ดร โนงูจิ ฮิเดโยะ จากลูกชาวนาที่ยากจน มาอยู่บนธนบัตร 1000 เยน





รับฟังเป็นคลิปเสียงตามลิ๊งก์ ข้างล่างได้นะครับ

https://youtu.be/Zrn9hd1Or-0

 

ความอดทนมีรสขม แต่ผลของมันมีรสหวาน

คำกล่าวนี้เป็นของ

ด.ร.โนงูจิ ฮิเดโยะ ชายผู้ที่มือซ้ายพิการ เป็นลูกชาวนาที่แสนยากจน

แล้วเพราะอะไร บุคคลนี้ถึงได้กลายไปอยู่บนธนบัตร 1000 เยน

ของประเทศญี่ปุ่นได้

 

สวัสดีครับ มีเรื่องไร เล่าวันนี้ มาในตอนพิเศษ ที่มีชื่อว่า ดร โนงูจิ ฮิเดโยะ ลูกชาวนาที่ยากจน มาอยู่บนธนบัตร 1000 เยน

  ,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,,

ดร โนงูจิ ฮิเดโยะ เดิมมีชื่อว่า โนงูจิ เซซากุ

เขาเกิดวันที่ 9 พฤศจิกายน คศ 1876 ที่จังหวัด ฟุกุชิมะ ประเทศ ญี่ปุ่น คุณโนงูจินั้น เกิดในครอบครัวเกษตรกรรมที่ยากจน

โดยที่มีแม่ของเขาทำนา หาเลี้ยงครอบครัว ในตอนที่คุณโนงูจิ อายุได้1 ขวบก็เกิดอุบัติเหตุโดยไม่ขาดคิด เขาได้คลาน

พลัดตกลงไปที่เตาหลุมไฟกลางบ้าน มือข้างซ้ายของเขา ไปตกอยู่ในกองถ่านไฟที่กำลังติดลุกโชน

นั้นจึงทำให้นิ้วมือข้างซ้ายถูกเผาหลอมรวมติดกัน

จนไม่สามารถใช้งานได้อย่างเป็นปกติปกติ

ในวัย7ขวบ คุณโนงูจิได้เริ่มเข้าไปเรียนในระดับประถมศึกษา เขามีผลการเรียนที่ค่อนข้างแย่ เพราะว่าไม่ค่อยชอบไปโรงเรียน

ด้วยเหตุเพราะว่าตัวเขา มักจะเป็นเป้าหมายของเพื่อนๆ ในโรงเรียนกลั่นแกล้งและล้อเลียน มือซ้ายที่พิการ

อีกทั้งด้วยความยากจน มีอยู่บ่อยครั้งที่ตอนพักกลางวัน ดช โนงูจิ ไม่มีแม้แต่อาหารกลางวันที่จะกิน

เขาต้องเดินไปตักน้ำในลำธารดื่มกินเพื่อประทังชีวิต

จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง เมื่อเขาเดินกลับจากโรงเรียนไปที่บ้าน เขาได้มาเห็นว่าแม่ของเขากำลังทำนาอย่างหนัก

ตัวเขาก็นึกสงสารแม่และอยากที่จะเข้าไปช่วยแม่ทำนา แต่ทว่ามือซ้ายที่พิการของเขา ไม่สามารถหยิบจับ

ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการเกษรได้เลย

มันทำให้เขาตระหนักได้ว่า การทำอาชีพการเกษตรนั้น ไม่เหมาะสมกับตัวเขาเลย หลังจากวันนั้นเขาจึงกลับไปตั้งใจศึกษาเล่าเรียน

เพื่อที่หวังว่าจะมีอนาคตที่ดีได้กว่านี้ ดช โนงูจิ เริ่มมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ถึงแม้ว่าในการไปเรียนหนังสือในแต่ละวัน

เขาจะถูกเพื่อนๆ ในชั้นเรียนกลั่นแกลงอยู่เป็นประจำ แต่ด้วยความมุ่งนั่นและตั้งใจเรียนอย่างหนักของเขา ทำให้ครั้งหนึ่ง

เขาสามารถทำคะแนนจากการเขียนเรียงความ เรื่องแม่ของเขา จนได้คะแนนเต็ม 100 คะแนน

และนั้นเองที่ทำให้เพื่อนๆ รวมชั้นที่เคยกลั่นแกล้งล้อเลียนเขา กลับกลายเป็นเริ่มยอมรับในความสามารถ

และไม่กลับมากลั่นแกล้ง เขา อีกเลย มันยิ่งทำให้เขาขยันและมุ่งมั่นตั้งใจเรียนมากยิ่งขึ้นไปอีก

  เขาเริ่มฉายแววความเป็นอัจฉริยะตั้งแต่ในชั้นประถมศึกษา ดช โนงูจินั้น เรียนรู้หนังสือได้รวดเร็วกว่าเด็กๆ

ทุกคนในชั้นเรียน จนถึงขนาดที่ว่า เขาได้รับความไว้วางใจจากคุณครูในโรงเรียน

ให้เขาไปสอนหนังสือเด็กนักเรียนคนอื่นๆ แทนคุณครูได้ และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ ดช โนงูจิ

เรียนรู้หนังสือได้เร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ ก็เป็นเพราะว่าเมื่อหลังจาก เลิกเรียนกลับมาที่บ้าน ตัวเขาจะทบทวนบทเรียน

และเรียนรู้ในบทเรียนใหม่ๆ ล่วงหน้าก่อนอยู่เสมอๆ

ในปี 1889

ดช โนงูจิกำลังจะเรียนจบในชั้นประถม เขาก็ได้ไปพบกับคุณครู โคบายาชิ ซาคาเอะ

และคุณโคบายาชิ นี้เองที่ได้เห็นถึงความสามารถของ ดช โนงูจิ

คุณครูจึงได้พยามพผลักดันช่วยเหลือให้โนงูจิได้เรียนต่อในระดับชั้นมัธยม ตอนนั้น ดช โนงูจิ

ต้องเดินทางจากบ้านไปโรงเรียน ไปกลับวันละประมาณ 12 กิโลที่โรงเรียนมัธยม อินาวาชิโร่

สังคมของญี่ปุ่นสมัยนั้นนะครับ คนที่จะเรียนในระดับมัธยมได้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่ค่อนข้างมีฐานะ

ส่วนคุณ โนงูจินั้น เป็นลูกชาวนาที่ยากจน ก็มักจะถูกเพื่อนๆ กลั่นแกล้งล้อเลียนเขา อีกเช่นเคย

และด้วยความยากจน ทำให้เขาไม่มีเงินที่จะซื้อ หนังสือแบบเรียนในระดับชั้น มัธยม จึงส่งผลให้ เขาเรียนหนังสือได้ไม่ทันคนอื่น

ก็อย่างที่ผมเล่าไปนะครับว่า คุณโนงูจิ จนมากๆ จริงๆ ขนาดอาหารกลางวันยังต้องดื่มน้ำเปล่าจากลำธาร ประทังชีวิต

จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อหนังสือหรือตำราเรียน ได้ละครับ นี้เป็นอุปสรรคในการศึกษาสำหรับคนยากจน

ที่ไม่มีทุนเป็นอย่างมากในสมัยนั้น

แต่คุณรู้ไหมครับ ในวัย 12ขวบ คุณโนงูจิแก้ไขปัญหานี้ได้ยังไง เขาไปยืมหนังสือทำเนียบศิษย์เก่า

เพื่อ ดูรายชื่อรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว หลังจากนั้น เขาก็เดินไปตามบ้านของรุ่นพี่ เพื่อขอหนังสือตำราเรียน

แต่หนังสือที่ได้มาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ เป็นเพียงแค่เศษกระดาษไปเสียมากกว่า

เขาต้องรวบรวมเศษกระดาษเหล่านั้น ให้เป็นหนังสือแบบเรียนของตัวเองในแต่ละวิชา

และบางส่วนที่ขาดหายไปไม่ครบเขาก็ใช้วิธีไปขอขัดลอกมาจากคนอื่น และด้วยการที่เขาไปรวบรวมตำราเรียนเอง

หรือต้องไปคัดลอกแบบเรียนมาเอง มันก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ในสิ่งที่อยู่ในแบบเรียนก่อนล่วงหน้าคนอื่นๆ

จากคนที่เรียนได้ ช้าและล้าหลังที่สุดของห้อง ตอนนี้คุณโนงูจิเร่งเครื่องแซงทุกๆ คนในชั้นเรียน

เขาทำคะแนนสอบได้เป็นที่หนึ่งของห้องในทุกๆ วิชา ตลอด3ปี ในระดับชั้นมัธยมต้น จนเป็นที่ยอมรับของทุกๆ คนในโรงเรียน

ในปี 1892 ตอนนั้น คุณโนงูจิ มีความฝันที่อยากจะเป็นครู จึงได้ทำเรื่องขอไปเรียนต่อที่วิทยาลัย ครู ชิฮัง

แต่แล้วทางวิทยาลัย ก็ได้ตอบปฎิเสธ คุณโนงูจิกลับมา ด้วยเหตุผลที่ว่า มีมือซ้ายที่พิการเป็นอุปสรรคในการที่จะเรียนวิชาพละได้

แต่ด้วยคุณโนงูจิ นั้นเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดเกินกว่าเด็กๆ ปกติทั่วๆ ไป จึงทำให้ ทุกคนในหมู่บ้าน ครอบครัวของเพื่อนๆ ในชั้นเรียน

มัธยม คุณครูทุกคน ช่วยกันรวบรวมเงินบริจาค เพื่อส่งตัวคุณโนงูจิ ไปผ่าตัดแยกนิ้วมือที่ข้างซ้ายเพื่อหวังว่า วิธีนี้จะสามารถทำให้

คุณโนงูจิ จะได้มีโอกาสเข้าเรียน ที่วิทยาลัยครูได้

ตอนนั้นคุณโนงูจิน่าจะเรียกได้ว่าเป็นความหวังของทุกคนในหมู่บ้านเลยก็ว่าได้

และในปีนั้นเอง เขาก็ได้เข้ารับการผ่าตัด จากคุณหมอ วาตานาเบะ ที่โรงพยาบาล ไคโย การผ่าตัดแยกนิ้วเป็นไปได้ด้วยดี

แต่ทว่ากล้ามเนื้อของนิ้วมือที่ผ่าแยกออกมา นั้นไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน จึงส่งผลให้การใช้งานมือซ้าย ใช้ได้ไม่สมบูรณ์อยู่ดี

ในที่สุดแล้ว คุณโนงูจิก็ต้องผิดหวังในการที่จะไปเรียนต่อที่วิทยาลัยครู

แต่ใครจะไปคิดละครับว่าความผิดหวังในครั้งนี้ มันจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา ในอนาคต

หลังจากที่เขาไม่สามารถไปเรียนต่อ ที่วิทยาลัยครูได้ คุณโนงูจิจึงเริ่มสนใจที่อยากจะไปเป็นหมอ แทนเพราะเขาคิดว่า การที่ได้เป็น

หมอจะสามารถช่วยเหลือรักษาผู้อื่นได้ ดังเช่นที่ตัวเขาได้รับการรักษา คุณโนงูจิ จึงได้ไปขอร้อง คุณหมอ วาตานาเบะ

ให้รับเข้าทำงานที่โรงพยาบาลไคโย ในตำแหน่ง นักการภารโรง เพื่อแลกกับการได้ศึกษาวิชาแพทย์ไปด้วย คุณโนงูจิตั้งใจทำงาน

ในหน้าที่นักการภารโรงอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง และในระหว่างนั้นเขาก็ได้ศึกษาตำราวิชาการแพทย์ ทั้งภาษา อังกฤษ เยอรมัน

ฝรั่งเศส ด้วยตนเอง ควบคู่ไปกับการได้ปฏิบัติงานช่วยเหลือดูรักษาคนป่วย คุณหมอ วาตานาเบะ ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นและอุทิศ

ตนเอง ของเด็กหนุ่ม อย่างคุณโนงูจิ จึงได้แนะนำ ให้เขา ไปที่โตเกียวเพื่อเตรียมสอบคัดเลือกใบประกอบวิชาชีพแพทย์

คุณโนงูจิได้เดินทาง ไปที่โตเกียว ตามคำแนะนำของคุณหมอ วาตานาเบะ เขาก็ได้รับการช่วยเหลือจาก คุณหมอชิวากิ โมริโนะสุ

เกะ ซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณหมอ วาตานาเบะ ให้ไปทำงานเป็นนักการภารโรงที่ โรงเรียนทันตแพทย์ทาคายามะ

คุณหมอชิวากิ โมริโนะสุเกะ ได้เห็นถึงความสามารถที่เกินกว่าวัยของ คุณโนงูจิ จึงได้ส่งเสริมให้เขาไปเรียนหาความรู้เพิ่มเติม

ที่โรงเรียนกวดวิชาทางการแพทย์ไซเซ

ในตอนนั้นสังคมของญี่ปุ่น การที่คนจะประกอบอาชีพ แพทย์ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นสูงเท่านั้น และก็อีกเช่นเคย เมื่อ คุณโนงูจิ

ลูกชาวนาที่ยากจน แถมมีมือซ้ายที่พิการเข้าไปเรียน ในโรงเรียนกวดวิชาแพทย์ไซเซ เขาก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับและก็มักจะโดน

ดูถูกต่างๆ น่าๆ ไม่ว่าจะจากเพื่อนๆ หรือแม้แต่อาจารย์ที่สอน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรกลับมุ่งมั่นในการเรียน

เพื่อเตรียมสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ให้ได้เสียมากกว่า

ในปี 1896 เป็นปีแรกของ คุณโนงูจิได้เข้าไปสอบ เอาใบประกอบวิชาชีพแพทย์ ที่โตเกียว และ ด้วยความยากจน เขาไม่มีชุดหูฟัง

แพทย์ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือจำเป็นสำหรับใช้ในการสอบ เขา จึงต้องไปขอยืมเอาจากผู้คุมสอบมาใช้

และในปีนั้นมีผู้ที่สอบผ่านได้เป็นแพทย์ ได้อยู่เพียงแค่ 4 คน จากผู้เข้าสอบทั้งหมด 80 คน ในสมัยนั้นการสอบนี้ไม่ใช่จะผ่านกันได้

ง่ายๆ นะครับบางคนต้องมาสอบซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายปี กว่าที่จะผ่านไปได้

แต่ หนึ่งในสี่ คนนั้นที่สอบผ่าน ก็มีคุณโนงุจิ อยู่ด้วย

ไม่เพียงแค่ สอบผ่านใบประกอบวิชาชีพแพทย์ได้ในปีแรก คุณโนงูจิ ยังทำคะแนน สอบได้เป็นอันดับที่ 1อีกด้วย

และเขากำลังจะได้กลายเป็นคุณหมอ ในวัยเพียงแค่ 20 ปี

หลังจากที่สอบผ่านแล้วคุณโนงูจิ ก็ได้กลับไปสอนหนังสือ ที่โรงเรียนทันตแพทย์ทาคายามะ ท่ามกลางความงงงวย แปลกใจ

ของบรรดานักเรียน ที่จู่ๆ จากภารโรงก็กลายมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือ

ถึงแม้ คุณหมอโนงูจิ จะสอบผ่านใบประกอบวิชาชีพแพทย์แล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะไปเป็นหมอรักษาผู้ป่วยได้

เนื่องด้วย มือข้างซ้ายที่พิการ อาจจะทำให้ ดูขาดความน่าเชื่อถือในการวินิจฉัยโรค จากผู้ป่วย เขาจึงได้ หันไปสนใจทางด้านงาน

วิจัย และเส้นทางที่เขาให้ความสนใจนั้นก็คือ การวิจัยเชื้อโรคที่สร้างความอันตรายและโรคภัยไข้เจ็บให้กับผู้คน

ดูเหมือนเขากำลังค้นพบเส้นทางที่จะเป็นแสงสว่างให้กับชีวิต และในเส้นทางนี้ ก็ยังจะเป็นแสงสว่างที่ส่องให้กับคนทั่วโลก อีกด้วย

ในปี 1898 คุณหมอโนงูจิ ได้เริ่มเข้าไปทำงานที่ สถาบัน วิจัยค้นคว้าโรคติดต่อ คิตะซาโตะ ที่สถาบันแห่งนี้ เป็นศูนย์รวมนายแพทย์

ระดับหัวกะทิของประเทศ ที่ส่วนใหญ่จะจบมาจากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ ในโตเกียว ก็อีกเช่นเคยละครับ เด็กบ้านนอกยากจน

อย่างคุณโนงูจิ ก็ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คนในสถาบันแห่งนี้

แต่แล้วในปี 1899 ดร. ไซมอน เฟลกซ์เนอร์ ศาสตราจารย์ทางด้านพยาธิวิทยา แห่งมหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกิ้นส์ จาก ประเทศ

สหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางการแพทย์ที่สถาบัน คิตะซาโตะประเทศญี่ปุ่น คุณโนงูจิ จึงได้ถูกคัดเลือก

จากทางสถาบัน ให้ไปเป็นล่ามแปลแปลภาษาให้กับ ดร. ไซมอน เฟลกซ์เนอร์ และนี้ก็จะเป็นการพบกันที่นำไปสู่การเปิดโลกทัศน์ที่

กว้างยิ่งขึ้นไปอีกของคุณ หมอโนงูจิ

มาถึงตรงนี้ ผมอยากขอ อธิบาย บริบท ในช่วงเวลานี้สักหน่อย นะครับ ผมอยากให้ ทุกคนลองนึกภาพย้อนกลับไปในช่วงเวลาปี

1899 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ สองจะเกิดขึ้นนะครับ

ในตอนนั้น ดร. ไซมอน เฟลกซ์เนอร์ เดินทางจากข้ามน้ำข้ามทะเลมาจาก อเมริกา มาญี่ปุ่นด้วยทางเรือ นะครับ สมัยนั้น

ยังไม่มีการใช้เครื่องบินพาณิชย์แต่อย่างใด เครื่องยนต์กลไกในยุคนั้น ส่วนใหญ่ยังใช้เป็นเครื่องจักรไอน้ำ

ดร. ไซมอน เฟลกซ์เนอร์ พูดภาษาอังกฤษ ในยุคนั้น ภาษาอังกฤษ เองก็ยังไม่ได้ถูกยกมาใช้เป็นภาษาสากล เหมือนปัจจุบัน

แล้วในประเทศญี่ปุ่นเองตอนนั้น ก็ถือเป็นชาติมหาอำนาจอยู่เหมือนกัน เขาก็จะมีความเป็นชาตินิยมที่สูงมาก จึงไม่ค่อยจะใช้ภาษา

อื่นๆ แม้แต่ ตำราวิชาการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น ก็ยังถูกเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น เขาจะไม่ได้เรียนรู้มาจากตำราภาษาอังกฤษ

นะครับ ก็ลองคิดดูเอาแล้วกันนะครับว่า คุณหมอโนงูจิแกเก่งภาษาอังกฤษแค่ไหน ถึงไปเป็นล่ามได้

ทั้งๆ ที่ในสถาบันก็มีแต่คุณหมอระดับหัวกะทิ ก็ยังไม่สามารถทำได้ ในวัยสี่สิบเศษๆ ผมว่า ความสามารถของคุณหมอโนงูจิ เริ่มใหญ่

เกินกว่า ประเทศญี่ปุ่นแล้วสิครับ

 

หลังจากที่ได้ ทำงานเป็นล่าม ได้เป็นอย่างดี ดร. ไซมอน เฟลกซ์เนอร์ ก็ประทับใจและรับรู้ได้ถึงสักภาพ ในตัวของคุณ หมอโนงูจิ

จึงได้พยายามชักชวน ให้ หมอโนงูจิไปร่วมทำงานวิจัยกับเขาที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา

แต่ทว่าในปีนั้น ภรรยาของคุณครูโคบายาชิ ก็ได้ล้มป่วยลง คุณหมอโนงูจิ จึงได้รีบเดินทางกลับไปเยี่ยม ที่บ้านเกิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่