สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 60
ในฐานที่ฉันอยู่ในวัยเป็นแม่คนได้แล้วและเลี้ยงเด็กที่พูดคุยรู้เรื่องมาหลายคน
ขอบอกเลยว่า ผู้ใหญ่พูดไปเยอะแล้วค่ะว่าโตขึ้นทำงานแล้วจะลำบากมาก แต่ไม่เข้าหัวเด็กเลยสักกระผีก (หัวเราะ)
มนุษย์เราได้ความรู้มาจากหลายทาง แต่มีความรู้อย่างหนึ่งซึ่งค่อนข้างเฉพาะตัว นั่นคือ "วัยวุฒิ" ความรู้ซึ่งได้มาเพราะคุณมีอายุมากขึ้นเท่านั้น
เช่น ตอนวัยรุ่น เราเชื่อว่าเราโตแล้ว เราไม่ใช่เด็กอีกแล้ว ดูแลตัวเองได้ ก็จะไม่พอใจกับคำว่า "ยังไม่บรรลุนิติภาวะ" ซึ่งบอกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีไม่สามารถดูแลตัวเองและไม่สามารถรับผิดชอบผลของการกระทำได้ ชีวิตจึงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ปกครอง เราไม่เคยเชื่อเช่นนั้นเลย จนกระทั่งเติบโตมาถึงจุดหนึ่ง ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนรู้ว่ามันจริง
วัยวุฒิเป็นเขตแดนที่แข็งแกร่งสำหรับการคุยเรื่องชีวิตของผู้ใหญ่ให้เด็กฟังค่ะ ด้วยวัยของเขา เขาเข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจ และในหลายๆ ครั้งก็ไม่รับฟัง
คุณเจ้าของกระทู้เองก็ยังแก่ไม่พอจึงได้เชื่อว่า "ต้องรู้ว่าตัวเองชอบอะไรก่อน แล้วไปเรียนให้เก่ง แล้วทำมันให้ดี แล้วดีเหนือคนอื่น ชีวิตเหมือนวิ่งมาราธอนไม่มีจุดจบ มีแต่ความน่าเบื่อกับความทุกข์"
เมื่อคุณแก่พอ คุณจะพบว่า ทางเลือกของคนเรามันเข้ามาและเปลี่ยนไปตามเวลา คุณทำได้แค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองในจุดเวลาที่ต้องเลือก น้อยคนนักจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วจึงเลือกคณะ น้อยคนนักจะได้ทำงานที่ชอบ น้อยคนนักจะทำงานที่คิดว่าชอบให้ได้ดี ไม่ต้องพูดถึงการเป็นตัวท็อปเลย เท่านี้ก็ผ่านทางเลือกมาอย่างน้อย 4 ครั้งแล้ว ถ้าเลือกได้ถูกต้องในจุดเวลานั้นก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้ามันผ่านมาแล้วก็ไร้ประโยชน์หากหวนคิดถึงว่าเราช่างโชคร้ายเสียจริง เราเลือกได้แค่ทางเลือกของปัจจุบันและอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่จะลงเอยที่ "ไม่ใช่ว่าต้องทำงานที่ชอบ แต่ต้องชอบงานที่ทำต่างหาก ไม่ใช่หางานที่มีแพสชั่นให้เรา แต่เราต้องมีแพสชั่นกับงาน" ไม่ก็ "งานอะไรก็ได้ ทำให้เต็มที่ก็พอ" หยาบคายหน่อยก็เป็น "ทำงานคือเอาตังค์ ของสนุกคืองานอดิเรก ต้องทำบุญมาหนักมากล่ะถึงจะมีงานอดิเรกที่ทำเงินเลี้ยงชีพได้ นี่ทำงานนะ ไม่ใช่เที่ยวสวนสนุก จะอยากมีความสุขอะไรนักหนา" (<-- ได้ยินมากับหู)
ฉันเดาว่า คุณนั้นพลาดมาตลอดทั้งการรู้ความชอบ เข้าคณะที่ชอบ ทำงานที่ชอบ และการทำให้ได้ดี มันไม่แปลกเลยหากจะเผลอมองอดีตว่าหากเลือกได้ดีกว่านี้ ชีวิตก็คงดีกว่านี้ และตอนนี้คุณก็มาถึงอีกทางเลือกหนึ่งแล้วว่า คุณจะชีช้ำกับชีวิตตัวเองหรือยอมรับมันแล้วก้าวต่อไป คุณมีอีกหลายทางเลือกที่เลือกได้ จะมากหรือน้อย เสี่ยงหรือไม่เสี่ยง ก็แล้วแต่คุณจะเลือกทั้งนั้น แต่หากเลือกแล้ว คุณก็แค่ยอมรับมัน อย่างน้อยคุณก็ยังมีชีวิต ตายต่างหากคือการจบสิ้นทางเลือก
เด็กๆ ว่าที่นักศึกษากำลังจะเปิดเทอมแล้ว คุณลองไปคุยกับพวกนี้ดูก็ได้ มีเยอะแยะไปที่ไม่รู้ว่าคณะที่ตัวเองสอบติดเอาไปทำมาหากินอะไรได้บ้าง เด็กศึกษาศาสตร์ก็บอกเป็นครู ไม่รู้สักนิดว่าสาขานี้ทำงานสายบริหารได้อีกเพียบ ถามเด็กวิดยา พวกนี้สาหัส ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบไปจะทำมาหากินอะไร (เพราะทางเลือกมันเยอะเกิน หากินได้กว้างเกิน) ด้วยวัยวุฒิแล้ว เด็กวัยนี้ไม่สามารถมองอนาคตได้ไกลเท่าคนวัยทำงานหรอก แค่พยายามสอบให้ผ่านไปเป็นปีๆ ก็แทบจะเหนือบ่ากว่าแรงแล้ว ไว้ปีท้ายๆ ค่อยคิดว่าสาขาของตัวเองทำงานอะไรได้บ้างแล้วเลือกเอาจากในนั้น ยังไม่นับพวกเด็กจบใหม่เอี่ยมที่เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบสาขานี้ ไม่ได้อยากทำงานในสาขานี้เลย ต้องไปต่อป.โทเพื่อจะเปลี่ยนสายงานของตัวเอง มีสักกี่คนที่วางแผนชีวิตตัวเองแล้วทำตามนั้นได้เป๊ะ?
ชีวิตมันต้องดิ้นรน เหมือนวิ่งมาราธอนที่ไม่มีจุดจบ มันจริงและธรรมดาด้วย ก็คุณยังมีชีวิตนี่นา
ส่วนเรื่องการสวิงระหว่างความเบื่อกับความทุกข์ อันนี้อาจเพราะคุณไม่ได้เลือกทางที่ทำให้คุณมีความสุข คุณยังเลือกได้ตราบใดที่มีชีวิต ทางเลือกอาจจำกัด แค่เลือกที่ดีที่สุดเท่าที่เลือกได้ก็พอ คุณอาจเปลี่ยนงานไม่ได้เพราะสภาพเศรษฐกิจ แต่ในเมื่อนี่ดีที่สุดแล้ว คุณก็แค่ยอมรับมันว่านี่ดีแล้ว มีความสุขได้มากที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็มีความสุขมากกว่าเตะฝุ่นหางานแน่ๆ แม้มันไม่ได้สุขสุดๆ เหมือนในฝัน แต่คุณไม่น่ามองว่านี่เป็นความทุกข์นะ มองดูเถอะ คุณยังทุกข์ได้มากกว่านี้หากเลือกทางอื่น
ระหว่างเส้นทางมาราธอนนี้ คุณอาจมองว่ามันมีแค่น่าเบื่อกับทุกข์ก็ได้ แต่ก็มีอีกทางเลือกที่มองว่ามันสุขมากกับสุขน้อย สุขตามอัตภาพเหมือนกัน
มุมมองหรือทัศนคติทางไหนให้ประโยชน์แก่คุณมากกว่าก็เลือกดู การมองอย่างนี้อาจไม่ได้ให้ประโยชน์ในทุกสถานการณ์ แค่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะเท่านั้นแหละ คุณเลือกแล้วก็แค่ยอมรับ อย่าคิดเสียใจในทางที่เลือกไปแล้ว ในอนาคตก็อย่าเลือกทางที่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง
ฉันหวังว่าคุณจะรับรู้ได้นะว่าฉันกำลังปลอบประโลมคุณอยู่ แม้ความจริงของชีวิตจะไม่ค่อยให้ความรู้สึกปลอบประโลมก็ตาม
เราถูกสร้างมาเพื่อเผชิญปัญหาและความทุกข์ เพราะมันเป็นทางเดียวที่ทำให้เราเจริญขึ้นได้ ความสุขก็แค่รางวัลปลอบใจชั่วคราว ไม่ค่อยมีอะไรงอกงามจากความสุขนัก ก็สุขแล้วนี่ จะไปทำอะไรได้ล่ะนอกจากทำตัวเหมือนเดิม
เพราะฉะนั้น ฮึบๆ เข้าไว้ค่ะ คุณอาจต้องการความหวังและความฝัน แต่ของแบบนี้มีแค่ตัวคุณเองเท่านั้นที่ให้ได้ ถึงฉันบิ้วท์อารมณ์ให้สำเร็จ มันก็อยู่กับคุณไม่นานหรอก รักตัวเอง ฮีลตัวเองเข้าไว้นะคะ ฉันก็ขอฝากความปรารถนาดีผ่านหน้าจอไปถึงคุณด้วย ขอให้คุณโชคดีและมีความสุขเสมอค่ะ
ขอบอกเลยว่า ผู้ใหญ่พูดไปเยอะแล้วค่ะว่าโตขึ้นทำงานแล้วจะลำบากมาก แต่ไม่เข้าหัวเด็กเลยสักกระผีก (หัวเราะ)
มนุษย์เราได้ความรู้มาจากหลายทาง แต่มีความรู้อย่างหนึ่งซึ่งค่อนข้างเฉพาะตัว นั่นคือ "วัยวุฒิ" ความรู้ซึ่งได้มาเพราะคุณมีอายุมากขึ้นเท่านั้น
เช่น ตอนวัยรุ่น เราเชื่อว่าเราโตแล้ว เราไม่ใช่เด็กอีกแล้ว ดูแลตัวเองได้ ก็จะไม่พอใจกับคำว่า "ยังไม่บรรลุนิติภาวะ" ซึ่งบอกว่าเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีไม่สามารถดูแลตัวเองและไม่สามารถรับผิดชอบผลของการกระทำได้ ชีวิตจึงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ปกครอง เราไม่เคยเชื่อเช่นนั้นเลย จนกระทั่งเติบโตมาถึงจุดหนึ่ง ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนรู้ว่ามันจริง
วัยวุฒิเป็นเขตแดนที่แข็งแกร่งสำหรับการคุยเรื่องชีวิตของผู้ใหญ่ให้เด็กฟังค่ะ ด้วยวัยของเขา เขาเข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจ และในหลายๆ ครั้งก็ไม่รับฟัง
คุณเจ้าของกระทู้เองก็ยังแก่ไม่พอจึงได้เชื่อว่า "ต้องรู้ว่าตัวเองชอบอะไรก่อน แล้วไปเรียนให้เก่ง แล้วทำมันให้ดี แล้วดีเหนือคนอื่น ชีวิตเหมือนวิ่งมาราธอนไม่มีจุดจบ มีแต่ความน่าเบื่อกับความทุกข์"
เมื่อคุณแก่พอ คุณจะพบว่า ทางเลือกของคนเรามันเข้ามาและเปลี่ยนไปตามเวลา คุณทำได้แค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองในจุดเวลาที่ต้องเลือก น้อยคนนักจะรู้ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วจึงเลือกคณะ น้อยคนนักจะได้ทำงานที่ชอบ น้อยคนนักจะทำงานที่คิดว่าชอบให้ได้ดี ไม่ต้องพูดถึงการเป็นตัวท็อปเลย เท่านี้ก็ผ่านทางเลือกมาอย่างน้อย 4 ครั้งแล้ว ถ้าเลือกได้ถูกต้องในจุดเวลานั้นก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้ามันผ่านมาแล้วก็ไร้ประโยชน์หากหวนคิดถึงว่าเราช่างโชคร้ายเสียจริง เราเลือกได้แค่ทางเลือกของปัจจุบันและอนาคต ซึ่งส่วนใหญ่จะลงเอยที่ "ไม่ใช่ว่าต้องทำงานที่ชอบ แต่ต้องชอบงานที่ทำต่างหาก ไม่ใช่หางานที่มีแพสชั่นให้เรา แต่เราต้องมีแพสชั่นกับงาน" ไม่ก็ "งานอะไรก็ได้ ทำให้เต็มที่ก็พอ" หยาบคายหน่อยก็เป็น "ทำงานคือเอาตังค์ ของสนุกคืองานอดิเรก ต้องทำบุญมาหนักมากล่ะถึงจะมีงานอดิเรกที่ทำเงินเลี้ยงชีพได้ นี่ทำงานนะ ไม่ใช่เที่ยวสวนสนุก จะอยากมีความสุขอะไรนักหนา" (<-- ได้ยินมากับหู)
ฉันเดาว่า คุณนั้นพลาดมาตลอดทั้งการรู้ความชอบ เข้าคณะที่ชอบ ทำงานที่ชอบ และการทำให้ได้ดี มันไม่แปลกเลยหากจะเผลอมองอดีตว่าหากเลือกได้ดีกว่านี้ ชีวิตก็คงดีกว่านี้ และตอนนี้คุณก็มาถึงอีกทางเลือกหนึ่งแล้วว่า คุณจะชีช้ำกับชีวิตตัวเองหรือยอมรับมันแล้วก้าวต่อไป คุณมีอีกหลายทางเลือกที่เลือกได้ จะมากหรือน้อย เสี่ยงหรือไม่เสี่ยง ก็แล้วแต่คุณจะเลือกทั้งนั้น แต่หากเลือกแล้ว คุณก็แค่ยอมรับมัน อย่างน้อยคุณก็ยังมีชีวิต ตายต่างหากคือการจบสิ้นทางเลือก
เด็กๆ ว่าที่นักศึกษากำลังจะเปิดเทอมแล้ว คุณลองไปคุยกับพวกนี้ดูก็ได้ มีเยอะแยะไปที่ไม่รู้ว่าคณะที่ตัวเองสอบติดเอาไปทำมาหากินอะไรได้บ้าง เด็กศึกษาศาสตร์ก็บอกเป็นครู ไม่รู้สักนิดว่าสาขานี้ทำงานสายบริหารได้อีกเพียบ ถามเด็กวิดยา พวกนี้สาหัส ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจบไปจะทำมาหากินอะไร (เพราะทางเลือกมันเยอะเกิน หากินได้กว้างเกิน) ด้วยวัยวุฒิแล้ว เด็กวัยนี้ไม่สามารถมองอนาคตได้ไกลเท่าคนวัยทำงานหรอก แค่พยายามสอบให้ผ่านไปเป็นปีๆ ก็แทบจะเหนือบ่ากว่าแรงแล้ว ไว้ปีท้ายๆ ค่อยคิดว่าสาขาของตัวเองทำงานอะไรได้บ้างแล้วเลือกเอาจากในนั้น ยังไม่นับพวกเด็กจบใหม่เอี่ยมที่เพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้ชอบสาขานี้ ไม่ได้อยากทำงานในสาขานี้เลย ต้องไปต่อป.โทเพื่อจะเปลี่ยนสายงานของตัวเอง มีสักกี่คนที่วางแผนชีวิตตัวเองแล้วทำตามนั้นได้เป๊ะ?
ชีวิตมันต้องดิ้นรน เหมือนวิ่งมาราธอนที่ไม่มีจุดจบ มันจริงและธรรมดาด้วย ก็คุณยังมีชีวิตนี่นา
ส่วนเรื่องการสวิงระหว่างความเบื่อกับความทุกข์ อันนี้อาจเพราะคุณไม่ได้เลือกทางที่ทำให้คุณมีความสุข คุณยังเลือกได้ตราบใดที่มีชีวิต ทางเลือกอาจจำกัด แค่เลือกที่ดีที่สุดเท่าที่เลือกได้ก็พอ คุณอาจเปลี่ยนงานไม่ได้เพราะสภาพเศรษฐกิจ แต่ในเมื่อนี่ดีที่สุดแล้ว คุณก็แค่ยอมรับมันว่านี่ดีแล้ว มีความสุขได้มากที่สุดแล้ว อย่างน้อยก็มีความสุขมากกว่าเตะฝุ่นหางานแน่ๆ แม้มันไม่ได้สุขสุดๆ เหมือนในฝัน แต่คุณไม่น่ามองว่านี่เป็นความทุกข์นะ มองดูเถอะ คุณยังทุกข์ได้มากกว่านี้หากเลือกทางอื่น
ระหว่างเส้นทางมาราธอนนี้ คุณอาจมองว่ามันมีแค่น่าเบื่อกับทุกข์ก็ได้ แต่ก็มีอีกทางเลือกที่มองว่ามันสุขมากกับสุขน้อย สุขตามอัตภาพเหมือนกัน
มุมมองหรือทัศนคติทางไหนให้ประโยชน์แก่คุณมากกว่าก็เลือกดู การมองอย่างนี้อาจไม่ได้ให้ประโยชน์ในทุกสถานการณ์ แค่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะเท่านั้นแหละ คุณเลือกแล้วก็แค่ยอมรับ อย่าคิดเสียใจในทางที่เลือกไปแล้ว ในอนาคตก็อย่าเลือกทางที่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง
ฉันหวังว่าคุณจะรับรู้ได้นะว่าฉันกำลังปลอบประโลมคุณอยู่ แม้ความจริงของชีวิตจะไม่ค่อยให้ความรู้สึกปลอบประโลมก็ตาม
เราถูกสร้างมาเพื่อเผชิญปัญหาและความทุกข์ เพราะมันเป็นทางเดียวที่ทำให้เราเจริญขึ้นได้ ความสุขก็แค่รางวัลปลอบใจชั่วคราว ไม่ค่อยมีอะไรงอกงามจากความสุขนัก ก็สุขแล้วนี่ จะไปทำอะไรได้ล่ะนอกจากทำตัวเหมือนเดิม
เพราะฉะนั้น ฮึบๆ เข้าไว้ค่ะ คุณอาจต้องการความหวังและความฝัน แต่ของแบบนี้มีแค่ตัวคุณเองเท่านั้นที่ให้ได้ ถึงฉันบิ้วท์อารมณ์ให้สำเร็จ มันก็อยู่กับคุณไม่นานหรอก รักตัวเอง ฮีลตัวเองเข้าไว้นะคะ ฉันก็ขอฝากความปรารถนาดีผ่านหน้าจอไปถึงคุณด้วย ขอให้คุณโชคดีและมีความสุขเสมอค่ะ
ความคิดเห็นที่ 8
ต้องให้ใครมาบอกเล่า ?
ดูพ่อแม่ทำงานกัน วันละ 10 - 12 ช.ม. ทั้งคู่
(เพื่อเลี้ยงลูก 4 คน วัยไล่ๆ กัน)
ก็รู้แล้ว
หลังจากรู้ ก็เตรียมตัวเอง
ไม่ต้องไปสรรหาหรอกว่า เราชอบอะไร
แค่มองตัวเองให้ออก ว่า เราทำอะไรได้ และท่าจะทำได้ดี
จากนั้น ตั้งใจเรียนให้จบ ทำงานไป
เมื่อทำได้ดีจริง ชีวิตก็ไม่ลำบากอะไร
ในวัยทำงาน มันไม่ได้มีแค่อาชีพแคบๆ ที่เห็นในวัยเด็กไม่กี่อย่าง
จะมายึดมั่น สิ่งที่ชอบ ที่เห็นมาแค่ 10 กว่าปี ว่าจะอยู่กับไอ้นี่ไปตลอดชีวิตทำงาน
ไม่ยักนึกจะชอบ งานอื่นๆ ที่จะ ได้ทำ/ต้องทำ อยู่ตั้งหลายสิบปี กว่าจะพ้นวัยนั้น
ชีวิตจึงร้อนรน ทุรนทุราย แบบนี้แหละ
ดูพ่อแม่ทำงานกัน วันละ 10 - 12 ช.ม. ทั้งคู่
(เพื่อเลี้ยงลูก 4 คน วัยไล่ๆ กัน)
ก็รู้แล้ว
หลังจากรู้ ก็เตรียมตัวเอง
ไม่ต้องไปสรรหาหรอกว่า เราชอบอะไร
แค่มองตัวเองให้ออก ว่า เราทำอะไรได้ และท่าจะทำได้ดี
จากนั้น ตั้งใจเรียนให้จบ ทำงานไป
เมื่อทำได้ดีจริง ชีวิตก็ไม่ลำบากอะไร
ในวัยทำงาน มันไม่ได้มีแค่อาชีพแคบๆ ที่เห็นในวัยเด็กไม่กี่อย่าง
จะมายึดมั่น สิ่งที่ชอบ ที่เห็นมาแค่ 10 กว่าปี ว่าจะอยู่กับไอ้นี่ไปตลอดชีวิตทำงาน
ไม่ยักนึกจะชอบ งานอื่นๆ ที่จะ ได้ทำ/ต้องทำ อยู่ตั้งหลายสิบปี กว่าจะพ้นวัยนั้น
ชีวิตจึงร้อนรน ทุรนทุราย แบบนี้แหละ
แสดงความคิดเห็น
ตอนเด็กไม่มีใครบอกเลยว่าชีวิตวัยทำงานมันจะหนักหนาสาหัสถึงเพียงนี้
วัยผู้ใหญ่ ต้องรู้ก่อนว่าตัวเองชอบอะไร ซึ่งด่านแรกหลายคนก็ไม่ผ่านซะแล้ว หลังจากรู้ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วก็ต้อง เรียนสิ่งนั้นหลายปี และต้องควรต้องชอบและรักสิ่งนั้น แถมยังต้องทำมันจนเก่งเสียด้วย สุดท้ายแล้วต้องเอาทักษะนั้นมาทำงานหาเงินให้เราได้อีก ซึ่งกระบวนการ ตระหนักรู้ เรียน ชอบ เก่งและสุดท้ายสามารถหาเงินจากสิ่งนี้ได้มันยากมากๆ ยังไม่พอคุณต้องเก่งกว่าคนอื่นเพื่อเป็นทอปของสายนั้นๆอีก มันเหมือนการวิ่งมาราธอนที่ไม่มีจุดสิ้นสุด มีแต่ความทุกข์ ทุกข์มากทุกข์น้อย ชีวิตเหมือนแพนดูลัมสวิงไปมาระหว่างความน่าเบื่อกับความทุข์
If only you knew how bad things really are.