เจ็บทุกเม็ด!รองโฆษกพปชร.ตอก‘ช่อ’ย้อนแย้ง ขู่ฟ้องคนเช็คบิลเงินเมย์เดย์ จี้ตอบ3ข้อ
วันอังคาร ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 15.48 น.
“
รองโฆษก พปชร.”ตอกหน้า“ช่อ”ย้อนแย้ง เต้นขู่ฟ้องคนตรวจสอบแจกเงิน 3 พัน จี้ตอบ 3 ข้อเงินบริจาค“เมย์เดย์” หลังมีคนนามสกุล“วานิช”โผล่รับเงิน
30 มิถุนายน 2563 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ออกมาทวีตข้อความในทวิตเตอร์เรียกร้องให้เปิดเผยหลักฐานหลังโลกโซเชียลแชร์ข้อมูลว่าผู้ได้รับเงิน 3,000 บาท จากคณะก้าวหน้า ไม่มีตัวตนในทะเบียนราษฎร์ และขู่จะดำเนินคดี ว่า น.ส.พรรณิการ์ เหยียบย่ำหลักการของตนเองที่มักกล่าวอ้างสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกความเห็นจนถึงขั้นเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายที่มีไว้เพื่อคุ้มครองผู้ที่ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท และตกเป็นเหยื่อจากการแสดงความคิดเห็นที่เกินขอบเขตของกฎหมาย
“แต่เมื่อถูกตรวจสอบย้อนกลับบ้าง น.ส.พรรณิการ์ มีท่าทีเหมือนกลืนน้ำลายตนเอง ย้อนแย้ง ซึ่งเป็นท่าทีที่พบเห็นได้หลายครั้ง เช่น การใช้เอกสิทธิ์ ส.ส. จากรัฐธรรมนูญที่ตนเองประณามด้วยคำหยาบและต้องการยกเลิกแก้ไขมาใช้คุ้มครองตนเองในคดีความ และคราวนี้ก็มีพฤติกรรมซ้ำเดิม เหมือนจะพยายามใช้กฎหมายที่ตนเองต้องการยกเลิกมาคุ้มครองประโยชน์ตนเอง เข้าตำรา เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” น.ส.ทิพานัน กล่าว
น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า ทุกการตรวจสอบต้องเท่าเทียม เสรีภาพในการแสดงความเห็นก็ต้องเท่าเทียม น.ส.พรรณิการ์ และคณะก้าวหน้า ก็ไม่ควรจะมีอภิสิทธิ์พิเศษที่จะเรียกร้องความเท่าเทียมจากผู้อื่นในขณะที่ตนเองกำลังพยายามมีสิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น ตอนนี้ก็คงเข้าใจคำว่าเสรีภาพในการแสดงความเห็นและขอบเขตในการใช้เสรีภาพนั้นชัดเจนแล้ว ดังนั้นต่อไปนี้ก็หวังว่าจะไม่พบเห็นการกระทำที่อ้างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่เกินขอบเขตและทำให้ผู้อื่นเสียหายจาก น.ส.พรรณิการ์และพวกอีก
ทั้งนี้ การขู่ฟ้องประชาชนที่เขามีสิทธิ มีเสรีภาพ และต้องการตรวจสอบความโปร่งใส เนื่องจากเป็นการแจกเงินจากการรับบริจาคกิจกรรมเมย์เดย์ฯนั้นก็น่าจะขัดกับหลักการที่ น.ส.พรรณิการ์ มักกล่าวอ้างและคงจะไม่ได้รับการสนับสนุนด้านกฎหมายจากนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า อย่างแน่นอน เพราะนายปิยบุตรได้กล่าวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการใช้กฎหมายฟ้องปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์เพื่อตรวจสอบ หรือ SLAPP Law โดยนายปิยบุตรไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทใคร เพราะเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยต้องถูกตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้และสังคมจะเป็นคนตัดสินเอง
น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า ดังนั้นเพื่อให้สังคมได้ตัดสินอย่างถูกต้อง แทนที่จะเรียกร้องหลักฐานจากผู้กล่าวหาและขู่ฟ้องประชาชน น.ส.พรรณิการ์ และคณะก้าวหน้าควรแสดงความบริสุทธิ์ใจและโปร่งใส ด้วยการนำพยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือแสดงชี้แจง เพื่อหักล้างข้อสงสัยของสังคมที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
1.การเรี่ยไรรับบริจาคกิจกรรมเมย์เดย์ฯ ได้ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายและมีการออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาคครบถ้วนหรือไม่
2.เมื่อการรับบริจาคถูกระบุให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของ น.ส.พรรณิการ์ ดังนั้นต้องมีหลักฐานว่ารายการที่โอนเข้ามาจากต้นทางเป็นเงินบริจาค หรือเงินส่วนตัว และต้องสามารถชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานทางบัญชี หรือสเตทเมนท์ แสดงบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้ได้ด้วยว่ามีจำนวนครบถ้วนถูกต้องตามยอด 7,282,897.34 บาทจริง ไม่มากกว่านี้และไม่น้อยไปกว่านี้
3.สามารถพิสูจน์การมีอยู่จริงของผู้รับเงิน 3,000 บาทตามรายชื่อที่คณะก้าวหน้าเผยแพร่ทางเว็บไซต์ได้ รวมถึงมีหลักฐานการโอนเงินให้บุคคลตามรายชื่ออย่างครบถ้วน และต้องแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับโอนเงินไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทีมงานคณะก้าวหน้า ไม่มีการทุจริตเอื้อประโยชน์กันเองแก่พวกพ้อง เพราะจากการตรวจสอบรายชื่อผู้รับเงิน เบื้องต้นพบว่ามีบุคคลใช้นามสกุล “วานิช” ซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับ น.ส.พรรณิการ์ ปรากฏอยู่ด้วย
นอกจากนี้ขอให้ชี้แจงด้วยว่าการเปิดเผยรายชื่อผู้รับเงินทางเว็บไซต์ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของชื่อหรือไม่ เพราะอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562ได้
“ส่วนตัวมองว่าหาก น.ส.พรรณิการ์ ฟ้องคดีเอาผิดประชาชนที่ใช้สิทธิอย่างสุจริตในการตรวจสอบความโปร่งใสนั้น มีแนวโน้มที่จะแพ้คดีสูงมาก เพราะบุคคลดังกล่าวไม่พียงแต่ใช้สิทธิในฐานะประชาชนทั่วไป แต่ยังเป็นผู้มีส่วนได้เสียหากมีการทุจริตเกิดขึ้น เพราะทราบมาว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมบริจาคเงินในกิจกรรมดังกล่าวด้วย” น.ส.ทิพานัน กล่าว
รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวอีกว่า สังคมยังมีสิทธิ์สงสัย และมีสิทธิ์ตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใสได้ เพราะที่ผ่านมามีการเปิดเผยข้อมูลทีไม่ครบถ้วน และในปัจจุบันก็ไม่ปรากฏว่า น.ส.พรรณิการ์ประกอบสัมมาอาชีพใดที่มีแหล่งรายได้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่าย จากข้อมูลบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. เมื่อพ้นตำแหน่ง ส.ส. พบว่ามีภาระหนี้สินอยู่จำนวน 559,091 บาท และภาระรายจ่ายประจำจำนวน 924,000 บาท (แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 600,000 บาทและค่าอุปการะบิดามารดา 324,000 บาท) นอกจากนี้บัญชีธนาคารที่รับระดมทุนบริจาคก็ไม่ปรากฏในรายการบัญชีเงินฝากที่ได้แจ้งไว้ต่อ ป.ป.ช.
“ดังนั้นจึงอาจมีประเด็นการตรวจสอบเพิ่มเติมว่า มี “การปกปิดข้อมูล” ของบัญชีดังกล่าวหรือไม่ เข้าข่ายยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงหรือไม่ด้วย” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.naewna.com/politic/502433
ฌอนโมเดลกำลังทำงานตามหาความจริงกันดังลั่นสนั่นเมืองค่ะ
ประชาชนติดตามรอคอยความจริงจะปรากฎออกมา
ยิ่งผู้ที่เล่นการเมืองโจมตีรัฐบาลเนืองๆว่าทุจริตทั้งๆที่ไม่มีหลักฐาน
แต่ตัวเองไม่บริสุทธิ์สะอาด คงจะค้างคาใจประชาชนนะคะ
รีบบอกความจริงมาค่ะ...👇
💕💕💕/มาลาริน/ฌอนโมเดล...ตามหาความจริงกันดังลั่นสนั่นเมืองแล้วค่ะ
วันอังคาร ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563, 15.48 น.
“รองโฆษก พปชร.”ตอกหน้า“ช่อ”ย้อนแย้ง เต้นขู่ฟ้องคนตรวจสอบแจกเงิน 3 พัน จี้ตอบ 3 ข้อเงินบริจาค“เมย์เดย์” หลังมีคนนามสกุล“วานิช”โผล่รับเงิน
30 มิถุนายน 2563 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณี น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ออกมาทวีตข้อความในทวิตเตอร์เรียกร้องให้เปิดเผยหลักฐานหลังโลกโซเชียลแชร์ข้อมูลว่าผู้ได้รับเงิน 3,000 บาท จากคณะก้าวหน้า ไม่มีตัวตนในทะเบียนราษฎร์ และขู่จะดำเนินคดี ว่า น.ส.พรรณิการ์ เหยียบย่ำหลักการของตนเองที่มักกล่าวอ้างสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออกความเห็นจนถึงขั้นเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎหมายที่มีไว้เพื่อคุ้มครองผู้ที่ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท และตกเป็นเหยื่อจากการแสดงความคิดเห็นที่เกินขอบเขตของกฎหมาย
“แต่เมื่อถูกตรวจสอบย้อนกลับบ้าง น.ส.พรรณิการ์ มีท่าทีเหมือนกลืนน้ำลายตนเอง ย้อนแย้ง ซึ่งเป็นท่าทีที่พบเห็นได้หลายครั้ง เช่น การใช้เอกสิทธิ์ ส.ส. จากรัฐธรรมนูญที่ตนเองประณามด้วยคำหยาบและต้องการยกเลิกแก้ไขมาใช้คุ้มครองตนเองในคดีความ และคราวนี้ก็มีพฤติกรรมซ้ำเดิม เหมือนจะพยายามใช้กฎหมายที่ตนเองต้องการยกเลิกมาคุ้มครองประโยชน์ตนเอง เข้าตำรา เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง” น.ส.ทิพานัน กล่าว
น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า ทุกการตรวจสอบต้องเท่าเทียม เสรีภาพในการแสดงความเห็นก็ต้องเท่าเทียม น.ส.พรรณิการ์ และคณะก้าวหน้า ก็ไม่ควรจะมีอภิสิทธิ์พิเศษที่จะเรียกร้องความเท่าเทียมจากผู้อื่นในขณะที่ตนเองกำลังพยายามมีสิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น ตอนนี้ก็คงเข้าใจคำว่าเสรีภาพในการแสดงความเห็นและขอบเขตในการใช้เสรีภาพนั้นชัดเจนแล้ว ดังนั้นต่อไปนี้ก็หวังว่าจะไม่พบเห็นการกระทำที่อ้างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่เกินขอบเขตและทำให้ผู้อื่นเสียหายจาก น.ส.พรรณิการ์และพวกอีก
ทั้งนี้ การขู่ฟ้องประชาชนที่เขามีสิทธิ มีเสรีภาพ และต้องการตรวจสอบความโปร่งใส เนื่องจากเป็นการแจกเงินจากการรับบริจาคกิจกรรมเมย์เดย์ฯนั้นก็น่าจะขัดกับหลักการที่ น.ส.พรรณิการ์ มักกล่าวอ้างและคงจะไม่ได้รับการสนับสนุนด้านกฎหมายจากนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า อย่างแน่นอน เพราะนายปิยบุตรได้กล่าวว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการใช้กฎหมายฟ้องปิดปากผู้วิพากษ์วิจารณ์เพื่อตรวจสอบ หรือ SLAPP Law โดยนายปิยบุตรไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทใคร เพราะเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยต้องถูกตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้และสังคมจะเป็นคนตัดสินเอง
น.ส.ทิพานัน กล่าวอีกว่า ดังนั้นเพื่อให้สังคมได้ตัดสินอย่างถูกต้อง แทนที่จะเรียกร้องหลักฐานจากผู้กล่าวหาและขู่ฟ้องประชาชน น.ส.พรรณิการ์ และคณะก้าวหน้าควรแสดงความบริสุทธิ์ใจและโปร่งใส ด้วยการนำพยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือแสดงชี้แจง เพื่อหักล้างข้อสงสัยของสังคมที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
1.การเรี่ยไรรับบริจาคกิจกรรมเมย์เดย์ฯ ได้ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมายและมีการออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้บริจาคครบถ้วนหรือไม่
2.เมื่อการรับบริจาคถูกระบุให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของ น.ส.พรรณิการ์ ดังนั้นต้องมีหลักฐานว่ารายการที่โอนเข้ามาจากต้นทางเป็นเงินบริจาค หรือเงินส่วนตัว และต้องสามารถชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานทางบัญชี หรือสเตทเมนท์ แสดงบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้ได้ด้วยว่ามีจำนวนครบถ้วนถูกต้องตามยอด 7,282,897.34 บาทจริง ไม่มากกว่านี้และไม่น้อยไปกว่านี้
3.สามารถพิสูจน์การมีอยู่จริงของผู้รับเงิน 3,000 บาทตามรายชื่อที่คณะก้าวหน้าเผยแพร่ทางเว็บไซต์ได้ รวมถึงมีหลักฐานการโอนเงินให้บุคคลตามรายชื่ออย่างครบถ้วน และต้องแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้รับโอนเงินไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับทีมงานคณะก้าวหน้า ไม่มีการทุจริตเอื้อประโยชน์กันเองแก่พวกพ้อง เพราะจากการตรวจสอบรายชื่อผู้รับเงิน เบื้องต้นพบว่ามีบุคคลใช้นามสกุล “วานิช” ซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับ น.ส.พรรณิการ์ ปรากฏอยู่ด้วย
นอกจากนี้ขอให้ชี้แจงด้วยว่าการเปิดเผยรายชื่อผู้รับเงินทางเว็บไซต์ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของชื่อหรือไม่ เพราะอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562ได้
“ส่วนตัวมองว่าหาก น.ส.พรรณิการ์ ฟ้องคดีเอาผิดประชาชนที่ใช้สิทธิอย่างสุจริตในการตรวจสอบความโปร่งใสนั้น มีแนวโน้มที่จะแพ้คดีสูงมาก เพราะบุคคลดังกล่าวไม่พียงแต่ใช้สิทธิในฐานะประชาชนทั่วไป แต่ยังเป็นผู้มีส่วนได้เสียหากมีการทุจริตเกิดขึ้น เพราะทราบมาว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมบริจาคเงินในกิจกรรมดังกล่าวด้วย” น.ส.ทิพานัน กล่าว
รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวอีกว่า สังคมยังมีสิทธิ์สงสัย และมีสิทธิ์ตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใสได้ เพราะที่ผ่านมามีการเปิดเผยข้อมูลทีไม่ครบถ้วน และในปัจจุบันก็ไม่ปรากฏว่า น.ส.พรรณิการ์ประกอบสัมมาอาชีพใดที่มีแหล่งรายได้ครอบคลุมภาระค่าใช้จ่าย จากข้อมูลบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. เมื่อพ้นตำแหน่ง ส.ส. พบว่ามีภาระหนี้สินอยู่จำนวน 559,091 บาท และภาระรายจ่ายประจำจำนวน 924,000 บาท (แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 600,000 บาทและค่าอุปการะบิดามารดา 324,000 บาท) นอกจากนี้บัญชีธนาคารที่รับระดมทุนบริจาคก็ไม่ปรากฏในรายการบัญชีเงินฝากที่ได้แจ้งไว้ต่อ ป.ป.ช.
“ดังนั้นจึงอาจมีประเด็นการตรวจสอบเพิ่มเติมว่า มี “การปกปิดข้อมูล” ของบัญชีดังกล่าวหรือไม่ เข้าข่ายยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงหรือไม่ด้วย” น.ส.ทิพานัน กล่าว
https://www.naewna.com/politic/502433
ฌอนโมเดลกำลังทำงานตามหาความจริงกันดังลั่นสนั่นเมืองค่ะ
ประชาชนติดตามรอคอยความจริงจะปรากฎออกมา
ยิ่งผู้ที่เล่นการเมืองโจมตีรัฐบาลเนืองๆว่าทุจริตทั้งๆที่ไม่มีหลักฐาน
แต่ตัวเองไม่บริสุทธิ์สะอาด คงจะค้างคาใจประชาชนนะคะ
รีบบอกความจริงมาค่ะ...👇