[เขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2015 ตอนที่หนังเข้าฉายใน BANGKOK GAY & LESBIAN FILM FESTIVAL 2015 ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร attitude และขอนำกลับมาแชร์อีกครั้ง เนื่องในโอกาสที่ The Blue Hour อนธการ จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ Bangkok Screening Room ในระหว่างวันที่ 27 - 28 มิถุนายนนี้ เพื่อฉลอง #PrideMonth]
.
เปิดมาฉากแรกก็ทำให้เราร้องครางออกมาได้แล้วว่า “ภาพสวยจัง” แล้วก็อุทานอยู่ในใจตลอดเรื่องว่า “โอ๊ย สวยจัง สวยจัง” ภาพสวยทุกช็อต งานโปรดักชั่นดีงามทุกสิ่งอย่าง โลเคชั่นสุดแสนพิศวงแต่โคตรจะจริง และเป็นหนังที่กล้องรักนักแสดงมาก! แต่ทุกอย่างที่ว่ามาจะเปล่ากลวงทันที หากไม่มีตัวบทและจังหวะการกำกับที่ลงตัว ซึ่งหนังเรื่องนี้สอบผ่านทุกหัวข้อ
.
เรื่องราวความสัมพันธ์ของสองเด็กหนุ่ม “ตั้ม” เป็นเด็กที่ถูกรังแกทั้งที่โรงเรียน และถูกกดดันจากทางบ้าน เพียงเพราะเค้าเป็นเกย์ แม้คำพูดของแม่จะเต็มไปด้วยความปรารถนาดี แต่มันก็ทำร้ายตั้มเสียยิ่งกว่าคำพูดด่าทอรุนแรงเสียอีก ไม่รวมถึงรอยช้ำตามตัวที่เดาได้ไม่ยากว่ามาจากใคร ส่วน “ภูมิ” เป็นเด็กหนุ่มที่พึ่งพาตัวเองมานาน โดยหันหลังให้ครอบครัว และดูจะเกเรไม่ใช่เบา แต่เค้าก็เป็นแสงสว่างอันอบอุ่นเพียงอย่างเดียวสำหรับตั้ม ความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปพร้อมกับเรื่องลึกลับดำมืด ค่อยๆ จูงมือพาทั้งคู่ดำดิ่งสู่ด้านมืดทีละน้อย...ทีละน้อย ยอมรับว่าครึ่งเรื่องหลัง เราปิดตาดูแบบฟังแต่เสียงไปซะเยอะ เพราะหนังน่ากลัวมาก กลัวทั้งบรรยากาศ ภาพ เสียง กลัวทั้งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นบนจอ กลัวจนไม่กล้าที่จะเปิดตามองดู ได้แต่กระซิบถามคุณแฟนว่า “มันทำอะไรอ่ะ...มันเห็นอะไร!”
.
เห็นด้วยกับหลายๆ เสียงว่า “กัน – อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์” มอบการแสดงที่สะเทือนอารมณ์มาก แม้จะอยู่นิ่งๆ แต่ภายในสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา เปราะบางและพร้อมจะแตกสลายได้เพียงแค่สัมผัส ส่วน “โอบ – โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์” ก็คือแสงสว่างเดียวที่อยู่ในหนังอันมืดมนอนธการเช่นนี้ รอยยิ้มอันสดใส ความแข็งกร้าวที่มีแววอ่อนต่อโลก แต่ก็พร้อมจะปกป้องคนที่เค้ารักเสมอ มันทำให้เราเชื่อในตัวละครทั้งคู่มาก ที่สำคัญเคมีของทั้งคู่นั้นเข้ากันได้ดีและส่งพลังงานเข้มข้นเข้าหากันอย่างรุนแรง แน่นอน ต้องไม่ลืม นักแสดงสมทบอย่าง “ดวงใจ หิรัญศรี” ในบทแม่ที่มีมิติลึกลับ อบอวลด้วยความรักและความอึดอัดผสมปนเปจนน่าขนลุก
.
ชอบที่หนังจบแล้วแต่มันยังทำให้เราคิดต่อไปไม่รู้จบ ตัวบทฉลาดพอที่จะซ่อนสัญญะไว้ให้ขบคิดในหลายมิติ เช่นเดียวกับการนำเสนอภาวะกึ่งจริงกึ่งฝันแบบที่เราไม่คิดว่าจะได้ดูในหนังไทย ก็ทำให้มันกลายเป็นภาพหลอนที่ติดค้างอยู่ในความทรงจำของเราต่อมาอีกหลายวัน นี่คือหนังดีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่อยากให้พลาดกันเลยจริงๆ
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] The Blue Hour อนธการ (2015)
[เขียนบทความนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2015 ตอนที่หนังเข้าฉายใน BANGKOK GAY & LESBIAN FILM FESTIVAL 2015 ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร attitude และขอนำกลับมาแชร์อีกครั้ง เนื่องในโอกาสที่ The Blue Hour อนธการ จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ Bangkok Screening Room ในระหว่างวันที่ 27 - 28 มิถุนายนนี้ เพื่อฉลอง #PrideMonth]
.
เปิดมาฉากแรกก็ทำให้เราร้องครางออกมาได้แล้วว่า “ภาพสวยจัง” แล้วก็อุทานอยู่ในใจตลอดเรื่องว่า “โอ๊ย สวยจัง สวยจัง” ภาพสวยทุกช็อต งานโปรดักชั่นดีงามทุกสิ่งอย่าง โลเคชั่นสุดแสนพิศวงแต่โคตรจะจริง และเป็นหนังที่กล้องรักนักแสดงมาก! แต่ทุกอย่างที่ว่ามาจะเปล่ากลวงทันที หากไม่มีตัวบทและจังหวะการกำกับที่ลงตัว ซึ่งหนังเรื่องนี้สอบผ่านทุกหัวข้อ
.
เรื่องราวความสัมพันธ์ของสองเด็กหนุ่ม “ตั้ม” เป็นเด็กที่ถูกรังแกทั้งที่โรงเรียน และถูกกดดันจากทางบ้าน เพียงเพราะเค้าเป็นเกย์ แม้คำพูดของแม่จะเต็มไปด้วยความปรารถนาดี แต่มันก็ทำร้ายตั้มเสียยิ่งกว่าคำพูดด่าทอรุนแรงเสียอีก ไม่รวมถึงรอยช้ำตามตัวที่เดาได้ไม่ยากว่ามาจากใคร ส่วน “ภูมิ” เป็นเด็กหนุ่มที่พึ่งพาตัวเองมานาน โดยหันหลังให้ครอบครัว และดูจะเกเรไม่ใช่เบา แต่เค้าก็เป็นแสงสว่างอันอบอุ่นเพียงอย่างเดียวสำหรับตั้ม ความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปพร้อมกับเรื่องลึกลับดำมืด ค่อยๆ จูงมือพาทั้งคู่ดำดิ่งสู่ด้านมืดทีละน้อย...ทีละน้อย ยอมรับว่าครึ่งเรื่องหลัง เราปิดตาดูแบบฟังแต่เสียงไปซะเยอะ เพราะหนังน่ากลัวมาก กลัวทั้งบรรยากาศ ภาพ เสียง กลัวทั้งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นบนจอ กลัวจนไม่กล้าที่จะเปิดตามองดู ได้แต่กระซิบถามคุณแฟนว่า “มันทำอะไรอ่ะ...มันเห็นอะไร!”
.
เห็นด้วยกับหลายๆ เสียงว่า “กัน – อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์” มอบการแสดงที่สะเทือนอารมณ์มาก แม้จะอยู่นิ่งๆ แต่ภายในสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา เปราะบางและพร้อมจะแตกสลายได้เพียงแค่สัมผัส ส่วน “โอบ – โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์” ก็คือแสงสว่างเดียวที่อยู่ในหนังอันมืดมนอนธการเช่นนี้ รอยยิ้มอันสดใส ความแข็งกร้าวที่มีแววอ่อนต่อโลก แต่ก็พร้อมจะปกป้องคนที่เค้ารักเสมอ มันทำให้เราเชื่อในตัวละครทั้งคู่มาก ที่สำคัญเคมีของทั้งคู่นั้นเข้ากันได้ดีและส่งพลังงานเข้มข้นเข้าหากันอย่างรุนแรง แน่นอน ต้องไม่ลืม นักแสดงสมทบอย่าง “ดวงใจ หิรัญศรี” ในบทแม่ที่มีมิติลึกลับ อบอวลด้วยความรักและความอึดอัดผสมปนเปจนน่าขนลุก
.
ชอบที่หนังจบแล้วแต่มันยังทำให้เราคิดต่อไปไม่รู้จบ ตัวบทฉลาดพอที่จะซ่อนสัญญะไว้ให้ขบคิดในหลายมิติ เช่นเดียวกับการนำเสนอภาวะกึ่งจริงกึ่งฝันแบบที่เราไม่คิดว่าจะได้ดูในหนังไทย ก็ทำให้มันกลายเป็นภาพหลอนที่ติดค้างอยู่ในความทรงจำของเราต่อมาอีกหลายวัน นี่คือหนังดีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่อยากให้พลาดกันเลยจริงๆ
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้