ผมเองเกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าจะเจอปัญหาแบบนี้มาก่อนในชีวิต ตอนแรกก็คิดว่าจะมีแต่ในละคร แต่ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลยอยากมาลองปรึกษาทุกคนดูครับ
เรื่องมีอยู่ว่าแฟนเก่าผม ตามจากที่เค้าบอกคือเค้ารวยมากเป็นเจ้าของกิจการหลายที่ พ่อแม่ผมก็ชอบเค้ามาก แต่ประเด็นคือ ผมยิ่งคบยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่ จนในที่สุดผมก็บอกเลิก
หลังจากที่เลิกกัน พ่อแม่ผมก็ด่าทอผมต่างๆนาๆ ว่าทำไมไม่คบกับผญคนนี้ "การได้คบกับเค้านี่ ถือว่ามีบุญขนาดไหนแล้ว" คำๆนี้ทำให้ผมงงมากๆ ว่าที่บ้านตัวเองก็ไม่ได้จน กิจการก็มีตั้งหลายอย่างทำไมต้องไปพูดแบบนี้ ตอนแรกผมก็คิดว่าเค้าคงบ่นๆ เดี๋ยวก็คงจะเลิกบ่น แต่นานวันมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง และแฟนเก่าเองก็ไม่ยอมย้ายออกจากบ้านผม จนผมต้องย้ายออกมาหาห้องเช่าอยู่เอง ถ้าใครสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ไล่เค้าออกไป นั่นเป็นเพราะพ่อแม่ผมขอไว้ตอนแรกว่า ถึงเลิกกันก็อย่าไปไล่เค้า จนมีคำพูดนึงหลุดจากปากแม่ผมว่า "ถ้ามีแฟนใหม่จะไม่ว่าซักคำ"
หลังจากนั้นไม่นานผมก็เปิดตัวแฟนใหม่ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูด เพราะทุกคนกลับรุมโจมตีแฟนใหม่ผม หาว่ามาเกาะผมกินบ้าง อะไรบ้าง ทั้งๆที่บ้านแฟนใหม่เองก็มีฐานะ ถึงแม้จะไม่เท่าแฟนเก่า แต่เงินเดือนส่วนตัวก็ต้องบอกว่าเยอะ แถมพ่อยังบอกว่า
"หวังว่าทั้งสองคน(ผมกับแฟนใหม่)จะเลิกกัน"
"ทำไมถึงเลิกกับแฟนใหม่ มาคบกับแฟนเก่าไม่ได้ ลูกคนอื่นเค้าสละความสุขของตัวเองเพื่อพ่อแม่ได้ทั้งนั้น"
แต่แฟนเก่าผมเองก็ยังอยู่บ้านผม (คนละหลังกับพ่อกับแม่ผม) และคอยพูดจาเป่าหูพ่อกับแม่ผมว่า เค้ารักและหวังดีกับผม มีแต่เค้าที่หวังดีกับผม คนอื่นคอยแต่จะเข้ามาหลอก ขณะเดียวกันเค้าก็มายื่นเงื่อนไขให้ผมว่า
1. ผมต้องยกร้านอาหารของผมให้เค้า
ทั้งๆที่ร้านนี้ผมเองก็เป็นคนไปหาสูตร ไปเรียน จ่ายเงินค่าทำร้านเอง ค่าเครื่องครัว จะมีก็แค่จาน แก้วน้ำ และตู้เย็นที่เป็นของแฟนเก่า และที่ตั้งร้านเป็นที่ของพ่อ แค่นั้น
พ่อผมก็โทรมาคุย และด้วยความที่ผมคิดว่ายกให้จะได้จบๆ ผมเลยบอกว่างั้นก็จ่ายเงินเดือนพนักงานสองคนอีก 14000 บาท ใฟ้ด้วยละกัน แต่ทุกคนในบ้านกลับบอกว่า ผมไม่แฟร์ ถ้าแฟร์เงินที่หามาได้ทั้งหมดก็ต้องเอาไปให้แฟนเก่าผมด้วยสิ
ผมฟังแล้วรู้สึกอึ้ง เพราะร้านเปิดก่อนที่โควิดจะมาแค่ 2 เดือน แถมเป็นช่วงมหาลัยปิดเทอม แล้วดันมาเข้าช่วงโควิดที่ผ่านมา ผมแบกค่าวัตถุดิบ กับค่าแรงมาทั้งหมด ยังไม่รวมเงินลงทุนที่ผมลงไปอีก นี่ผมจะต้องยกให้ฟรีๆ แถมผมยังต้องให้เงินอีกเหรอ ทั้งๆที่ร้านไม่ได้มีรายได้เลย
2. ผมต้องยกตำแหน่ง ของกิจการที่บ้านที่ผมดูแล มาตั้งแต่เซ็นอนุญาติก่อสร้างให้เค้า แต่ยังดีพ่อผมบอกว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง หรืออาจจะเป็นเพราพมันเป็นกงสี มีญาติๆหุ้นด้วย เค้าเลยทำไม่ได้ก็ไม่รู้
3. ผมต้องให้เงินเค้า 10 ล้าน เป็นค่าความอับอายของเค้า
แต่ถ้าทำ 3 ข้อนี้ไม่ได้ ก็ให้ผมย้ายออกไปจากจังหวัดนี้ซะ ไปให้แฟนใหม่เลี้ยง และพ่อผมก็ดันเห็นด้วย ด้วยการโทรมาหาผมและบอกว่า
"อยากให้ผมไปไกลๆรกหู รกตา" "อกัตญญู เณรคุณ"
แต่พ่อผมก็ยังยอมให้ผมทำงานที่ยริษัทของที่บ้านต่อ แต่ไม่ให้อะไรอีกแล้ว ซึ่งผมเองก็ไม่ได้คิดจะเอาอะไรจากที่บ้านมากไปกว่านี้อีกแล้ว
***ขอขั้นนิดนึง เผื่อจะมีคนมาคอมเม้นว่า ให้ผมยอมๆ พ่อแม่ไปเถอะ ท่านมีบุญคุณบลาๆ ผมขอพูดตรงนี้เลยนะครับว่า ผมรักตัวเอง ผมรักแฟนใหม่ผม และคนที่จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต ควรจะเป็นคนที่ผมเลือกเอง***
ผมค่อนข้างสงสารแฟนใหม่ผมที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ เลยมาถึงคำถามที่ผมอยากปรึกษาทุกคนครับ
1. ผมเลือกที่จะทนอยู่ที่เดิมต่อ กินเงินเดือนจากกงสี ได้โบนัสตามการบริหาร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมาเลื่อยขาเก้าอี้มั้ย ปิดร้านอาหาร/ยกให้แฟนเก่า และไปเปิดร้านที่ใหม่ ซึ่งแต่ก็ไม่รู้ว่าแฟนเก่าผมจะมาระรานผมอีกรึปล่าว หรือพ่อผมจะมาพูดอะไรอีกมั้ย ทุกวันนี้ผมพยามเลั่ยงไม่รับสาย ไม่เจอหน้าพ่อ แต่ผมก็ไม่อยากให้แฟนใหม่อึดอัด หรือรู้สึกเสียใจกับคำพูดแย่ๆของพ่อผม เผื่อวันนึงเราตัดสินใจแต่งงานกัน
2. ผมเข้ากทมไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เลย แต่ทุกอย่างก็ต้องเริ่มจาก 0 แถมแฟนใหม่จะต้องมาคอยแบกค่าใช้จ่ายให้ผม ถ้าหากว่าเงินเก็บหมด หรือกิจการที่คิดจะทำที่ กทม มันดันไม่ดี หรือยังไม่เข้าที่
ปล. ผมกับแฟนเก่ายังไม่ได้แต่งงานกันนะครับ
ปล2. ถ้าให้เล่าตั้งแต่ต้น ผมคิดว่าเรื่องของผมน่าจะเขียนเป็นละครได้เรื่องนึง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ตอนจบเท่านั้นเอง
ปล3. ไม่ต้องแนะนำให้คุยกับพ่อดีๆนะครับ ผมพยามแล้ว ผมพยามมา 5~6 เดือนแล้ว ถึงขนาดเอานักจิตวิทยามาคุยด้วย ก็ไม่เป็นผล พ่อผมพูดแต่เค้าว่า แฟนเก่าผมรวย ยังงั้น ยังงี้ ถึงขนาดนักจิตวิทยายังถามเลยว่าที่บ้านผมติดหนี้แฟนเก่าผมเหรอ หรือที่บ้านไม่มีอันจะกินขนาดนั้นเหรอ
***ถ้ามีตรงไหนอ่านไม่เข้าใจ หรืองง ต้องขอโทษด้วยครับ***
ผมควรจะเลือกความสบายใจหรือความมั่นคงดีครับ
เรื่องมีอยู่ว่าแฟนเก่าผม ตามจากที่เค้าบอกคือเค้ารวยมากเป็นเจ้าของกิจการหลายที่ พ่อแม่ผมก็ชอบเค้ามาก แต่ประเด็นคือ ผมยิ่งคบยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่ จนในที่สุดผมก็บอกเลิก
หลังจากที่เลิกกัน พ่อแม่ผมก็ด่าทอผมต่างๆนาๆ ว่าทำไมไม่คบกับผญคนนี้ "การได้คบกับเค้านี่ ถือว่ามีบุญขนาดไหนแล้ว" คำๆนี้ทำให้ผมงงมากๆ ว่าที่บ้านตัวเองก็ไม่ได้จน กิจการก็มีตั้งหลายอย่างทำไมต้องไปพูดแบบนี้ ตอนแรกผมก็คิดว่าเค้าคงบ่นๆ เดี๋ยวก็คงจะเลิกบ่น แต่นานวันมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง และแฟนเก่าเองก็ไม่ยอมย้ายออกจากบ้านผม จนผมต้องย้ายออกมาหาห้องเช่าอยู่เอง ถ้าใครสงสัยว่าทำไมผมถึงไม่ไล่เค้าออกไป นั่นเป็นเพราะพ่อแม่ผมขอไว้ตอนแรกว่า ถึงเลิกกันก็อย่าไปไล่เค้า จนมีคำพูดนึงหลุดจากปากแม่ผมว่า "ถ้ามีแฟนใหม่จะไม่ว่าซักคำ"
หลังจากนั้นไม่นานผมก็เปิดตัวแฟนใหม่ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่พูด เพราะทุกคนกลับรุมโจมตีแฟนใหม่ผม หาว่ามาเกาะผมกินบ้าง อะไรบ้าง ทั้งๆที่บ้านแฟนใหม่เองก็มีฐานะ ถึงแม้จะไม่เท่าแฟนเก่า แต่เงินเดือนส่วนตัวก็ต้องบอกว่าเยอะ แถมพ่อยังบอกว่า
"หวังว่าทั้งสองคน(ผมกับแฟนใหม่)จะเลิกกัน"
"ทำไมถึงเลิกกับแฟนใหม่ มาคบกับแฟนเก่าไม่ได้ ลูกคนอื่นเค้าสละความสุขของตัวเองเพื่อพ่อแม่ได้ทั้งนั้น"
แต่แฟนเก่าผมเองก็ยังอยู่บ้านผม (คนละหลังกับพ่อกับแม่ผม) และคอยพูดจาเป่าหูพ่อกับแม่ผมว่า เค้ารักและหวังดีกับผม มีแต่เค้าที่หวังดีกับผม คนอื่นคอยแต่จะเข้ามาหลอก ขณะเดียวกันเค้าก็มายื่นเงื่อนไขให้ผมว่า
1. ผมต้องยกร้านอาหารของผมให้เค้า
ทั้งๆที่ร้านนี้ผมเองก็เป็นคนไปหาสูตร ไปเรียน จ่ายเงินค่าทำร้านเอง ค่าเครื่องครัว จะมีก็แค่จาน แก้วน้ำ และตู้เย็นที่เป็นของแฟนเก่า และที่ตั้งร้านเป็นที่ของพ่อ แค่นั้น
พ่อผมก็โทรมาคุย และด้วยความที่ผมคิดว่ายกให้จะได้จบๆ ผมเลยบอกว่างั้นก็จ่ายเงินเดือนพนักงานสองคนอีก 14000 บาท ใฟ้ด้วยละกัน แต่ทุกคนในบ้านกลับบอกว่า ผมไม่แฟร์ ถ้าแฟร์เงินที่หามาได้ทั้งหมดก็ต้องเอาไปให้แฟนเก่าผมด้วยสิ
ผมฟังแล้วรู้สึกอึ้ง เพราะร้านเปิดก่อนที่โควิดจะมาแค่ 2 เดือน แถมเป็นช่วงมหาลัยปิดเทอม แล้วดันมาเข้าช่วงโควิดที่ผ่านมา ผมแบกค่าวัตถุดิบ กับค่าแรงมาทั้งหมด ยังไม่รวมเงินลงทุนที่ผมลงไปอีก นี่ผมจะต้องยกให้ฟรีๆ แถมผมยังต้องให้เงินอีกเหรอ ทั้งๆที่ร้านไม่ได้มีรายได้เลย
2. ผมต้องยกตำแหน่ง ของกิจการที่บ้านที่ผมดูแล มาตั้งแต่เซ็นอนุญาติก่อสร้างให้เค้า แต่ยังดีพ่อผมบอกว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง หรืออาจจะเป็นเพราพมันเป็นกงสี มีญาติๆหุ้นด้วย เค้าเลยทำไม่ได้ก็ไม่รู้
3. ผมต้องให้เงินเค้า 10 ล้าน เป็นค่าความอับอายของเค้า
แต่ถ้าทำ 3 ข้อนี้ไม่ได้ ก็ให้ผมย้ายออกไปจากจังหวัดนี้ซะ ไปให้แฟนใหม่เลี้ยง และพ่อผมก็ดันเห็นด้วย ด้วยการโทรมาหาผมและบอกว่า
"อยากให้ผมไปไกลๆรกหู รกตา" "อกัตญญู เณรคุณ"
แต่พ่อผมก็ยังยอมให้ผมทำงานที่ยริษัทของที่บ้านต่อ แต่ไม่ให้อะไรอีกแล้ว ซึ่งผมเองก็ไม่ได้คิดจะเอาอะไรจากที่บ้านมากไปกว่านี้อีกแล้ว
***ขอขั้นนิดนึง เผื่อจะมีคนมาคอมเม้นว่า ให้ผมยอมๆ พ่อแม่ไปเถอะ ท่านมีบุญคุณบลาๆ ผมขอพูดตรงนี้เลยนะครับว่า ผมรักตัวเอง ผมรักแฟนใหม่ผม และคนที่จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต ควรจะเป็นคนที่ผมเลือกเอง***
ผมค่อนข้างสงสารแฟนใหม่ผมที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ เลยมาถึงคำถามที่ผมอยากปรึกษาทุกคนครับ
1. ผมเลือกที่จะทนอยู่ที่เดิมต่อ กินเงินเดือนจากกงสี ได้โบนัสตามการบริหาร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมาเลื่อยขาเก้าอี้มั้ย ปิดร้านอาหาร/ยกให้แฟนเก่า และไปเปิดร้านที่ใหม่ ซึ่งแต่ก็ไม่รู้ว่าแฟนเก่าผมจะมาระรานผมอีกรึปล่าว หรือพ่อผมจะมาพูดอะไรอีกมั้ย ทุกวันนี้ผมพยามเลั่ยงไม่รับสาย ไม่เจอหน้าพ่อ แต่ผมก็ไม่อยากให้แฟนใหม่อึดอัด หรือรู้สึกเสียใจกับคำพูดแย่ๆของพ่อผม เผื่อวันนึงเราตัดสินใจแต่งงานกัน
2. ผมเข้ากทมไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เลย แต่ทุกอย่างก็ต้องเริ่มจาก 0 แถมแฟนใหม่จะต้องมาคอยแบกค่าใช้จ่ายให้ผม ถ้าหากว่าเงินเก็บหมด หรือกิจการที่คิดจะทำที่ กทม มันดันไม่ดี หรือยังไม่เข้าที่
ปล. ผมกับแฟนเก่ายังไม่ได้แต่งงานกันนะครับ
ปล2. ถ้าให้เล่าตั้งแต่ต้น ผมคิดว่าเรื่องของผมน่าจะเขียนเป็นละครได้เรื่องนึง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ตอนจบเท่านั้นเอง
ปล3. ไม่ต้องแนะนำให้คุยกับพ่อดีๆนะครับ ผมพยามแล้ว ผมพยามมา 5~6 เดือนแล้ว ถึงขนาดเอานักจิตวิทยามาคุยด้วย ก็ไม่เป็นผล พ่อผมพูดแต่เค้าว่า แฟนเก่าผมรวย ยังงั้น ยังงี้ ถึงขนาดนักจิตวิทยายังถามเลยว่าที่บ้านผมติดหนี้แฟนเก่าผมเหรอ หรือที่บ้านไม่มีอันจะกินขนาดนั้นเหรอ
***ถ้ามีตรงไหนอ่านไม่เข้าใจ หรืองง ต้องขอโทษด้วยครับ***