น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ณ อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ น้ำตกที่มีน้ำให้เล่นตลอดทั้งปี
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสจัดทริปขับรถไปเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น จ.กาญจนบุรี ที่นี่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เป็นน้ำตกที่มีทั้งหมด 7 ชั้น โดยลานกางเต็นท์จะอยู่ที่ชั้น 4 ซึ่งเราสามารถขับรถเข้าไปได้เลย ช่วงเวลาในการมาเที่ยวน้ำตกมีคนแนะนำให้มาช่วงเดือน ตุลาคม - เมษายน ของทุกปี เพราะว่าน้ำจะไม่ขุ่นมาก สีเขียวธรรมชาติกำลังน่าเล่น ส่วนใครที่อยากมาช่วงต้นปีอาจจะต้องทำใจกับปัญหาไฟป่าที่จะเกิดขึ้นด้วย นอกจากทิวทัศน์ที่เห็นเป็นต้นไม้น้ำตาลไหม้แล้ว ก็หมอกควันที่ลอยไปลอยมาเต็มบดบังทัศนวิสัยนี่ล่ะครับ ที่อาจทำให้เราต้องผิดหวังไปบ้างกับการเดินทางครั้งนั้น
ครั้งนี้ผมเลือกเดินทางด้วยรถส่วนตัวเพราะอยากไปแวะถ่ายรูปที่สันเขื่อนศรีนครินทร์ก่อน แล้วค่อยเข้าไปที่น้ำตก ผมจำได้ว่าเมื่อช่วงฤดูฝนปีที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ขับขึ้นไปเห็นเป็นสายหมอกพาดผ่านแนวสันเขายาวเป็นเส้นเลย จึงอยากรู้ว่าถ้ามาช่วงต้นปีบรรยากาศจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ก่อนออกเดินทางเพจของอุทยานแห่งชาติได้แจ้งข่าวเรื่องปัญหาควันไฟที่ลอยมาแทนที่วิวภูเขาในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำให้พอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าวิวคงแย่สุดๆ อีกเรื่องที่ควรรู้ก่อนเดินทางคือน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเปิดให้เข้าชมได้ถึง 17.00 น. ควรรีบไปให้ถึงก่อนบ่ายสอง ไม่เช่นนั้นจะลงไปเล่นน้ำได้ไม่นานก็ต้องกลับออกมาแล้ว
รายละเอียดน้ำตก
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นมีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ถ้ามาเดือน กพ ก็จะเหลือแค่ 6 ชั้น
ชั้นที่ 1 ดงว่าน
ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น
ชั้นที่ 3 วังหน้าผา
ชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว (จอดรถ กางเต็นท์)
ชั้นที่ 5 ไหลจนหลง (ชั้นนี้หายไป ไม่มีน้ำเลย)
ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ
ชั้นที่ 7 ร่มเกล้า
สามชั้นแรกเดินลงไปตามทางไม้มีระยะทางประมาณ 300-750 เมตร ส่วนชั้น 5-7 ต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 1 กม ผมไปถึงกางเต็นท์เสร็จเรียบร้อยก็ลงไปเล่นน้ำตกชั้นล่างก่อน ตื่นเช้ามาค่อยไปถ่ายรูปที่ชั้นบนก่อนแล้วจึงเดินทางกลับ กทม
สิ่งอำนวยความสะดวก
มีห้องน้ำ ความสะอาดพร้อมมาก
มีร้านขายของชำเล็กๆ
มีร้านอาหาร ถ้าใครไม่อยากทำอาหาร สั่งใส่กล่องไว้กินตอนเย็นก็ยังได้ อาหารที่นี่ให้เยอะมาก คุ้มกับราคาเลย
ค่าเข้าบริการ
ค่าเข้าคนละ 100 บาท
นำรถยนต์ไปคิด 30 บาท
นำเต็นท์ไปกางเอง 30 บาท
เต็นท์มีให้เช่าราคาน่าจะประมาณ 300 บาทนะ
โดยค่าเสียหายตลอดทั้งทริปไม่เกิน 1000 บาท
มีหลายคนรีวิวละเอียดอยู่แล้ว หลังจากนี้ขอรีวิวด้วยภาพแทนเลยละกัน
เราขับรถมาถึง ม.เกษตรกำแพงแสนก่อนในช่วงเช้า ดอกชมพูพันธ์ุทิพย์กำลังบานช่วงนี้พอดีเลยได้เวลาแวะถ่ายรูปสักหน่อย
เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ ผมขับยาวๆเพื่อไปชมวิวที่สันเขื่อนศรีนครินทร์ก่อนเลยครับ แม้จะถึงตอนเที่ยงก็ตาม
นี่คือสภาพภูเขาที่หาความเขียวไม่ได้อีกแล้ว แถมต้นไม้ก็ยังแห้งตายไปเยอะมาก
ฝั่งเขื่อนก็เช่นกัน ภูเขาไม่เขียวอีกต่อไป ในรูปนี้คือผมเพิ่มคอนทราสต์ให้รูปนะครับ ของจริงๆไม่ชัดขนาดนี้เพราะฝุ่นละอองเยอะมาก
เพื่อนร่วมทริปกับภูเขาหม่อมบาง
ขับเลยมาอีกนิดข้างบนจะมีนาฬิกาแดดให้เราได้ว้าวด้วยนะ
ลองอ่านเวลาดูคร่าวๆก็ดูตรงนะ คาราวะคนออกแบบเลย
จากตรงนี้มีเส้นทางที่สามารถวิ่งเข้าไปหาน้ำตกได้เลยครับ ซึ่งทางค่อนข้างไกลพอตัวกว่าจะมาถึงทางเข้า ทางทำเป็นถนนคอนกรีตขับง่ายรถเก๋งก็ผ่านไปได้แน่นอน ไม่นานเกินรอผมมาถึงที่พักรีบลงมือกางเต็นท์จัดการสัมภาระ แล้วก็แบกกล้องไปถ่ายน้ำตกชั้นแรกๆก่อนเลย
ชั้นที่ 1 ดงว่าน ชั้นนี้สามารถมองเห็นน้ำตกไหลลงมาเป็นชั้นๆได้เลย น้ำใส และไม่มีปลา เล่นน้ำได้เหมือนเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวเลย
เพื่อบอกดีกว่าอ่างที่เคยใช้บริการเลยครับ หมายถึงอ่างน้ำของโรงแรมที่เคยพักมา
ตรงนี้ตอนนั้นที่ถ่ายภาพอยู่มีพี่ช่างกล้องคนนึง ได้มาตั้งกล้องถ่ายภาพด้วยเหมือนกันครับ พี่เค้าใจดีมากแนะนำเทคนิคถ่ายภาพเพียบพร้อมทั้งยื่น filter ND64 ให้ลอง ตอนนั้นผมยังไม่ได้ซื้อ Filter พอลองครั้งแรกก็ติดใจเลยกลับมาจัดสักตัวไม่รอช้า พอใส่แล้วถ่ายน้ำตกตัดแสงสะท้อนได้ดีเลยครับ
ซูมเข้าไปบริเวณชั้นบนๆ เราสามารถปีนไปเล่นน้ำข้างบนได้เลยนะเพราะไม่ค่อยลื่นมาก และหินไม่ได้แหลมคมขนาดนั้น แต่ยังไงก็ต้องระมัดระวังอยู่ดี ไม่ประมาทเดี๋ยวจะเล่นน้ำไม่สนุก
ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น ชั้นนี้เห็นคนมาเล่นกันเยอะก็เลยถ่ายไว้แค่รูปเดียว
ตรงนี้น่าจะระหว่างชั้น 2 กับชั้น 3 นะครับ พอดีป้ายไม่ได้บอกว่าอยู่ที่ชั้นไหน
บริเวณนี้ก็น่าเล่นมากๆ ม่านน้ำแบบนี้ต้องได้ไปแช่ แต่เสียดายผมใช้เวลากับชั้น 1 เยอะมาก เลยแค่มาถ่ายรูปชั้นนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ชั้นที่ 3 วังหน้าผา เดินลงมาจากชั้นที่ 4 ก็จะเจอชั้นนี้ก่อนเลยครับ เล่นน้ำได้ ผาสวย แต่คนก็จะเยอะนิดหน่อยไม่ว่ากัน
ชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว ชั้นนี้ยิ่งใหญ่อลังการมาก ชั้นนี้แทบจะเป็นจุดขายของที่นี่เลยครับ แต่ผมถ่ายรูปมามันดูยังไม่น่าเชิญชวนมากเท่าไร แถมน้ำไม่ได้ไหลเยอะเหมือนช่วง ตค ด้วย เอาเป็นว่าดีจริงๆต้องบอกต่อเลยครับ
พยายามถ่ายภาพรวมของชั้นที่ 4
กลางคืนก็มานั่งทำอาหารกินกับเพื่อน ที่นี่จะงดใช้เสียงช่วง 22.00 น. เพื่อไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ ช่วงตีสี่ผมตื่นมาถ่ายทางช้างเผือกได้พอดีเลย เพราะเป็นคืนเดือนมืดด้วย และฟ้าเปิดในหน้าหนาวพอดี
เสียดายภาพแตกไปเยอะเลย ช่วงตีห้าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว จากเดิมมืดๆก็จะเริ่มอมชมพูให้เห็น ช้างก็ยังอยู่ยังไม่หายไปไหน เป็นอีกจุดชมวิวที่เหมาะแก่การมาถ่ายภาพทางช้างเผือก
เช้าแล้วน้องหิวข้าว เดินมาปลุกถึงหน้าเต็นท์เลย
ไม่หยิ่งด้วย ถ่ายอยู่ดีๆก็กระโดดมานั่งบนตักเฉยๆเลย กันเองมากน้อง
พระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นมาสาดแสงแรกให้เราได้เห็นกลุ่มหมอกอันเล็กๆกำลังลอยคลุมหมู่ต้นไม้ใกล้ๆกับแนวเขื่อน
ต้นไม้ไม่ได้เลือกรับแสง แต่แสงต่างหากที่เลือกส่องต้นไม้ต้นนั้น
เช้าหลังจากกินมื้อเช้าไปก็ไปถ่ายชั้นที่เหลือกันต่อ
ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ กว้างมากๆ แต่ละชั้นส่งน้ำให้ไหลต่อๆเหมือนชั้นเค้กเลย
น้ำมีได้ทั้งปีจริงๆ
ชั้นนี้ก็ดูพอจะเล่นน้ำได้นะ แต่ผมไม่ได้อยู่เล่นนะเพราะต้องไปพิชิตชั้นสุดท้ายก่อน
ถึงแล้ว ชั้นที่ 7 ร่มเกล้า
ชั้นนี้มีความสลับซับซ้อนของพื้นที่เยอะมาก ด้วยความที่มีต้นไม้เยอะด้วย เลยดูเหมือนมีชั้นย่อยเยอะกว่าชั้นอื่นๆ
ด้านบนสุด มองดูแล้วเป็นอีกชั้นที่เราไม่ต้องเปียกทั้งตัวก็มีความสุขกับบรรยากาศตรงหน้าได้
น้ำไม่ลึกเลยนะประมาณหัวเข่าบางช่วงเท่านั้น
หันซ้ายไปเห็นตอไม้ในตำนาน
มาเช้าๆ ไม่มีคนเลย ตรงนี้จึงเป็นที่ของเรา
ให้ดูเบื้องหลัง ระหว่างทางที่เดินขึ้นน้ำตก ฝั่งซ้ายโดนไฟเผาไปหมดแล้ว ถ้าไม่มีเส้นทางเดินกันไว้คงไม่มีเขียวให้เราได้ชมแน่นอน ฝั่งขวาคือฝั่งที่อยู่กับน้ำตก ก็เลยยังมีความชุ่มชื้นอยู่บ้าง
โดยปกติแล้ว ไฟป่าไม่ได้เกิดขึ้นเองได้ในที่แห่งนี้ แต่คนต่างหากที่เป็นต้นตอของปัญหาที่เกิดในทุกๆปี
ลาด้วยภาพความประทับใจนี้ละกัน ไว้จะมารีวิวอีกครั้งทริปหน้าครับ
ติดตามเพิ่มเติม หรือใครอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์สามารถตามได้ที่
IG: w.whereihavebeen
FB: where I have been | ไป มา แล้ว
ขอบคุณที่ติดตาม สวัสดีครับ
รีวิวกางเต็นท์ นอนดูดาว ที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น 2 วัน 1 คืน
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสจัดทริปขับรถไปเที่ยวน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น จ.กาญจนบุรี ที่นี่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ เป็นน้ำตกที่มีทั้งหมด 7 ชั้น โดยลานกางเต็นท์จะอยู่ที่ชั้น 4 ซึ่งเราสามารถขับรถเข้าไปได้เลย ช่วงเวลาในการมาเที่ยวน้ำตกมีคนแนะนำให้มาช่วงเดือน ตุลาคม - เมษายน ของทุกปี เพราะว่าน้ำจะไม่ขุ่นมาก สีเขียวธรรมชาติกำลังน่าเล่น ส่วนใครที่อยากมาช่วงต้นปีอาจจะต้องทำใจกับปัญหาไฟป่าที่จะเกิดขึ้นด้วย นอกจากทิวทัศน์ที่เห็นเป็นต้นไม้น้ำตาลไหม้แล้ว ก็หมอกควันที่ลอยไปลอยมาเต็มบดบังทัศนวิสัยนี่ล่ะครับ ที่อาจทำให้เราต้องผิดหวังไปบ้างกับการเดินทางครั้งนั้น
ครั้งนี้ผมเลือกเดินทางด้วยรถส่วนตัวเพราะอยากไปแวะถ่ายรูปที่สันเขื่อนศรีนครินทร์ก่อน แล้วค่อยเข้าไปที่น้ำตก ผมจำได้ว่าเมื่อช่วงฤดูฝนปีที่ผ่านมา ระหว่างทางที่ขับขึ้นไปเห็นเป็นสายหมอกพาดผ่านแนวสันเขายาวเป็นเส้นเลย จึงอยากรู้ว่าถ้ามาช่วงต้นปีบรรยากาศจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ก่อนออกเดินทางเพจของอุทยานแห่งชาติได้แจ้งข่าวเรื่องปัญหาควันไฟที่ลอยมาแทนที่วิวภูเขาในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ทำให้พอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าวิวคงแย่สุดๆ อีกเรื่องที่ควรรู้ก่อนเดินทางคือน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นเปิดให้เข้าชมได้ถึง 17.00 น. ควรรีบไปให้ถึงก่อนบ่ายสอง ไม่เช่นนั้นจะลงไปเล่นน้ำได้ไม่นานก็ต้องกลับออกมาแล้ว
รายละเอียดน้ำตก
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นมีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ถ้ามาเดือน กพ ก็จะเหลือแค่ 6 ชั้น
ชั้นที่ 1 ดงว่าน
ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น
ชั้นที่ 3 วังหน้าผา
ชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว (จอดรถ กางเต็นท์)
ชั้นที่ 5 ไหลจนหลง (ชั้นนี้หายไป ไม่มีน้ำเลย)
ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ
ชั้นที่ 7 ร่มเกล้า
สามชั้นแรกเดินลงไปตามทางไม้มีระยะทางประมาณ 300-750 เมตร ส่วนชั้น 5-7 ต้องเดินขึ้นไปอีกประมาณ 1 กม ผมไปถึงกางเต็นท์เสร็จเรียบร้อยก็ลงไปเล่นน้ำตกชั้นล่างก่อน ตื่นเช้ามาค่อยไปถ่ายรูปที่ชั้นบนก่อนแล้วจึงเดินทางกลับ กทม
สิ่งอำนวยความสะดวก
มีห้องน้ำ ความสะอาดพร้อมมาก
มีร้านขายของชำเล็กๆ
มีร้านอาหาร ถ้าใครไม่อยากทำอาหาร สั่งใส่กล่องไว้กินตอนเย็นก็ยังได้ อาหารที่นี่ให้เยอะมาก คุ้มกับราคาเลย
ค่าเข้าบริการ
ค่าเข้าคนละ 100 บาท
นำรถยนต์ไปคิด 30 บาท
นำเต็นท์ไปกางเอง 30 บาท
เต็นท์มีให้เช่าราคาน่าจะประมาณ 300 บาทนะ
โดยค่าเสียหายตลอดทั้งทริปไม่เกิน 1000 บาท
มีหลายคนรีวิวละเอียดอยู่แล้ว หลังจากนี้ขอรีวิวด้วยภาพแทนเลยละกัน
เราขับรถมาถึง ม.เกษตรกำแพงแสนก่อนในช่วงเช้า ดอกชมพูพันธ์ุทิพย์กำลังบานช่วงนี้พอดีเลยได้เวลาแวะถ่ายรูปสักหน่อย
เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ ผมขับยาวๆเพื่อไปชมวิวที่สันเขื่อนศรีนครินทร์ก่อนเลยครับ แม้จะถึงตอนเที่ยงก็ตาม
นี่คือสภาพภูเขาที่หาความเขียวไม่ได้อีกแล้ว แถมต้นไม้ก็ยังแห้งตายไปเยอะมาก
ฝั่งเขื่อนก็เช่นกัน ภูเขาไม่เขียวอีกต่อไป ในรูปนี้คือผมเพิ่มคอนทราสต์ให้รูปนะครับ ของจริงๆไม่ชัดขนาดนี้เพราะฝุ่นละอองเยอะมาก
เพื่อนร่วมทริปกับภูเขาหม่อมบาง
ขับเลยมาอีกนิดข้างบนจะมีนาฬิกาแดดให้เราได้ว้าวด้วยนะ
ลองอ่านเวลาดูคร่าวๆก็ดูตรงนะ คาราวะคนออกแบบเลย
จากตรงนี้มีเส้นทางที่สามารถวิ่งเข้าไปหาน้ำตกได้เลยครับ ซึ่งทางค่อนข้างไกลพอตัวกว่าจะมาถึงทางเข้า ทางทำเป็นถนนคอนกรีตขับง่ายรถเก๋งก็ผ่านไปได้แน่นอน ไม่นานเกินรอผมมาถึงที่พักรีบลงมือกางเต็นท์จัดการสัมภาระ แล้วก็แบกกล้องไปถ่ายน้ำตกชั้นแรกๆก่อนเลย
ชั้นที่ 1 ดงว่าน ชั้นนี้สามารถมองเห็นน้ำตกไหลลงมาเป็นชั้นๆได้เลย น้ำใส และไม่มีปลา เล่นน้ำได้เหมือนเป็นสระว่ายน้ำส่วนตัวเลย
เพื่อบอกดีกว่าอ่างที่เคยใช้บริการเลยครับ หมายถึงอ่างน้ำของโรงแรมที่เคยพักมา
ตรงนี้ตอนนั้นที่ถ่ายภาพอยู่มีพี่ช่างกล้องคนนึง ได้มาตั้งกล้องถ่ายภาพด้วยเหมือนกันครับ พี่เค้าใจดีมากแนะนำเทคนิคถ่ายภาพเพียบพร้อมทั้งยื่น filter ND64 ให้ลอง ตอนนั้นผมยังไม่ได้ซื้อ Filter พอลองครั้งแรกก็ติดใจเลยกลับมาจัดสักตัวไม่รอช้า พอใส่แล้วถ่ายน้ำตกตัดแสงสะท้อนได้ดีเลยครับ
ซูมเข้าไปบริเวณชั้นบนๆ เราสามารถปีนไปเล่นน้ำข้างบนได้เลยนะเพราะไม่ค่อยลื่นมาก และหินไม่ได้แหลมคมขนาดนั้น แต่ยังไงก็ต้องระมัดระวังอยู่ดี ไม่ประมาทเดี๋ยวจะเล่นน้ำไม่สนุก
ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น ชั้นนี้เห็นคนมาเล่นกันเยอะก็เลยถ่ายไว้แค่รูปเดียว
ตรงนี้น่าจะระหว่างชั้น 2 กับชั้น 3 นะครับ พอดีป้ายไม่ได้บอกว่าอยู่ที่ชั้นไหน
บริเวณนี้ก็น่าเล่นมากๆ ม่านน้ำแบบนี้ต้องได้ไปแช่ แต่เสียดายผมใช้เวลากับชั้น 1 เยอะมาก เลยแค่มาถ่ายรูปชั้นนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก
ชั้นที่ 3 วังหน้าผา เดินลงมาจากชั้นที่ 4 ก็จะเจอชั้นนี้ก่อนเลยครับ เล่นน้ำได้ ผาสวย แต่คนก็จะเยอะนิดหน่อยไม่ว่ากัน
ชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว ชั้นนี้ยิ่งใหญ่อลังการมาก ชั้นนี้แทบจะเป็นจุดขายของที่นี่เลยครับ แต่ผมถ่ายรูปมามันดูยังไม่น่าเชิญชวนมากเท่าไร แถมน้ำไม่ได้ไหลเยอะเหมือนช่วง ตค ด้วย เอาเป็นว่าดีจริงๆต้องบอกต่อเลยครับ
พยายามถ่ายภาพรวมของชั้นที่ 4
กลางคืนก็มานั่งทำอาหารกินกับเพื่อน ที่นี่จะงดใช้เสียงช่วง 22.00 น. เพื่อไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ ช่วงตีสี่ผมตื่นมาถ่ายทางช้างเผือกได้พอดีเลย เพราะเป็นคืนเดือนมืดด้วย และฟ้าเปิดในหน้าหนาวพอดี
เสียดายภาพแตกไปเยอะเลย ช่วงตีห้าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว จากเดิมมืดๆก็จะเริ่มอมชมพูให้เห็น ช้างก็ยังอยู่ยังไม่หายไปไหน เป็นอีกจุดชมวิวที่เหมาะแก่การมาถ่ายภาพทางช้างเผือก
เช้าแล้วน้องหิวข้าว เดินมาปลุกถึงหน้าเต็นท์เลย
ไม่หยิ่งด้วย ถ่ายอยู่ดีๆก็กระโดดมานั่งบนตักเฉยๆเลย กันเองมากน้อง
พระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นมาสาดแสงแรกให้เราได้เห็นกลุ่มหมอกอันเล็กๆกำลังลอยคลุมหมู่ต้นไม้ใกล้ๆกับแนวเขื่อน
ต้นไม้ไม่ได้เลือกรับแสง แต่แสงต่างหากที่เลือกส่องต้นไม้ต้นนั้น
เช้าหลังจากกินมื้อเช้าไปก็ไปถ่ายชั้นที่เหลือกันต่อ
ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ กว้างมากๆ แต่ละชั้นส่งน้ำให้ไหลต่อๆเหมือนชั้นเค้กเลย
น้ำมีได้ทั้งปีจริงๆ
ชั้นนี้ก็ดูพอจะเล่นน้ำได้นะ แต่ผมไม่ได้อยู่เล่นนะเพราะต้องไปพิชิตชั้นสุดท้ายก่อน
ถึงแล้ว ชั้นที่ 7 ร่มเกล้า
ชั้นนี้มีความสลับซับซ้อนของพื้นที่เยอะมาก ด้วยความที่มีต้นไม้เยอะด้วย เลยดูเหมือนมีชั้นย่อยเยอะกว่าชั้นอื่นๆ
ด้านบนสุด มองดูแล้วเป็นอีกชั้นที่เราไม่ต้องเปียกทั้งตัวก็มีความสุขกับบรรยากาศตรงหน้าได้
น้ำไม่ลึกเลยนะประมาณหัวเข่าบางช่วงเท่านั้น
หันซ้ายไปเห็นตอไม้ในตำนาน
มาเช้าๆ ไม่มีคนเลย ตรงนี้จึงเป็นที่ของเรา
ให้ดูเบื้องหลัง ระหว่างทางที่เดินขึ้นน้ำตก ฝั่งซ้ายโดนไฟเผาไปหมดแล้ว ถ้าไม่มีเส้นทางเดินกันไว้คงไม่มีเขียวให้เราได้ชมแน่นอน ฝั่งขวาคือฝั่งที่อยู่กับน้ำตก ก็เลยยังมีความชุ่มชื้นอยู่บ้าง
โดยปกติแล้ว ไฟป่าไม่ได้เกิดขึ้นเองได้ในที่แห่งนี้ แต่คนต่างหากที่เป็นต้นตอของปัญหาที่เกิดในทุกๆปี
ลาด้วยภาพความประทับใจนี้ละกัน ไว้จะมารีวิวอีกครั้งทริปหน้าครับ
ติดตามเพิ่มเติม หรือใครอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์สามารถตามได้ที่
IG: w.whereihavebeen
FB: where I have been | ไป มา แล้ว
ขอบคุณที่ติดตาม สวัสดีครับ