ในฐานะ เป็นคนที่ผ่านมาหลายวิกฤต รวมถึงต้มยำกุ้งที่  หนักที่สุด ในชีวิต

วิกฤตครั้งนี้  กระทบคนเป็นวงกว้างกว่าโดยเฉพาะ ฐานราก   ดังนั้นคนที่กระทบมีมาก
   ต่างจาก  ต้มยำกุ้ง  รากหญ้ากระทบไม่มาก เพราะแรงงานจากภาพเกษตร แทบไม่กระทบ และบางจังหวัดแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย
  แต่กระทบจาก ทั้งรัฐบาล  แบ็งค์ SME

ถึงแม้กระทบคนจำนวนมากกว่า   แต่    ความสั่นคลอนทางเศรษฐกิจ  มีน้อยกว่ามาก

เหตุผล  เพราะ   คนที่กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ  รวมถึง รัฐบาล(เงินทุนสำรองมีมาก)  +   แบ็งค์  กระทบ  น้อยมากๆ   หากเทียบกับขนาดวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ตามหลักของ pareto  คน 20 %  คุมอำนาจเศรษฐกิจ 80  % ------> ไม่กระทบ หรือกระทบน้อยมากในครั้งนี้
แต่คนกลุ่มนี้กระทบมากๆ ในวิกฤตต้มยำกุ้ง  เลยมีผลกับประเทศมากกว่า

และ  คน 80 %  คุมอำนาจเศรษฐกิจ  20 %-----------> กระทบมากในครั้งนี้  แต่ในวิกฤตต้มยำกุ้งกระทบน้อยมาก

ทั้งหมดเป็น ผล  จาก  กรรม   ในอดีต   จากวิกฤตต้มยำกุ้ง

ทำให้ ประเทศไทย โดยเฉพาะ ธนาคารแห่งประเทศไทย   ที่ดำเนินนโยบาย อย่าง รอบคอบ

รวมถึง ประเทศไทยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ  ก็ไม่ได้โตมาก

อาจเนื่องมาจาก   สังคมที่กำลัง เข้าสู่ผู้สูงอสยุ

รวมถึง  คนรุ่นก่อน หลายคน ใช้หลักการเปรัชญาศรษฐกิจพอเพียง----> ทำธุรกิจแบบพอประมาณ ไม่ขยายเกินตัว กระจายตวามเสี่ยง

ทั้งหมดนี้  ทำให้เราบินในที่ไม่สูง มากนัก หากเทียบกับศักยภาพที่มีอยู่  เมื่อบินไม่สูง  ความเจ๋บตัวย่อมน้อยกว่า คนที่บินสูงเป็นของธรรมดา

ทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางใช้เวลา  2-3 ปี   และ  จะฟิ้นตัวเร็วกว่า ปี 2540  แน่ๆ  100 %

และครั้งนี้เราได้บทเรียนอะไร  จากวิกฤตครั้งนี้ ลอง  คิดกันดู

ส่วนตัว  

สิ่งที่ได้ ในแง่การลงทุน   

holy grail  ของ Ray dalio  เป็นจริงที่สุด  และเงินตราคือขยะในภาวะปกติ  แต่ เป็นพระเจ้าในภาวะวิกฤต
ดังนั้นควรมีเงินสดหรืแทองคำติดไว้เสมอ

ในแง่ความเชื่อ

ฝรั่ง  ที่ไม่ฉลาด นี้มีเยอะ  เหมือกัน  และไม่ได้เก่งกว่าคนเอเชีย

ในแง่การเมือง

เลือกผู้นำผิด อาจอันตรายถึงชีวิต 

และอย่าเลือก พ่อค้า หรือนักธุรกิจมากุมชะตาบ้านเมืองเป็นอันขาดเพราะ พ่อค้า ไม่มีคำว่า สวรรค์ หรือนรก  มีแต่กำไร หรือชาดทุน

ในแง่สาธารณสุข

บางครั้ง WHO ก็เชื่อถือไม่ได้

และหมอไทยก็ ไม่เป็นรองใครในโลก ขอบคุณ มูลนิธิอานันทมหิดล  ในอดีต ที่เป็นต้นแบบส่งคนไปเรียนรู้ต่อยอดพัฒนาความรู้ทางกาแทพย์ในต่างประเทศ