Future Tense: ฝึกเป็นคุณในอนาคต
.
เมื่อแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดมันไม่เพียงพอต่อไปแล้ว
.
ความฝันของคุณคืออะไร ?
.
เชื่อเหลือเกินว่าลึก ๆ แล้วทุกคนล้วนมีความฝัน ทุกคนล้วนมีเป้าหมายสำคัญที่ตัวเองกำลังไขว่คว้า หลายคนอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น หลายคนอยากเป็นผู้บริหาร หลายคนอยากไปเที่ยวรอบโลก คำถามถัดมาคือ “แล้ววันนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่”
.
ขึ้นชื่อว่าความฝันหรือเป้าหมายในชีวิต สิ่งที่ตามมาควบคู่กันคือความยาก ความท้าทาย และความห่างไกล “ก็ในเมื่อมันเป็นเป้าหมายของชีวิต มันก็คงไม่ได้อยู่ใกล้แบบพรุ่งนี้ตื่นมาเราก็ไปถึง” การเดินทางสู่เป้าหมายคงไม่ได้ง่ายดายและรวดเร็วแบบในหนังสือ ชีวิตจริงคุณต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบ และความทุ่มเทที่สม่ำเสมอ ซึ่งสม่ำเสมอในที่นี้อาจจะไม่ใช่ปีหรือ 2 ปี แต่อาจจะเป็น 10 ปีหรือมากกว่านั้น
.
จากพนักงานเงินเดือนคงไม่ได้ใช้เวลาเพียงข้ามปีเพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้บริหาร จากฟรีแลนซ์ธรรมดาคงไม่สามารถมีเงินเพื่อเที่ยวรอบโลกได้ในระยะเวลาอันสั้น หากคุณไม่รู้จักแพชชั่นของตัวเองดีพอ และ ไม่ได้เข้าใจถึงความสามารถที่ตัวเองมีอย่างครบถ้วน การก้าวไปถึงจุดนั้นคงยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาเอเวอร์เรส
.
เพราะความยุ่งยากเหล่านี้เอง ผู้คนจึงมักหลงลืม(หรือเลือกที่จะมองข้าม)สิ่งที่อยู่ตรงหน้า และหันมาให้คุณค่ากับสิ่งที่มีในปัจจุบัน “ก็วันนี้มันมีความสุขมากกว่า แล้วจะคิดถึงวันข้างหน้าเพื่ออะไร”
.
ใครหลายคนมักพร่ำบอกเราว่า “เราควรมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน” (This moment is here and now for you to live, Ralph Marton) ดังนั้นอย่าไปคิดถึงอนาคตให้มากนัก กังวลไปก็เครียดเปล่า ๆ เอนจอยกับชีวิตตรงหน้าสิ
.
การคิดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมีความสุขกับสิ่งที่มี ที่เป็น ก็เป็นภาวะอันน่ายินดี แต่การมองโลกเช่นนี้ ก็อาจทำให้เรามีความสุขเพียงวันนี้ แล้วต้องมานั่งเสียดายทีหลัง เมื่อความฝันที่เราเคยมีมันไม่เกิดขึ้นจริง เพราะเราไม่ยอมไขว้คว้ามันไว้ในวันที่ยังมีโอกาส
.
หลายคนเข้าสู่โลกของการทำงานเพื่อทำตามความฝัน แต่โลกแห่งทุนนิยมกำลังมอมเมาให้เราหลงทาง ปริมาณงานอันมหาศาล สวนทางกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เราต้องเลือกโฟกัสแค่งานตรงหน้า ทำให้เสร็จ ส่งให้ทัน ทำปัจจุบันให้ดี จนบางทีเราเผลอลืมไปด้วยซ้ำว่าเราทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร...
.
ดังนั้นเราอยู่กับปัจจุบันได้ แต่เราต้องอยู่เพื่ออนาคตด้วย การทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ก็เพื่ออนาคตที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ แต่เราจะไม่รู้เลยว่าเราควรสร้างสรรค์ปัจจุบันอย่างไร หากเราวาดภาพตัวเองในอนาคตไว้ แต่กลับหลงลืม
.
“ถ้าคุณอยากเป็นคนแบบไหน คุณก็ต้องฝึกเพื่อให้ได้เป็นคนแบบนั้น” เป็นสัจนิรันดร์อันไม่สามารถโต้แย้งได้ 27 ปีก่อนวิชญาณี เปียกลิ่น เป็นเพียงเด็กผู้หญิงวัย 3 ขวบที่ชื่นชอบการร้องเพลงเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป แต่ที่ต่างคือเธอมีภาพอนาคตที่ชัดเจนว่าอยากจะเป็นนักร้องที่ใช้เสียงของตัวเองเพื่อสร้างความสุขให้ผู้ฟัง เธอฝึกฝนการร้องเพลงผ่านเวทีประกวดต่าง ๆ โดยไม่เคยลืมว่าทั้งหมดนี้เพื่อเป้าหมายใด กระทั่งมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินคุณภาพหลังชนะเลิศรายการ The Star ค้นฟ้าคว้าดาวปีที่ 4
.
วันนี้เธอเป็นที่รู้จักในชื่อ แก้ม เดอะสตาร์ เจ้าแม่ดีว่าเมืองไทย ที่โด่งดังไกลถึงขั้นได้ไปจับไมค์ร้องเพลงบนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ปีล่าสุด
.
พรสวรรค์อย่างเดียวคงไม่ช่วย คงต้องเสริมด้วยพรแสวง แต่ทั้งสองสิ่งก็ยังไม่เพียงพอ หากแก้ม เดอะสตาร์เผลอลืมความฝันที่ตัวเองเคยมี เธออยากเป็นนักร้อง เธอทุ่มเทเพื่อเป้าหมายนั้น และเธอได้มันมาครอง
.
แน่นอนอนาคตเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ แต่หากเราตั้งเป้าหมาย แล้วพุ่งตรงไปตามเส้นทางนั้น การเดินทางย่อมทำได้ง่ายกว่า การที่คุณต่อสู้เพื่ออนาคตทั้งที่ไม่มีแผนสำหรับอนาคตไม่ต่างอะไรกับการวิ่งบนสายพานที่คุณวิ่งไปเรื่อย ๆ เหนื่อยไปเรื่อย ๆ แต่ยังย่ำอยู่กับที่ จะดีกว่ามั้ยถ้าคุณลงจากสายพานซะ เตือนตัวเองว่าเป้าหมายของคุณอยู่ที่ไหน แล้วก้าวเท้าตรงไปยังปลายทางที่คุณใฝ่ฝัน คุณจะไม่ต้องเสียเวลา แรงกาย แรงใจหรือเงินทองเกินจำเป็นแม้แต่แดงเดียว
.
ดังที่คนกล่าวไว้ว่า งานยุ่งไม่เท่ากับงานมีประสิทธิภาพ (Busy people are not productive people) หากคุณวาดฝันอนาคตที่ประสบความสำเร็จเสร็จสิ้น คุณก็ต้องฝึกฝนอย่างถูกวิธี ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระบบ การที่คุณยุ่งไม่ได้บ่งบอกว่าคุณเป็นคนขยัน แต่มันคือสิ่งที่ย้ำเตือนว่าคุณกำลังหลงทางจากเป้าหมายที่คุณวางไว้หรือการจัดการขีวิตของคุณยังไม่ดีพอ
.
3 สิ่งชี้วัดง่าย ๆ ว่าวันนี้คุณเป็น Productive person ที่กำลังจะมี Desired future แล้วหรือยัง
.
1. โฟกัสที่ภาพรวม
หากคุณยังมองเห็นภาพอนาคตที่ชัดเจน การทำงานที่มีประสิทธิภาพจะโฟกัสที่ภาพรวมอันหมายถึงเป้าหมายของงาน แต่หากคุณหลงลืมความฝันหรือยังมีเป้าหมายที่คลุมเครือ คุณจะเสียเวลาไปกับการสังเกตทุกรายละเอียด จนทำให้คุณกลายเป็นคนยุ่ง(Busy person) ที่ไม่ได้สร้างงานที่มีประสิทธิภาพเลยแม้แต่น้อย
.
2. ทบทวน 2 ครั้งก่อนทำ
เมื่อคุณมีภาพอนาคตที่ตัวเองต้องการ ทุกการตัดสินใจย่อมสำคัญ การถามตัวเองก่อนทำอย่างน้อย 2 ครั้งก็เพื่อย้ำว่าสิ่งที่เราจะทำ จะช่วยเติมเต็มให้ภาพอนาคตของเราสมบูรณ์ขึ้นใช่หรือไม่ กลับกันคนที่ไร้ภาพอนาคตก็จะตัดสินใจอะไรโดยไม่คิดมาก เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำตรงหน้าจะมีผลอย่างไรกับอนาคตของตัวเอง
.
3. รู้จักปฏิเสธ
คนที่ Productive ย่อมตระหนักดีว่า การทำงานที่มากเกินไปย่อมลดทอนศักยภาพของงานแต่ละชิ้น ดังนั้นเขาจะตัดสินใจปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็นกับชีวิตออกไป เพื่อให้งานที่เขา “จำเป็น” ต้องทำจริง ๆ ออกมาดีที่สุด ในขณะที่กลุ่มคนยุ่งจะรับทำทุกข้อเสนอ เพราะหลงคิดว่าการทำงานที่มากกว่าจะนำไปสู่โอกาสที่ดีกว่าในทุกครั้ง
.
การเป็นคนขยันเป็นสิ่งที่ดี แต่ขยันกับทำงานจนกลายเป็นคนยุ่งนั้นต่างกัน เราควรขยันและทุ่มเททำงานอย่างมีเป้าหมาย อย่าทำทุกอย่างโดยไม่คิด สุดท้ายผลลัพธ์ก็แย่นัก เวลาพักก็เหลือน้อย กลายเป็นคนยุ่งที่น่าสงสาร
.
แม้เส้นทางสู่เป้าหมายของชีวิตอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่หากคุณถอยออกมามองภาพกว้าง ถามตัวเองอีกครั้งว่าความต้องการของเราอยู่ที่ไหน วางแผนอนาคตของตัวเองให้ชัด แล้วลงมือฝึกฝนเพื่อเป้าหมายนั้น คุณจะไม่ต้องเหนื่อยกับสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตอีกต่อไป
.
เมื่อภาพอนาคตของคุณแจ่มชัด ภาพการทำงานของคุณในปัจจุบันก็จะ Productive ตาม แม้สุดท้ายคุณจะโชคร้ายเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่เชื่อว่าคุณจะไม่เสียดาย ไม่หลงทาง และก็คงได้เข้าใกล้ความฝันของตัวเองมากที่สุด ลงจากสายพาน แล้ววิ่งตรงไปยังเป้าหมายของคุณซะ
ฝึกเป็นคุณในอนาคต
.
เมื่อแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดมันไม่เพียงพอต่อไปแล้ว
.
ความฝันของคุณคืออะไร ?
.
เชื่อเหลือเกินว่าลึก ๆ แล้วทุกคนล้วนมีความฝัน ทุกคนล้วนมีเป้าหมายสำคัญที่ตัวเองกำลังไขว่คว้า หลายคนอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น หลายคนอยากเป็นผู้บริหาร หลายคนอยากไปเที่ยวรอบโลก คำถามถัดมาคือ “แล้ววันนี้คุณกำลังทำอะไรอยู่”
.
ขึ้นชื่อว่าความฝันหรือเป้าหมายในชีวิต สิ่งที่ตามมาควบคู่กันคือความยาก ความท้าทาย และความห่างไกล “ก็ในเมื่อมันเป็นเป้าหมายของชีวิต มันก็คงไม่ได้อยู่ใกล้แบบพรุ่งนี้ตื่นมาเราก็ไปถึง” การเดินทางสู่เป้าหมายคงไม่ได้ง่ายดายและรวดเร็วแบบในหนังสือ ชีวิตจริงคุณต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบ และความทุ่มเทที่สม่ำเสมอ ซึ่งสม่ำเสมอในที่นี้อาจจะไม่ใช่ปีหรือ 2 ปี แต่อาจจะเป็น 10 ปีหรือมากกว่านั้น
.
จากพนักงานเงินเดือนคงไม่ได้ใช้เวลาเพียงข้ามปีเพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้บริหาร จากฟรีแลนซ์ธรรมดาคงไม่สามารถมีเงินเพื่อเที่ยวรอบโลกได้ในระยะเวลาอันสั้น หากคุณไม่รู้จักแพชชั่นของตัวเองดีพอ และ ไม่ได้เข้าใจถึงความสามารถที่ตัวเองมีอย่างครบถ้วน การก้าวไปถึงจุดนั้นคงยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาเอเวอร์เรส
.
เพราะความยุ่งยากเหล่านี้เอง ผู้คนจึงมักหลงลืม(หรือเลือกที่จะมองข้าม)สิ่งที่อยู่ตรงหน้า และหันมาให้คุณค่ากับสิ่งที่มีในปัจจุบัน “ก็วันนี้มันมีความสุขมากกว่า แล้วจะคิดถึงวันข้างหน้าเพื่ออะไร”
.
ใครหลายคนมักพร่ำบอกเราว่า “เราควรมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน” (This moment is here and now for you to live, Ralph Marton) ดังนั้นอย่าไปคิดถึงอนาคตให้มากนัก กังวลไปก็เครียดเปล่า ๆ เอนจอยกับชีวิตตรงหน้าสิ
.
การคิดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมีความสุขกับสิ่งที่มี ที่เป็น ก็เป็นภาวะอันน่ายินดี แต่การมองโลกเช่นนี้ ก็อาจทำให้เรามีความสุขเพียงวันนี้ แล้วต้องมานั่งเสียดายทีหลัง เมื่อความฝันที่เราเคยมีมันไม่เกิดขึ้นจริง เพราะเราไม่ยอมไขว้คว้ามันไว้ในวันที่ยังมีโอกาส
.
หลายคนเข้าสู่โลกของการทำงานเพื่อทำตามความฝัน แต่โลกแห่งทุนนิยมกำลังมอมเมาให้เราหลงทาง ปริมาณงานอันมหาศาล สวนทางกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เราต้องเลือกโฟกัสแค่งานตรงหน้า ทำให้เสร็จ ส่งให้ทัน ทำปัจจุบันให้ดี จนบางทีเราเผลอลืมไปด้วยซ้ำว่าเราทำทั้งหมดนี้เพื่ออะไร...
.
ดังนั้นเราอยู่กับปัจจุบันได้ แต่เราต้องอยู่เพื่ออนาคตด้วย การทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ก็เพื่ออนาคตที่ดีที่สุดไม่ใช่หรือ แต่เราจะไม่รู้เลยว่าเราควรสร้างสรรค์ปัจจุบันอย่างไร หากเราวาดภาพตัวเองในอนาคตไว้ แต่กลับหลงลืม
.
“ถ้าคุณอยากเป็นคนแบบไหน คุณก็ต้องฝึกเพื่อให้ได้เป็นคนแบบนั้น” เป็นสัจนิรันดร์อันไม่สามารถโต้แย้งได้ 27 ปีก่อนวิชญาณี เปียกลิ่น เป็นเพียงเด็กผู้หญิงวัย 3 ขวบที่ชื่นชอบการร้องเพลงเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป แต่ที่ต่างคือเธอมีภาพอนาคตที่ชัดเจนว่าอยากจะเป็นนักร้องที่ใช้เสียงของตัวเองเพื่อสร้างความสุขให้ผู้ฟัง เธอฝึกฝนการร้องเพลงผ่านเวทีประกวดต่าง ๆ โดยไม่เคยลืมว่าทั้งหมดนี้เพื่อเป้าหมายใด กระทั่งมีชื่อเสียงในฐานะศิลปินคุณภาพหลังชนะเลิศรายการ The Star ค้นฟ้าคว้าดาวปีที่ 4
.
วันนี้เธอเป็นที่รู้จักในชื่อ แก้ม เดอะสตาร์ เจ้าแม่ดีว่าเมืองไทย ที่โด่งดังไกลถึงขั้นได้ไปจับไมค์ร้องเพลงบนเวทีประกาศรางวัลออสการ์ปีล่าสุด
.
พรสวรรค์อย่างเดียวคงไม่ช่วย คงต้องเสริมด้วยพรแสวง แต่ทั้งสองสิ่งก็ยังไม่เพียงพอ หากแก้ม เดอะสตาร์เผลอลืมความฝันที่ตัวเองเคยมี เธออยากเป็นนักร้อง เธอทุ่มเทเพื่อเป้าหมายนั้น และเธอได้มันมาครอง
.
แน่นอนอนาคตเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ แต่หากเราตั้งเป้าหมาย แล้วพุ่งตรงไปตามเส้นทางนั้น การเดินทางย่อมทำได้ง่ายกว่า การที่คุณต่อสู้เพื่ออนาคตทั้งที่ไม่มีแผนสำหรับอนาคตไม่ต่างอะไรกับการวิ่งบนสายพานที่คุณวิ่งไปเรื่อย ๆ เหนื่อยไปเรื่อย ๆ แต่ยังย่ำอยู่กับที่ จะดีกว่ามั้ยถ้าคุณลงจากสายพานซะ เตือนตัวเองว่าเป้าหมายของคุณอยู่ที่ไหน แล้วก้าวเท้าตรงไปยังปลายทางที่คุณใฝ่ฝัน คุณจะไม่ต้องเสียเวลา แรงกาย แรงใจหรือเงินทองเกินจำเป็นแม้แต่แดงเดียว
.
ดังที่คนกล่าวไว้ว่า งานยุ่งไม่เท่ากับงานมีประสิทธิภาพ (Busy people are not productive people) หากคุณวาดฝันอนาคตที่ประสบความสำเร็จเสร็จสิ้น คุณก็ต้องฝึกฝนอย่างถูกวิธี ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระบบ การที่คุณยุ่งไม่ได้บ่งบอกว่าคุณเป็นคนขยัน แต่มันคือสิ่งที่ย้ำเตือนว่าคุณกำลังหลงทางจากเป้าหมายที่คุณวางไว้หรือการจัดการขีวิตของคุณยังไม่ดีพอ
.
3 สิ่งชี้วัดง่าย ๆ ว่าวันนี้คุณเป็น Productive person ที่กำลังจะมี Desired future แล้วหรือยัง
.
1. โฟกัสที่ภาพรวม
หากคุณยังมองเห็นภาพอนาคตที่ชัดเจน การทำงานที่มีประสิทธิภาพจะโฟกัสที่ภาพรวมอันหมายถึงเป้าหมายของงาน แต่หากคุณหลงลืมความฝันหรือยังมีเป้าหมายที่คลุมเครือ คุณจะเสียเวลาไปกับการสังเกตทุกรายละเอียด จนทำให้คุณกลายเป็นคนยุ่ง(Busy person) ที่ไม่ได้สร้างงานที่มีประสิทธิภาพเลยแม้แต่น้อย
.
2. ทบทวน 2 ครั้งก่อนทำ
เมื่อคุณมีภาพอนาคตที่ตัวเองต้องการ ทุกการตัดสินใจย่อมสำคัญ การถามตัวเองก่อนทำอย่างน้อย 2 ครั้งก็เพื่อย้ำว่าสิ่งที่เราจะทำ จะช่วยเติมเต็มให้ภาพอนาคตของเราสมบูรณ์ขึ้นใช่หรือไม่ กลับกันคนที่ไร้ภาพอนาคตก็จะตัดสินใจอะไรโดยไม่คิดมาก เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำตรงหน้าจะมีผลอย่างไรกับอนาคตของตัวเอง
.
3. รู้จักปฏิเสธ
คนที่ Productive ย่อมตระหนักดีว่า การทำงานที่มากเกินไปย่อมลดทอนศักยภาพของงานแต่ละชิ้น ดังนั้นเขาจะตัดสินใจปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็นกับชีวิตออกไป เพื่อให้งานที่เขา “จำเป็น” ต้องทำจริง ๆ ออกมาดีที่สุด ในขณะที่กลุ่มคนยุ่งจะรับทำทุกข้อเสนอ เพราะหลงคิดว่าการทำงานที่มากกว่าจะนำไปสู่โอกาสที่ดีกว่าในทุกครั้ง
.
การเป็นคนขยันเป็นสิ่งที่ดี แต่ขยันกับทำงานจนกลายเป็นคนยุ่งนั้นต่างกัน เราควรขยันและทุ่มเททำงานอย่างมีเป้าหมาย อย่าทำทุกอย่างโดยไม่คิด สุดท้ายผลลัพธ์ก็แย่นัก เวลาพักก็เหลือน้อย กลายเป็นคนยุ่งที่น่าสงสาร
.
แม้เส้นทางสู่เป้าหมายของชีวิตอาจไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่หากคุณถอยออกมามองภาพกว้าง ถามตัวเองอีกครั้งว่าความต้องการของเราอยู่ที่ไหน วางแผนอนาคตของตัวเองให้ชัด แล้วลงมือฝึกฝนเพื่อเป้าหมายนั้น คุณจะไม่ต้องเหนื่อยกับสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตอีกต่อไป
.
เมื่อภาพอนาคตของคุณแจ่มชัด ภาพการทำงานของคุณในปัจจุบันก็จะ Productive ตาม แม้สุดท้ายคุณจะโชคร้ายเดินไปไม่ถึงเป้าหมาย แต่เชื่อว่าคุณจะไม่เสียดาย ไม่หลงทาง และก็คงได้เข้าใกล้ความฝันของตัวเองมากที่สุด ลงจากสายพาน แล้ววิ่งตรงไปยังเป้าหมายของคุณซะ