note หรือ Head note เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่ระเหยออกมาเป็นกลิ่นแรกสุดและโดดเด่นที่สุด เพราะมีโมเลกุลขนาดเล็ก กลิ่นจึงระเหยได้ง่าย ดังนั้น กลิ่นในช่วงนี้จึงอยู่ได้ประมาณ 10-20 นาทีหลังจากที่ฉีด โดยกลิ่นที่นำมาทำเป็นหัวน้ำหอมส่วนมากจะมาจากมะนาว ส้ม ลาเวนเดอร์ ตะไคร้ และมะกรูด 
     · Middle note หรือ Heart note จะเป็นกลิ่นหลักของน้ำหอมตัวนั้น ซึ่งจะมีกลิ่นที่กลมกลืนไปกับ Base note โดยกลิ่นจะติดทนหลังจากฉีดไปประมาณ 3-6 ชั่วโมง ส่วนผสมที่นำมาทำเป็น Middle note มักจะมาจากดอกไม้ต่างๆ ผลไม้ สมุนไพรและเครื่องเทศที่ให้กลิ่นหอม
     · Base note เป็นกลิ่นหอมที่ออกมาหลัง Middle note ซึ่งจะติดทนอยู่ถึง 24 ชั่วโมง เพราะมีโมเลกุลขนาดใหญ่ โดยส่วนผสมที่มักจะถูกเลือกมาทำ Base note ส่วนใหญ่จะมาจากเปลือกไม้ วนิลา มัสก์  Ambergris หรืออำพันทะเล หรืออีกชื่อที่รู้จักกันดีก็คืออ้วกวาฬ ซึ่งหายากและมีราคาแพงมากๆ
     · Bridge เป็นกลิ่นสุดท้ายของ Base note และเป็นกลิ่นที่อ่อนไหวที่สุด เพราะเป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่เจือจางแล้วมารวมกับกลิ่นของผู้ใช้ กลิ่นที่ออกมาจึงกลายเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของแต่ละคน

แล้วทำไมน้ำหอมถึงมีราคาแพง 

     สิ่งที่ทำให้น้ำหอมมีราคาแพงก็คือส่วนผสมนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น น้ำหอมของ Chanel กลิ่น Gabrielle Chanel ที่มีส่วนผสมที่หายากมากๆ อย่างดอกซ่อนกลิ่น (Tuberose) ซึ่งการจะสกัดหัวน้ำหอมให้ได้ถึง 1 กิโลกรัมนั้น จำเป็นต้องใช้ดอกซ่อนกลิ่นถึง 6,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว ดังนั้น กว่าที่จะมาเป็นน้ำหอมซักขวด  ผู้ผลิตจึงต้องลงทุนลงแรงเป็นอย่างมาก และนอกจากดอกซ่อนกลิ่นแล้ว ยังมีส่วนผสมอีกหลายชนิดเลยนะครับที่หายากและมีราคาแพง เช่น  
     · จัสมิน (Jasmine) หัวน้ำหอมจากดอกมะลิ ที่เป็นส่วนผสมหลักในน้ำหอมหลายยี่ห้อ 
     · บัลแกเรียน โรส (Bulgarian Rose) หัวน้ำหอมจากกุหลาบบัลแกเรีย ที่มีความหอมเป็นเอกลักษณ์และยังหอมมากกว่ากุหลาบสายพันธุ์อื่นๆ 
     · อู๊ด (Oud) หรือไม้กฤษณา ลักษณะของไม้กฤษณาจะมีทั้งเนื้อไม้ปกติ ซึ่งจะมีสีขาวนวลเมื่อตัดใหม่ๆ และเนื้อไม้หอมที่มีน้ำมันกฤษณา ซึ่งเกิดจากการสะสมของน้ำมันหรือยางเหนียวและมีสารสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นหอม เนื้อไม้ประเภทนี้จะมีสีดำ หนักและไม่ลอยน้ำ
     · มัสก์ (Musk) ในสมัยก่อน มนุษย์สกัดกลิ่นมัสก์มาจากต่อมเพศของกวางมัสก์ตัวผู้ที่พบได้ในแถบที่ราบสูงของทิเบต แต่ในปัจจุบันเราสามารถสร้างกลิ่นไวท์มัสก์ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบกลิ่นมัสก์ธรรมชาติได้แล้ว กวางมัสก์ตัวผู้จึงไม่ต้องถูกทรมานอีกต่อไป 
     · ออริส (Orris) สารสกัดจากหัวที่อยู่ใต้ดินของดอกไอริส ซึ่งปลูกกันมากที่นอกเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี การเก็บเกี่ยวรากหรือหัวนั้นจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะนำมาสกัดน้ำมันด้วยการกลั่นจากไอน้ำ 
     · แอมเบอร์กริส (Ambergris) หรืออำพันทะเล/อ้วกวาฬ ซึ่งเกิดจากการสำรอกหรือการขับถ่ายของวาฬหัวทุยเท่านั้น โดยอ้วกวาฬนี้จะมีลักษณะเป็นก้อนไขมันแข็งๆ และมีหลายเฉดสี ตั้งแต่สีเทาหรือสีดำไปจนถึงสีโทนอ่อนอย่างสีส้มหรือสีขาวคล้ายหินอ่อน และมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์
     นอกจากความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับน้ำหอมที่เล่าให้ฟังแล้ว พี่หมอยังมีคำแนะนำในการเลือกซื้อน้ำหอม และสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ ลักษณะของผื่นแพ้ รวมถึงวิธีที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เราแพ้น้ำหอมมาฝากกันด้วยนะครับ 

คำแนะนำในการเลือกซื้อน้ำหอม
 
     · วิธีเลือกน้ำหอมที่ดีที่สุดก็คือ ให้ฉีดลงไปที่ข้อมือ ไม่ควรดมจากกระดาษ เพราะผิวของเราจะผสมกับกลิ่นน้ำหอมจนกลายเป็นกลิ่นที่เฉพาะตัวขึ้นมา
     · อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อน้ำหอมในตอนที่ทดลองทันที ควรให้เวลาน้ำหอมได้ระเหยออกมาก่อน ซักประมาณ 15-30 นาที จะได้แน่ใจว่าเป็นกลิ่นที่เราชอบจริงๆ  
     · ผู้ที่ไม่ชอบกลิ่นฉุน พี่หมอแนะนำให้ใช้ Eau de Toilette หรือ Eau de Cologne เพราะมีปริมาณหัวน้ำหอมผสมอยู่เพียง 10-20% สำหรับ Eau de Toilette และ 3-5% สำหรับ Eau de Cologne แต่ถ้าชอบกลิ่นที่เข้มข้นและติดทนหน่อย ก็สามารถเลือกใช้ Perfume หรือ Eau de Parfum ได้ เพราะจะมีปริมาณหัวน้ำหอมที่สูงกว่า
     และเพื่อให้กลิ่นน้ำหอมติดทนกับผิวกายของเรา พี่หมอแนะนำว่าควรฉีดทันทีหลังอาบน้ำ เพราะผิวจะมีความชุ่มชื่นและกักเก็บกลิ่นหอมได้ดี โดยเฉพาะบริเวณซอกหู ซอกคอ ลำตัวและข้อพับแขน โดยให้ฉีดห่างจากผิวไม่เกิน 5 นิ้ว 

สารในน้ำหอมที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ 

     · พาราเบน (Paraben) เป็นสารกันเสียราคาถูกจึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในเครื่องสำอาง และแม้ว่าจะได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ แต่โอกาสที่จะใช้แล้วแพ้ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว
     · พาทาเลต (Phthalate) เป็นสารเคมีอีกชนิดที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น โลชั่น สบู่ และยังเป็นส่วนผสมที่นำมาทำเป็นน้ำหอมด้วย 
     · หัวน้ำหอมที่สกัดมาจากลาเวนเดอร์ ผลไม้ตระกูลซิตรัส เช่น มะนาว ส้ม มะกรูด และสารสกัดจากโอ๊คมอส ซึ่งให้กลิ่นเหมือนต้นไม้ที่โดนฝนผสมกลิ่นดินหน่อยๆ มักจะอยู่ในน้ำหอมของผู้ชาย
 
ลักษณะของผื่นแพ้ที่เกิดจากการน้ำหอมที่พบบ่อย มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
 
     1. ผื่นแพ้สัมผัสจากสารที่ทำให้ระคายเคือง (Irritant Contact Dermatitis) เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน และมักเกิดขึ้นทันทีหรือภายใน 2 วันหลังจากที่ใช้น้ำหอม โดยลักษณะของผื่นจะเป็นสีแดง แห้ง คันหรือมีอาการลอก ซึ่งเกิดจากความเข้มข้นหรือปริมาณของน้ำหอมที่ฉีด ยิ่งถ้าเราฉีดซ้ำๆ ลงไปที่บริเวณเดิม ตัวผื่นก็จะยิ่งเห็นได้ชัดขึ้น
     2. ผื่นแพ้สัมผัสแบบผิวหนังอักเสบ (Allergic Contact Dermatitis) ผื่นชนิดนี้ไม่ได้เกิดจากความเข้มข้นของน้ำหอม ไม่ได้เป็นกันได้ทุกคน และไม่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ แต่จะเกิดก็ต่อเมื่อมีการใช้ซ้ำๆ อาการจึงจะแสดงออกมา เช่น พอง มีตุ่มแดง มีน้ำเหลือง ซึ่งสาเหตุก็มาจากการแพ้สารใดสารหนึ่งที่อยู่ในน้ำหอมนั่นเอง 

วิธีป้องกันผื่นแพ้สัมผัสจากน้ำหอม
 
     · สำหรับผู้ที่เคยทำการทดสอบโดยการทาบริเวณข้อพับมาแล้วมีอาการแสบแดง ระคายเคือง พี่หมอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือฉีดน้ำหอมโดยตรงลงบนผิว โดยอาจจะเปลี่ยนเป็นการฉีดน้ำหอมใส่เสื้อผ้า หรือผ้าเช็ดหน้าแล้วพกใส่กระเป๋าเสื้อหรือกางเกงแทน
     · หยุดการใช้น้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมนั้นทันที หากมีอาการแพ้ ซึ่งโดยปกติผื่นมักจะหายไปเองภายใน 5-10 วัน แต่ถ้ายังไม่หายหรือมีอาการรุนแรงขึ้น ก็ควรรีบไปปรึกษาแพทย์นะครับ
 
     ราคาของน้ำหอมสมัยนี้ขวดนึงก็แพงไม่ใช่เล่น ถ้าซื้อมาแล้วใช้ไม่ได้หรือต้องเอาไปให้คนอื่น ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ดังนั้น ถ้าไม่อยากมีอาการแพ้ก็อย่าลืมทำตามที่พี่หมอบอก หรือจะลองหาข้อมูลดูก่อนเพื่อให้แน่ใจว่ากลิ่นที่เราชอบไม่มีส่วนผสมที่ทำให้เราแพ้ก็ดีเหมือนกันนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่