พท.ฉะมหาดไทย ซื้อรถหลวงให้จนท. แต่คุณนายเอาไปใช้ บิ๊กป๊อกแจงวุ่น
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4434295
พท.ฉะมหาดไทย ซื้อรถหลวงให้จนท. แต่คุณนายเอาไปใช้ บิ๊กป๊อกแจงวุ่น ขู่เอาออกนายอำเภอ-ผู้ว่าฯให้คุณนายนั่งรถหลวง ลั่นไม่ว่ารมต.-ทำผิดกม.คุกรออยู่
เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนาย
ศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 วงงิน 3,300,000,000,000 บาท เป็นวันที่ 3
นาย
วิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า วันนี้ตนไม่มีความหวังกับครม. แต่มีความหวังที่ส.ส.ทำงานอย่างเข้มแข็ง ตนนอนตาหลับแล้ว แแต่การจัดทำงบปี 64 เป็นงบที่ตกยุค เป็นการตั้งงบแบบเพ้อฝัน เพราะการจัดเก็บภาษีไม่มีทางได้เลย เพราะภาวะขณะนี้ ท่านไปล็อกดาวน์ประเทศ ชาวบ้านเดือดร้อนหมด บริษัทไม่มีเงินเสียภาษี
ตอนนี้ไม่ต้องคิดว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขอให้ประชาชนประครองชีวิตให้รอดก็ลำบาก โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เรื่องที่ไม่ควรใช้งบประมาณโดยขอให้ พล.อ.
อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ใช้ความกล้าหาญในการตัดงบบางตัวของกระทรวงมหาดไทย เช่น ศาลากลาง ศูนย์ราชการ ที่ว่าการ เพื่อเอาไปใช้อย่างอื่นได้
นาย
วิสาร อภิปรายต่อว่า โครงการสะพานแบลีย์จำเป็นต้องใช้หรือไม่ ถ้าเทียบประเทศไทยเป็นคนป่วยก็อยู่ในขั้นโคม่า มะเร็งระดับ 4 หรือการจัดซื้อรถฉีดน้ำ รถกู้ภัย รถไฮโดลิค รถเอนกประสงค์ ที่สำคัญรถผลิตอากาศ 6 พันคัน จำนวนหลายร้อยล้านบาท ปรากฎว่าเกิดเหตุ หมูป่าติดถ้ำที่ขุนน้ำนางนอน เมื่อ 2 ปีที่แล้วแต่ก็หาเรื่องซื้อ ดังนั้นขอให้ยกเลิก เพราะเป็นงบปี 64 รวมถึงหลังคาโค้งไร้โครงสร้าง ตัวละ 10 กว่าล้านบาท จึงขอให้ยกเลิก แล้วเอางบเหล่านี้ไปเป็นอาหารให้กับคนจนดีกว่า
นอกจากนั้นโครงการไฟป่าเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลชุดนี้ตั้งไว้ แต่ไม่สำเร็จ การดับไฟป้าวิธีการง่ายๆชาวบ้านเขาใช้เครื่องพ้นยา และเขาต้องการเฉพาะเครื่องเป่าลมสำหรับทำแนวกันไฟ แต่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) จัดดซื้อเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ มูลค่า 1,800 ล้านบาท ขอถามว่า ปภ. เป็นกองทัพหรือ จำเป็นต้องมีฝูงบินหรือ เรามีเครื่องบินปีกหมุน 300 กว่าลำ สามารถเอามาใช้ได้ ซึ่งปี 2562-2565 จะจัดซื้ออีก 6 ลำ ขณะนี้เหลืออีก 4 ลำ ขอให้ยกเลิก เพราะไม่จำเป็น ที่สำคัญมีข่าวว่าถูกสั่งการจาก “
ผู้มีอิทธิพลจากส่าวนกลาง” โดยบริษัทที่ได้คือ บริษัทดาต้าเกต ซึ่งเป็นบริหารค่าอาวุธ ยุโธปกรณ์ ตั้งแต่สมัยพล.อ.
อนุพงษ์เป็นผบ.ทบ.จำนวนหลายพ้นล้านบาท ดังนั้นการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ถือว่าเกินความจำเป็น ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ ตนว่าประเทศไทยต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ที่สำคัญรถปิกอัพบางคัน กรมการปกครองซื้อไปให้กองอาสารักษาดินแดน (อส.) ใช้ทุกที่และมีการล็อกสเป๊กและเป็นที่รู้กันว่าเอายี่ห้ออะไร และเขาบอกว่าอส.ไม่ได้นั่ง มีแต่นาย แต่นายนั่งยังไม่เท่าไหร่ แต่มีคุณนายไปใช้ด้วย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ จึงขอให้ยกเลิกงบเหล่านี้ แล้วเอามาใช้ที่จำเป็น และในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ แก้ไขปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม รวบอำนาจ ทำลายศักยภาพ เกียรติภูมิขอองประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในปะวัติศาสตร์ และขอเรียกงบฉบับนี้ว่า ฉบับเพ้อฝัน ผลาญงบ จบด้วยโควิด ซึ่งนายกฯจะจบไปก่อนหรือคนไทยจะจบไปก่อน” นาย
วิสารกล่าว
ด้านพล.อ.
อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงว่า การจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนั้น ทุกจังหวัดมมีความสำคัญ เมื่อเกิดภัยพิบัติใดก็ตาม เราไม่สามารถเครื่องมือและอุปกรณ์ให้ทุกจังหวัดได้ ปภ.จึงจัดตั้งศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวม 18 เขตทั่วประเทศ โดยให้จังหวัดที่อยู่ในแต่ละเขตใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆร่วมกัน ขณะที่การจัดซื้ออุปกรณ์ก็ทำเท่าที่จำเป็น และพยาายามรวมกันใช้อุปกรณ์ให้ประหยัดที่สุด
ส่วนที่มีการอภิปรายถึงเรื่องสะพานแบรลีย์นั้น ตนขอชี้แจงว่าสะพานดังกล่าวเป็นสะพานเหล็กที่ให้ประชาชนใช้ชั่วคราวในกรณีเกิดเหตุสะพานถูกตัดขาด ซึ่งจะใช้งานนานพอสมควร เพราะจะถอนออกได้ต่อเมื่อมีงบประมาณมาสร้างสะพานใหม่ ดังนั้นตนถือว่าสะพานแบลีย์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี เพราะต้องดำเนินการให้ประชาชนสามารถสัญจรได้เร็วที่สุด ไม่ให้ถูกตัดขาดการเดินทาง ส่วนที่มีการพูดถึงรถฉีดอากาศ ที่จริงเรียกว่ารถอัดอากาศ ซึ่งเราไม่เคยมี แต่ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีใช้ในการกู้ภัย เพราะใช้เติมอากาศให้ผู้ประสบภัยกรณีเกิดเหตุในพื้นที่ที่จำกัด อาทิ เหตุการณ์เหมืองถล่ม อาคารถล่ม
พล.อ.
อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการดับเพลิงนั้นที่ผ่านมา ประเทศเรามีเหตุการณ์ไฟป่า และไฟไหม้ในเมืองหรืออาคาร โดยรถดับเพลิงที่ฉีดน้ำได้สูงที่สุดสามารถฉีดน้ำได้ 20 ชั้น แต่อาคารในกรุงเทพฯหลายแห่งมีความสูงถึงร้อยชั้น จึงทำให้รถดับเพลิงที่มีอยู่ไม่สามารถดับเพลิงกรณีเกิดเหตุไฟไหม้ในพื้นที่ที่สูงเกิน 20 ชั้น และถ้าเป็นเหตุไฟไหม้ตึกสูงในต่างจังหวัด ก็ต้องยืมรถดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไปใช้
ส่วนเฮลิคอปเตอร์ที่จะมีการจัดซื้อนั้น เป็นเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยทำได้ทั้งการขนน้ำไปเทดับไฟ และยังมีเครื่องฉีดน้ำเข้าไปดับเพลิงในตึก ซึ่งเราไม่เคยมีเป็นของตัวเอง โดยที่ผ่านมา เราต้องไปขอยืมเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพ แต่เฮลิคอปเตอร์นั้นใช้การหิ้วน้ำไปดับไฟ เพราะไม่ได้ติดตั้งเครื่องฉีดน้ำ ซึ่งในต่างประเทศ การบรรเทาสาธารณภัยต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายพลเรือน ไม่ใช่ไปขอยืมจากกองทัพมาใช้ เราจึงต้องเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวเพื่อให้การบรรเทาสาธารณภัยของเราเป็นไปตามมาตรฐานสากล
รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ตนเชื่อว่าส.ส.ของจังหวัดในภาคเหนือรู้ดีว่าการขอยืมเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพมาใช้ดับไฟ ทำได้แค่หิ้วน้ำมาดับไฟ แต่ไม่ตรงเป้าหมาย กระทรวงมหาดไทยพยายามใช้บประมาณให้ประหยัดที่สุดในการจัดซื้ออุปกรณ์กู้ภัย การที่เราขอซื้อเฮลิคอปเตอร์นี้หลายลำไม่ได้ทำเพื่อตั้งเป็นกองบิน การจะซื้อ 6 ลำก็เพราะต้องมีไว้สลับการใช้งานกรณีที่ต้องมีการซ่อมบำรุง และจะช่วยให้การเข้าไปดับไฟเป็นระลอกทำได้สะดวก อีกทั้งสามาถใช้ดับไฟบนเขาได้ ส่วนบริษัทใดจะชนะการประมูลนั้น เป็นเรื่องของปภ.พิจารณา ถ้าอยากได้ของดีก็ย่อมมีราคาสูง
“เรื่องการจัดซื้อจะมีความโปร่งใสหรือไม่นั้น ผมยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี ส.ส. หรือท้องถิ่น ถ้าใครทำผิดก็ต้องโดนกฎหมาย มีคุกรออยู่ จึงควรทำให้ประชาชนมั่นใจในกระบวนการนี้ ไม่ใช่ไปพูดให้ประชาชนรู้สิ้นหวังว่ามีแต่คนโกงทำอะไรก็ได้ ทั้งที่มีศาลอยู่ ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่ามีผู้ใหญ่นายโตทั้งหลายมีคดีทั้งนั้น หนีกันก็เยอะ คงไม่ต้องงพูดอะไร ขอให้เป็นไปตามนั้น ถ้าบริษัทที่เขาได้ ได้ตามกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรแปลก ส่วนรถปิกอัพถ้ามีคุณนายไปนั่ง ทำผิดกฎหมาย ก็ว่ามา นายอำเภอ ผู้ว่าฯคนไหนทำอย่างนั้น เราก็จะได้เอาออกไป แล้วคนอื่นมาเป็น จึงขอยืนยันว่างบประมาณดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทยเป็นสิ่งจำเป็น” พล.อ.
อนุพงษ์ กล่าว
“จิรายุ” อัด “อุตตม”แจงอภิปรายเหมือนไม่อยากทำงาน
https://www.innnews.co.th/politics/news_713886/
นาย
จิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ สส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการอภิปรายงบประมาณปี 64 ว่าการชี้แจงของรัฐมนตรีโดยเฉพาะกระทรวงการคลังนั้นดูเหมือนจะตอบแบบไม่มีกะจิตกะใจในการทำงาน เพราะดูแล้วรัฐบาลทำงบฯแบบฝันหวาน ทั้งๆ ที่ไม่สามารถกำหนดฝันได้เพราะปัจจัยลบเต็มไปหมด
นอกจากนี้จากการอภิปรายของ ฝ่ายค้าน เจาะตรงเป้า เข้าทุกดอก ตอกทุกประเด็น แต่รัฐมนตรีหลายคนก็ตอบแบบ รักษากระทรวงของตนเองไว้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีพรรคร่วมเห็นได้ชัดว่า ไม่ใส่ใจภาพรวมการจัดทำงบประมาณ ไม่ช่วยอธิบายแทนนายกรัฐมนตรีที่โดนจัดเต็มอยู่คนเดียว
พร้อมกันนี้ นาย
จิรายุ กล่าวอีกว่า 7 ปีมานี้ทำให้เห็นความอันตรายของการจัดทำงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายของประเทศ เพราะหากจัดทำแบบสุรุ่ยสุร่ายชุดความคิดเดิมๆ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศที่สุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว ถึงขั้นล้มละลายได้และอาจต้องใช้บริการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF ได้
วันนี้ฝ่ายค้านเป็นห่วงแนวคิด และฝีมือบริหารประเทศ ที่ยังไม่เห็นน้ำยาในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลมากว่า 7 ปี ตนขอเตือนประชาชนว่าปี 2564 ถึง 2565 จะเป็นช่วงที่น่าจับตา และต้องประครองตนเองอย่างยิ่ง เพราะจากการกู้เงินของรัฐบาลจะมีสูงถึง 58% ไปแล้วซึ่งเหลืออีกเพียง 2% ก็จะเต็มวงเงินในการกู้ และยิ่งเห็นการจะทำงบประมาณซึ่งไม่ได้สนับสนุนเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจนักในปีนี้ และปีต่อไปก็จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถกู้เงินได้อีกต่อไป ซึ่งตั้งแต่สยามประเทศ ปี 2475 มาจนปี 2557 มีนายก 28 คน กู้เงินรวมกันแค่ 2.295 ลล.บาท แต่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี คนนี้คนเดียวจัดเต็ม กู้มากกว่า นายกฯ 28 คน ถึง 3.825 ลล.บ.
นาย
จิรายุ ยังกล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจ ว่า รัฐบาลคาดการณ์ปี 64 เศรษฐกิจจะโตประมาณ 5% แต่ยังมีความไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูง เป็นการประเมินเข้าข้างตัวเองเกินไป แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย กลับออกมาเตือนอีกทางว่า อาจจะติดลบถึง 8.1% เสียด้วยซ้ำ ต้องรีบบอกประชาชนว่าอย่าได้นิ่งนอนใจ เตรียมตัวรับมือ ให้ดีเพราะอาจจะเกิดสึนามิ ทางเศรษฐกิจอาจคล้ายกับหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะข้าราชการทั้งประเทศ อาจ ตกงานกว่าครึ่ง เพราะมีตัวอย่างแล้วในช่วงที่ประเทศไม่มีเงินและไม่สามารถกู้ได้ ต้องลดรายจ่ายประจำ ในยุคนั้นก็จะใช้ “
ดุลข้าราชการ” นั่นก็คือการเลิกจ้าง ลดองค์กรของรัฐ ทหารลดกำลังพล
เพราะหากปี 64-65 รัฐบาล พล.อ.
ประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และยังจัดทำงบประมาณ แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ประเภทขอ “
นอนก่อน..ฉันจะขอฝันดี” ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะขาดดุลงบประมาณแล้ว ก็จะไม่สามารถกู้ได้อีกแล้ว ก็จะต้องไปลดงบประมาณรายจ่ายเพื่อให้เป็นไปตามกรอบ วินัยการเงินการคลัง ที่ต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนไม่น้อยกว่า 20% เพราะฉะนั้นอยากให้ นายกรัฐมนตรีฟังประชาชนบ้างวันนี้ ชาวบ้านพูดกันเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า “วันนี้ผู้ติดเชื้อไม่มี แต่ผู้เป็นหนี้ มีเต็มบ้านเต็มเมือง”
เพราะฉะนั้นไม่แปลก ที่รัฐบาลของ พล.อ.
ประยุทธ์ที่ได้รับฉายา
“นักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำการก่อหนี้ และยังเป็นผู้จัดงาน มหกรรมก่อหนี้แห่งชาติ” ด้วยงบประมาณ 2564 นี้อีก
JJNY : พท.ฉะมท.ซื้อรถหลวง คุณนายใช้ ป๊อกแจงวุ่น/อัดอุตตม อภิปรายเหมือนไม่อยากทำงาน/พิจิตรแล้งต่อเนื่อง/คาดศก.ติดลบ8-10%
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4434295
เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 วงงิน 3,300,000,000,000 บาท เป็นวันที่ 3
นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า วันนี้ตนไม่มีความหวังกับครม. แต่มีความหวังที่ส.ส.ทำงานอย่างเข้มแข็ง ตนนอนตาหลับแล้ว แแต่การจัดทำงบปี 64 เป็นงบที่ตกยุค เป็นการตั้งงบแบบเพ้อฝัน เพราะการจัดเก็บภาษีไม่มีทางได้เลย เพราะภาวะขณะนี้ ท่านไปล็อกดาวน์ประเทศ ชาวบ้านเดือดร้อนหมด บริษัทไม่มีเงินเสียภาษี
ตอนนี้ไม่ต้องคิดว่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขอให้ประชาชนประครองชีวิตให้รอดก็ลำบาก โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย เรื่องที่ไม่ควรใช้งบประมาณโดยขอให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ใช้ความกล้าหาญในการตัดงบบางตัวของกระทรวงมหาดไทย เช่น ศาลากลาง ศูนย์ราชการ ที่ว่าการ เพื่อเอาไปใช้อย่างอื่นได้
นายวิสาร อภิปรายต่อว่า โครงการสะพานแบลีย์จำเป็นต้องใช้หรือไม่ ถ้าเทียบประเทศไทยเป็นคนป่วยก็อยู่ในขั้นโคม่า มะเร็งระดับ 4 หรือการจัดซื้อรถฉีดน้ำ รถกู้ภัย รถไฮโดลิค รถเอนกประสงค์ ที่สำคัญรถผลิตอากาศ 6 พันคัน จำนวนหลายร้อยล้านบาท ปรากฎว่าเกิดเหตุ หมูป่าติดถ้ำที่ขุนน้ำนางนอน เมื่อ 2 ปีที่แล้วแต่ก็หาเรื่องซื้อ ดังนั้นขอให้ยกเลิก เพราะเป็นงบปี 64 รวมถึงหลังคาโค้งไร้โครงสร้าง ตัวละ 10 กว่าล้านบาท จึงขอให้ยกเลิก แล้วเอางบเหล่านี้ไปเป็นอาหารให้กับคนจนดีกว่า
นอกจากนั้นโครงการไฟป่าเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลชุดนี้ตั้งไว้ แต่ไม่สำเร็จ การดับไฟป้าวิธีการง่ายๆชาวบ้านเขาใช้เครื่องพ้นยา และเขาต้องการเฉพาะเครื่องเป่าลมสำหรับทำแนวกันไฟ แต่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) จัดดซื้อเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ มูลค่า 1,800 ล้านบาท ขอถามว่า ปภ. เป็นกองทัพหรือ จำเป็นต้องมีฝูงบินหรือ เรามีเครื่องบินปีกหมุน 300 กว่าลำ สามารถเอามาใช้ได้ ซึ่งปี 2562-2565 จะจัดซื้ออีก 6 ลำ ขณะนี้เหลืออีก 4 ลำ ขอให้ยกเลิก เพราะไม่จำเป็น ที่สำคัญมีข่าวว่าถูกสั่งการจาก “ผู้มีอิทธิพลจากส่าวนกลาง” โดยบริษัทที่ได้คือ บริษัทดาต้าเกต ซึ่งเป็นบริหารค่าอาวุธ ยุโธปกรณ์ ตั้งแต่สมัยพล.อ.อนุพงษ์เป็นผบ.ทบ.จำนวนหลายพ้นล้านบาท ดังนั้นการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ถือว่าเกินความจำเป็น ในภาวะวิกฤตอย่างนี้ ตนว่าประเทศไทยต้องใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ที่สำคัญรถปิกอัพบางคัน กรมการปกครองซื้อไปให้กองอาสารักษาดินแดน (อส.) ใช้ทุกที่และมีการล็อกสเป๊กและเป็นที่รู้กันว่าเอายี่ห้ออะไร และเขาบอกว่าอส.ไม่ได้นั่ง มีแต่นาย แต่นายนั่งยังไม่เท่าไหร่ แต่มีคุณนายไปใช้ด้วย ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ จึงขอให้ยกเลิกงบเหล่านี้ แล้วเอามาใช้ที่จำเป็น และในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ แก้ไขปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม รวบอำนาจ ทำลายศักยภาพ เกียรติภูมิขอองประเทศไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในปะวัติศาสตร์ และขอเรียกงบฉบับนี้ว่า ฉบับเพ้อฝัน ผลาญงบ จบด้วยโควิด ซึ่งนายกฯจะจบไปก่อนหรือคนไทยจะจบไปก่อน” นายวิสารกล่าว
ด้านพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงว่า การจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนั้น ทุกจังหวัดมมีความสำคัญ เมื่อเกิดภัยพิบัติใดก็ตาม เราไม่สามารถเครื่องมือและอุปกรณ์ให้ทุกจังหวัดได้ ปภ.จึงจัดตั้งศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต รวม 18 เขตทั่วประเทศ โดยให้จังหวัดที่อยู่ในแต่ละเขตใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆร่วมกัน ขณะที่การจัดซื้ออุปกรณ์ก็ทำเท่าที่จำเป็น และพยาายามรวมกันใช้อุปกรณ์ให้ประหยัดที่สุด
ส่วนที่มีการอภิปรายถึงเรื่องสะพานแบรลีย์นั้น ตนขอชี้แจงว่าสะพานดังกล่าวเป็นสะพานเหล็กที่ให้ประชาชนใช้ชั่วคราวในกรณีเกิดเหตุสะพานถูกตัดขาด ซึ่งจะใช้งานนานพอสมควร เพราะจะถอนออกได้ต่อเมื่อมีงบประมาณมาสร้างสะพานใหม่ ดังนั้นตนถือว่าสะพานแบลีย์มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี เพราะต้องดำเนินการให้ประชาชนสามารถสัญจรได้เร็วที่สุด ไม่ให้ถูกตัดขาดการเดินทาง ส่วนที่มีการพูดถึงรถฉีดอากาศ ที่จริงเรียกว่ารถอัดอากาศ ซึ่งเราไม่เคยมี แต่ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีใช้ในการกู้ภัย เพราะใช้เติมอากาศให้ผู้ประสบภัยกรณีเกิดเหตุในพื้นที่ที่จำกัด อาทิ เหตุการณ์เหมืองถล่ม อาคารถล่ม
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการดับเพลิงนั้นที่ผ่านมา ประเทศเรามีเหตุการณ์ไฟป่า และไฟไหม้ในเมืองหรืออาคาร โดยรถดับเพลิงที่ฉีดน้ำได้สูงที่สุดสามารถฉีดน้ำได้ 20 ชั้น แต่อาคารในกรุงเทพฯหลายแห่งมีความสูงถึงร้อยชั้น จึงทำให้รถดับเพลิงที่มีอยู่ไม่สามารถดับเพลิงกรณีเกิดเหตุไฟไหม้ในพื้นที่ที่สูงเกิน 20 ชั้น และถ้าเป็นเหตุไฟไหม้ตึกสูงในต่างจังหวัด ก็ต้องยืมรถดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไปใช้
ส่วนเฮลิคอปเตอร์ที่จะมีการจัดซื้อนั้น เป็นเฮลิคอปเตอร์กู้ภัยทำได้ทั้งการขนน้ำไปเทดับไฟ และยังมีเครื่องฉีดน้ำเข้าไปดับเพลิงในตึก ซึ่งเราไม่เคยมีเป็นของตัวเอง โดยที่ผ่านมา เราต้องไปขอยืมเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพ แต่เฮลิคอปเตอร์นั้นใช้การหิ้วน้ำไปดับไฟ เพราะไม่ได้ติดตั้งเครื่องฉีดน้ำ ซึ่งในต่างประเทศ การบรรเทาสาธารณภัยต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ของฝ่ายพลเรือน ไม่ใช่ไปขอยืมจากกองทัพมาใช้ เราจึงต้องเฮลิคอปเตอร์ดังกล่าวเพื่อให้การบรรเทาสาธารณภัยของเราเป็นไปตามมาตรฐานสากล
รมว.มหาดไทย กล่าวว่า ตนเชื่อว่าส.ส.ของจังหวัดในภาคเหนือรู้ดีว่าการขอยืมเฮลิคอปเตอร์จากกองทัพมาใช้ดับไฟ ทำได้แค่หิ้วน้ำมาดับไฟ แต่ไม่ตรงเป้าหมาย กระทรวงมหาดไทยพยายามใช้บประมาณให้ประหยัดที่สุดในการจัดซื้ออุปกรณ์กู้ภัย การที่เราขอซื้อเฮลิคอปเตอร์นี้หลายลำไม่ได้ทำเพื่อตั้งเป็นกองบิน การจะซื้อ 6 ลำก็เพราะต้องมีไว้สลับการใช้งานกรณีที่ต้องมีการซ่อมบำรุง และจะช่วยให้การเข้าไปดับไฟเป็นระลอกทำได้สะดวก อีกทั้งสามาถใช้ดับไฟบนเขาได้ ส่วนบริษัทใดจะชนะการประมูลนั้น เป็นเรื่องของปภ.พิจารณา ถ้าอยากได้ของดีก็ย่อมมีราคาสูง
“เรื่องการจัดซื้อจะมีความโปร่งใสหรือไม่นั้น ผมยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี ส.ส. หรือท้องถิ่น ถ้าใครทำผิดก็ต้องโดนกฎหมาย มีคุกรออยู่ จึงควรทำให้ประชาชนมั่นใจในกระบวนการนี้ ไม่ใช่ไปพูดให้ประชาชนรู้สิ้นหวังว่ามีแต่คนโกงทำอะไรก็ได้ ทั้งที่มีศาลอยู่ ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่ามีผู้ใหญ่นายโตทั้งหลายมีคดีทั้งนั้น หนีกันก็เยอะ คงไม่ต้องงพูดอะไร ขอให้เป็นไปตามนั้น ถ้าบริษัทที่เขาได้ ได้ตามกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรแปลก ส่วนรถปิกอัพถ้ามีคุณนายไปนั่ง ทำผิดกฎหมาย ก็ว่ามา นายอำเภอ ผู้ว่าฯคนไหนทำอย่างนั้น เราก็จะได้เอาออกไป แล้วคนอื่นมาเป็น จึงขอยืนยันว่างบประมาณดังกล่าวของกระทรวงมหาดไทยเป็นสิ่งจำเป็น” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
“จิรายุ” อัด “อุตตม”แจงอภิปรายเหมือนไม่อยากทำงาน
https://www.innnews.co.th/politics/news_713886/
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และ สส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการอภิปรายงบประมาณปี 64 ว่าการชี้แจงของรัฐมนตรีโดยเฉพาะกระทรวงการคลังนั้นดูเหมือนจะตอบแบบไม่มีกะจิตกะใจในการทำงาน เพราะดูแล้วรัฐบาลทำงบฯแบบฝันหวาน ทั้งๆ ที่ไม่สามารถกำหนดฝันได้เพราะปัจจัยลบเต็มไปหมด
นอกจากนี้จากการอภิปรายของ ฝ่ายค้าน เจาะตรงเป้า เข้าทุกดอก ตอกทุกประเด็น แต่รัฐมนตรีหลายคนก็ตอบแบบ รักษากระทรวงของตนเองไว้ โดยเฉพาะรัฐมนตรีพรรคร่วมเห็นได้ชัดว่า ไม่ใส่ใจภาพรวมการจัดทำงบประมาณ ไม่ช่วยอธิบายแทนนายกรัฐมนตรีที่โดนจัดเต็มอยู่คนเดียว
พร้อมกันนี้ นายจิรายุ กล่าวอีกว่า 7 ปีมานี้ทำให้เห็นความอันตรายของการจัดทำงบประมาณ ซึ่งถือว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายของประเทศ เพราะหากจัดทำแบบสุรุ่ยสุร่ายชุดความคิดเดิมๆ ก็จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศที่สุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว ถึงขั้นล้มละลายได้และอาจต้องใช้บริการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF ได้
วันนี้ฝ่ายค้านเป็นห่วงแนวคิด และฝีมือบริหารประเทศ ที่ยังไม่เห็นน้ำยาในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลมากว่า 7 ปี ตนขอเตือนประชาชนว่าปี 2564 ถึง 2565 จะเป็นช่วงที่น่าจับตา และต้องประครองตนเองอย่างยิ่ง เพราะจากการกู้เงินของรัฐบาลจะมีสูงถึง 58% ไปแล้วซึ่งเหลืออีกเพียง 2% ก็จะเต็มวงเงินในการกู้ และยิ่งเห็นการจะทำงบประมาณซึ่งไม่ได้สนับสนุนเพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจนักในปีนี้ และปีต่อไปก็จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถกู้เงินได้อีกต่อไป ซึ่งตั้งแต่สยามประเทศ ปี 2475 มาจนปี 2557 มีนายก 28 คน กู้เงินรวมกันแค่ 2.295 ลล.บาท แต่ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี คนนี้คนเดียวจัดเต็ม กู้มากกว่า นายกฯ 28 คน ถึง 3.825 ลล.บ.
นายจิรายุ ยังกล่าวถึงปัญหาเศรษฐกิจ ว่า รัฐบาลคาดการณ์ปี 64 เศรษฐกิจจะโตประมาณ 5% แต่ยังมีความไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูง เป็นการประเมินเข้าข้างตัวเองเกินไป แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย กลับออกมาเตือนอีกทางว่า อาจจะติดลบถึง 8.1% เสียด้วยซ้ำ ต้องรีบบอกประชาชนว่าอย่าได้นิ่งนอนใจ เตรียมตัวรับมือ ให้ดีเพราะอาจจะเกิดสึนามิ ทางเศรษฐกิจอาจคล้ายกับหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะข้าราชการทั้งประเทศ อาจ ตกงานกว่าครึ่ง เพราะมีตัวอย่างแล้วในช่วงที่ประเทศไม่มีเงินและไม่สามารถกู้ได้ ต้องลดรายจ่ายประจำ ในยุคนั้นก็จะใช้ “ดุลข้าราชการ” นั่นก็คือการเลิกจ้าง ลดองค์กรของรัฐ ทหารลดกำลังพล
เพราะหากปี 64-65 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ และยังจัดทำงบประมาณ แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ประเภทขอ “นอนก่อน..ฉันจะขอฝันดี” ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะขาดดุลงบประมาณแล้ว ก็จะไม่สามารถกู้ได้อีกแล้ว ก็จะต้องไปลดงบประมาณรายจ่ายเพื่อให้เป็นไปตามกรอบ วินัยการเงินการคลัง ที่ต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อการลงทุนไม่น้อยกว่า 20% เพราะฉะนั้นอยากให้ นายกรัฐมนตรีฟังประชาชนบ้างวันนี้ ชาวบ้านพูดกันเป็นเสียงเดียวกันแล้วว่า “วันนี้ผู้ติดเชื้อไม่มี แต่ผู้เป็นหนี้ มีเต็มบ้านเต็มเมือง”
เพราะฉะนั้นไม่แปลก ที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ได้รับฉายา “นักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา บิดาแห่งความเหลื่อมล้ำ ผู้นำการก่อหนี้ และยังเป็นผู้จัดงาน มหกรรมก่อหนี้แห่งชาติ” ด้วยงบประมาณ 2564 นี้อีก