มีใครใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาตลอดแต่ต้องมาลำบากตอนแก่บ้าง

เล่าให้ฟังหน่อย
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
อาก๊อเราค่ะ (เราไม่มั่นใจว่าภาษาไทยคืออะไร แต่เราเรียกอาก๊อเพราะเป็นพี่สาวของแม่อะค่ะ)

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แม่เล่าให้เราฟังเองค่ะ

คือตั้งแต่แม่เด็กๆ พี่น้อง 7 คนโตมาด้วยกัน กินข้าวในกะละมังเดียวกัน อาม่าจะป้อนรอบวง แต่อาก๊อจะได้กินเนื้อสัตว์เยอะกว่าคนอื่นค่ะ
เพราะว่าอาก๊อเป็นลูกคนโปรดของอากงกับอาม่า เป็นลูกสาวคนโต แต่เป็นทอม นิสัยเหมือนผู้ชาย อากงเลยรักมากกว่าลูกชายคนอื่น
ทั้ง 7 คนพี่น้องจะต้องช่วยทำงาน ทำความสะอาดเล้าสัตว์ ล้างถ่าน ล้างแร่ รับยาง (เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องว่ามันคือการทำอะไรนะคะ)
แต่อาก๊อจะเป็นคนที่อากงอาม่าเรียกให้ไปพักก่อนใครเพื่อนเสมอ และในบางครั้งก็ไม่ต้องช่วยงานหนัก เช่น ขนแผงไข่

อาก๊อใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายตั้งแต่เด็กจนโตเลยค่ะ อยากได้อะไรก็ได้ อากงอาม่าประเคนให้หมดทุกอย่างจริงๆ
อากงส่งลูกทุกคนเรียนประถมนะคะ จำไม่ได้ว่าส่งถึงชั้นไหน หลังจากนั้นก็เลือกส่งแค่คนที่เรียนได้ดีค่ะ
ซึ่งคนที่อากงเลือกส่งมาเรียนที่กรุงเทพ คืออาก๊อ อาแปะ(พี่ชายแม่) และแม่เราเองค่ะ  3 คน
แม่เราเลือกเรียนที่พาณิชย์บางนา (ตอนนี้ไม่น่าจะมีแล้ว) อาก๊อกับอาแปะเรียนที่ไหนไม่รู้ค่ะ เราจำไม่ได้
แต่ทำไปทำไม อาแปะเราเรียนไม่ไหว เลยกลับบ้านไป ส่วนอาก๊อก็เรียนไม่ไหว เอาจริงๆคือไม่เรียนเลยดีกว่า
แต่ไม่ยอมกลับบ้าน เพราะชอบกรุงเทพค่ะ ติดผู้หญิง ติดเที่ยว สมัยนั้นพาผู้หญิงขึ้นเครื่องบินกลับไปเที่ยวบ้านที่ภูเก็ตด้วย
ซึ่งทุกคนก็น่าจะรู้ว่าตั๋วเครื่องบินเมื่อก่อนมันแพงมากแค่ไหน แต่อาก๊อเราใช้ไม่คิดเลยค่ะ ผลาญสุดๆ แต่อากงอาม่าก็ประเคนให้

จนถึงวันนึง ที่บ้านโดนปล้นรถสิบล้อขนยางไปขายที่ยะลา ทำให้เสียเงินเป็นจำนวนมาก อากงอาม่าช็อตเลยค่ะ
ทีนี้เขาเลยตัดสินใจจะส่งเรียนแค่คนเดียว ซึ่งตามหลักเขาควรจะส่งแม่เรา เพราะแม่เราเรียนเก่งมาก เก่งทั้งคณิตศาสตร์ ทั้งอังกฤษด้วย
แต่อากงเราเลือกให้แม่กลับบ้าน เพราะอาก๊ออยากอยู่กรุงเทพ แม่เราแค้นมากๆที่อากงไม่มีเหตุผลแบบนี้
แต่แม่เราก็ไม่ยอมแพ้นะ เขาตัดสินใจไม่กลับบ้าน หางานทำ เป็นเด็กล้างจาน ล้างผัก เพื่อหาเงินเรียน แม่บอกว่าสมัยก่อนไม่มีทุนฯเลยค่ะ

ตัดกลับมาที่อาก๊อเรา ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพจนกระทั่งทราบข่าวว่าอากงอาม่าตัดสินใจขายกิจการที่บ้านค่ะ
ทุกคนทราบข่าวยกเว้นแม่เรา เขาก็กลับบ้านไปหาอากงอาม่ากัน เพื่อไปรับส่วนแบ่งจากเงินขายกิจการ
อากงแบ่งเงินเป็น 7 กอง โดยแบ่งให้อาก๊อมากกว่าคนอื่น นอกนั้น 6 คนรวมแม่เรา ได้เงินเท่าๆกันค่ะ
แต่... อาก๊อบอกทุกคนว่า เงินส่วนของแม่เรา อาก๊อจะเอากลับมาให้แม่เราที่กรุงเทพเอง ทุกคนเลยไว้ใจให้อาก๊อรับเงินมา
และนอกจากนั้น พอทุกคนรู้ว่าแม่เรามีเราแล้ว และเลี้ยงด้วยตัวคนเดียวต้องลำบากแน่ๆ ทุกคนเลยแบ่งเงินส่วนของตัวเอง
เรี่ยไรกันมาช่วยแม่เรา และฝากมากับอาก๊ออีก แต่สุดท้าย แม่เราไม่ได้รับเงินก้อนนั้นเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียวค่ะ
อาก๊อเราเอาไปซื้อรถ เราจำได้แม่นเลยเพราะหลังจากแม่พาเรากลับภูเก็ต เราก็เห็นอาก๊อใช้รถคันนั้น
มันคือรถยนต์ฮอนด้า รุ่นอะไรไม่รู้ แต่สีมันเขียวๆมืดๆ อาก๊อพาเราเที่ยวด้วยรถคันนั้นโดยที่เราไม่เคยรู้เลยว่ามันคือเงินของแม่เราทั้งหมด

หลังจากนั้น อาก๊อก็ตัดสินใจเปิดร้านอาหารร่วมกับแฟนเขาค่ะ และเกณฑ์บรรดาสะใภ้ของน้องชายตัวเองไปช่วยงานที่ร้าน
โดยบอกว่าจะแบ่งเงินกำไรทั้งหมดให้เท่าๆกัน และชวนแม่เราให้กลับไปทำบัญชีให้ โดยจะให้เงินเดือนมากกว่าที่แม่เราได้อยู่ที่กรุงเทพ
แม่เรารักพี่น้องมากๆ อยากกลับไปอยู่กับพี่น้อง เลยยอมลาออกจากงาน (ตอนนั้นแม่ทำงานในบริษัทส่งออกเสื้อผ้าค่ะ ได้ไปฮ่องกงทุกปี)
แต่พอกลับไปจริงๆ งานที่ให้แม่ทำกลับไม่ใช่งานบัญชี แต่เป็นงานใช้แรงงานทุกอย่างในร้าน เช่น เสิร์ฟ ล้างจาน หั่นผัก เก็บจาน เช็ดโต๊ะ
และอาก๊อให้เงินเดือนแม่เราแค่ 4 พันบาทเท่านั้น ทั้งๆที่แม่เราต้องเลี้ยงเราตัวคนเดียวโดยไม่มีสมบัติอะไรนอกจากเงินเก็บเลย

ยิ่งอยู่ไป ร้านอาหารของอาก๊อขายดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะน่าจะเป็นร้านอาหารตามสั่งที่มีทุกอย่างตามสั่งจริงๆแค่ร้านเดียวในตำบลในตอนนั้น
ร้านก๊อเป็นร้านอาหารตามสั่ง แต่พอตกกลางคืนก็ขายข้าวต้มและมีเบียร์สด (ที่เป็นทาวเวอร์) คนในตำบลชอบมานั่งกันทุกคืนเลยค่ะ
พอช่วงเราอยู่ม.ต้น อาก๊อเริ่มขายขนมจีนด้วย เชื่อไหมคะ มีคนจากวังซื้อขนมจีนน้ำยาขึ้นเครื่องบินกลับกรุงเทพเลยด้วยซ้ำ
แล้วอาก๊อก็ส่งยาคูลท์ด้วย แต่ไม่ได้ปั่นจักรยานส่งนะคะ ขับฮอนด้าส่งค่ะ และรถยนต์นี่เปลี่ยนใหม่ทุก 5 ปีด้วย
ที่ตลกที่สุดคือ ซื้อบ้านค่ะ แต่ไม่ได้ซื้อบ้านแถวร้านอาหารนะคะ ซื้อคนละตำบลเลยค่ะ เหตุผลเพราะอยากอุดหนุนเพื่อนที่ทำบ้านขาย
เรากับแม่ยังคิดเลยว่าถ้าเป็นเราสองคน คงซื้อที่ที่เช่าทำร้านอาหารไปแล้ว แต่อาก๊อไม่ได้คิดแบบนั้นเลยค่ะ เช่าเอาตลอดเลย

ร้านอาหารดังมากๆ ขายดีมากๆ ยิ่งช่วงกินเจคนยิ่งเยอะจนเทศบาลอนุญาตให้ตั้งโต๊ะเลยถนนออกมา
เพราะร้านอยู่หน้าศาลเจ้าใหญ่ คนกินเจกันทั้งตำบลก็เทมาที่ร้านเรากันหมด เราเองยังต้องไปช่วยเสิร์ฟด้วย คือนับเงินกันไม่ทันเลยจริงๆ
และอาก๊อกับแฟนมีนิสัยไม่ดีคือ ชอบคิดว่าคนอื่นจะต้องอิจฉาตัวเองไปซะหมด เพราะ ณ ตอนนั้นใครๆก็คิดว่ารวยกันทั้งนั้นค่ะ
ของที่ตลาดสดนี่ไม่ต้องเดินซื้อเองเลย โทรสั่งแล้วตลาดมาส่งให้ถึงที่ร้านเพราะสั่งเยอะและขายหมดแทบทุกวัน
แต่ก็ชอบไปปากเสีย นินทาร้านนั้นให้ร้านนี้ฟัง นานๆเข้าเรื่องเริ่มเข้าหูคนโดนนินทา ทำให้ต้องทะเลาะกับเขาไปทั่วอีก

และด้วยความที่เขาไม่เคยทำบัญชีเลย และด้วยนิสัยใช้จ่ายมือเติบของอาก๊อกับแฟน (ช่างเป็นพวกเดียวกันมาคบกันด้วยนะ)
แถมยังติดการซื้อหวยด้วย แล้วซื้อทีซื้อเป็นหมื่น ถูกมั่งไม่ถูกมั่ง แต่เราคิดว่ารวมๆกันแล้วเสียมากกว่าได้แน่ๆ
การติดหวยไม่ได้จบแค่ที่การซื้อ อาก๊อเดินทางไปตามจังหวัดต่างๆเพื่อไปขอหวย ใครว่าแม่นไปหมด
ทุ่มเงินบริจาค ทุ่มเงินทำบุญ เป็นเจ้าภาพผ้าป่า กฐิน เป็นเจ้าภาพส่งอาหารเจให้ศาลเจ้า อะไรที่คิดว่าทำแล้วจะได้บุญถูกหวยคือทำหมด
แล้วก็มีบัตรเครดิตด้วย กดเงินสดมาซื้อของ กดมาทำบุญ กดไปเที่ยว ผ่อนทอง (ไม่เข้าใจอันนี้มากๆ) จนอยู่ๆไปเริ่มรับมือกับหนี้ไม่ไหว
กลายเป็นร้านขายดีเท่าไหร่ก็ไม่สามารถ cover หนี้บัตรและหนี้ที่ไปกู้คนอื่นเขามาได้เลย ขายทองจนหมดยังปลดหนี้ไม่ได้
ทำไปทำมา เมื่อตอนเราเรียนอยู่ปี 2 ได้ข่าวว่าอาก๊อขายรถ และหยุดส่งยาคูลท์แล้ว ทำให้รายได้ลดลงอีก
และหลังจากนั้นไม่กี่เดือน ก็ได้ข่าวอีกว่า เจ้าของที่เขาจะใช้ที่สร้างตึกแถวขาย เลยจำเป็นต้องหยุดให้อาก๊อเช่าที่ตรงนั้นทำร้าน

หายนะมันเริ่มตรงนี้แหละค่ะ อาก๊ออายุประมาณ 50 กว่าปีแล้ว ณ ตอนนั้น เงินเก็บก็ไม่มี หนี้ท่วมหัว แถมคนในตลาดที่เคยมิตรก็ไม่มีแล้ว
เลยต้องไปหาเช่าตึกแถวห้องเดียวมาขายอาหาร (ทั้งๆที่ตอนแรกที่กว้างมาก ที่จอดรถก็มี แต่ไม่ยอมซื้อไว้ไง)
ทำให้ต้องขายบ้านที่อยู่คนละตำบล ที่ซื้อเพราะช่วยอุดหนุนเพื่อน ขายแบบขาดทุนด้วยเพราะเป็นบ้านอยู่ในที่ดินตาบอด

แล้วความเป็นตำบลเล็กๆอะค่ะ คนจะรู้จักกันหมด พอไปนินทาใคร พูดไม่ดีกับใครนานๆเข้า เขาก็รู้ถึงกันหมด ก็ไม่อยากจะมาอุดหนุน
กลายเป็นคนเริ่มเข้าร้านน้อยลง แม้แต่กินเจก็ไม่ได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อน ของเหลือเพียบ
จากที่นั่งนับเงินกันมือเป็นระวิง กลายเป็นนั่งตบยุงแทน หนี้ก็ไม่หมด เงินได้ก็ลดลง แต่ยังไม่หยุดซื้อหวยนะคะ ไม่เข้าใจมากๆเลย

จนถึงตอนนี้ จากเจ้าของร้านอาหารดัง มีรถขับ มีบ้าน เป็นที่นับถือของคนในตำบล มีเงินซื้อของ มีเงินเที่ยวไม่ขาดมือ
กลายเป็นต้องมานั่งขายของซ้อกแซ้กไปวันๆ
แถมอายุตอนนี้เกือบ 60 แล้ว แต่ยังเกษียณไม่ได้ เพราะไม่มีเงินเก็บสักบาท จะมีได้ไง หนี้ยังใช้ไม่หมดเลย
บ้านก็ยังต้องเช่า คิดดูสิคะ อายุ 60 แล้วยังต้องเช่าบ้านอยู่ ต้องยืนผัดข้าว ทั้งๆที่ถ้าเก็บเงินตั้งแต่แรก ตอนนี้น่าจะสบายไปแล้ว

สำหรับเราและแม่ อาก๊อนี่คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของคำว่า"เวรกรรม"เลยจริงๆค่ะ เขาทำกับแม่เราไว้สาหัสสากรรจ์มาก
กดขี่ ข่มเหง หลอกแม่เรามาใช้แรงงาน ให้เงินแม่เราแค่ 4000 ตัวเองกินเรียบ ดูถูกแม่เราสารพัด
เคยพูดด้วยว่าคนอย่างแม่เราไม่มีทางได้ดีไปกว่าเขาได้หรอก เพราะแค่เงินตั้งตัวยังไม่มีเลย
ครั้งนึงแม่เราเครียดเพราะหาเงินให้เราไปโรงเรียนไม่ได้ แม่เผลอพูดออกมาว่าอยากฆ่าตัวตายแต่ติดที่มีเรา
อาก๊อบอกกับแม่เราว่า มึ-ไปฆ่าเลย ฆ่าให้เร็วเลย kuจะรอดู ลูกมึ-ไม่ต้องห่วง kuเลี้ยงเอง
แต่แม่เราหลังจากได้ยินแบบนั้น แม่เรากลับฮึดสู้ ทำงานทุกอย่างที่ทำได้ ขี่สามล้อส่งถุงพลาสติกก็ทำมาแล้ว
เราเองยังจำได้ว่าเคยช่วยแม่หอบถุงพลาสติกเป็นมัดๆไปเดินขายตามตลาดนัดท้ายรถ ตอนนั้นลำบากมากๆ
แต่แม่เราเก่ง ทั้งหาเงินเก่งและเก็บเงินเก่ง สุดท้ายแม่เรามีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ต้องส่งถุงเอง มีลูกน้อง คอยเก็บเงินอย่างเดียว
จนตอนนี้แม่เราคือสบายมากๆ ไม่ต้องทำงานก็มีเงินเข้ามาตลอด มีเงินเก็บ มีเงินลงทุน (แต่เสียดายที่แม่มีแฟนไม่ดี แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวเนอะ)
เทียบกับอาก๊อเราคือฟ้ากับเหวเลยตอนนี้ แถมอาก๊อยังต้องบากหน้ามาขอยืมเงินแม่เราด้วยซ้ำ
แม่เราบอกว่าเห็นสภาพตอนอาก๊อมาขอเงินแล้วสังเวชมาก แต่ก็ระลึกอยู่เสมอว่าเมื่อก่อนเขาเคยทำอะไรกับตัวเองเอาไว้

เราว่าถ้าใครสักคนอยากได้ตัวอย่างของประโยคที่ว่า "ทำอะไรก็ได้อย่างงั้น" "เวรกรรมมีจริง" "เวรกรรมติดจรวด"
หรือตัวอย่างของคนที่เคยสบาย อยู่บนกองเงินกองทอง แล้ววันนึงต้องมาลำบากเพราะการกระทำของตัวเอง
เราว่าอาก๊อเรานี่แหละค่ะ ตัวอย่างที่ดีเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่