ถ้าจะให้เทียบระหว่างOne Take(OT) กับGirl Don't Cry(GDC) จะพาเราเริ่มแนะนำตั้งแต่ต้นว่าBNKคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร ล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน จนขมวดไปสู่ปมขัดแย้งในเรื่องถึงความเป็นตัวTopและUnderได้อย่างถึงพริกถึงขิง
ในขณะที่หนังOT จะเลือกที่จะไม่ได้บอกเล่าที่มาของวงมากนัก ซึ่งก็ถูกแล้ว เพราะเล่าไปแล้วในGDC หนังเลยเลือกที่จะเล่าเหตุการณ์ช่วงเลือกตั้งครั้งแรกของวงมากกว่า ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่ดูGDCมาก่อน แนะนำให้ดูGDCก่อนที่จะมาดู OTครับ
จุดที่ชอบ....
หนังที่หลายคนมองว่าtimelineมันผ่านมานาน ผมกลับมองว่ามันสนุกดี ตรงที่ณ.เวลานั้นเทียบกับเวลานี้ น้องๆแต่ละคนมีความคิดความอ่านเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผมว่าคนที่จะสนุกมากๆคือตัวน้องๆเองที่มานั่งดู แล้วก็..อีหยังวะ ทำไมตอนนั้นชั้นพูดแบบนี้ เพราะผมเชื่อว่าพอผ่านไปสิ่งที่ดูจะเหมือนปมความขัดแย้งระหว่าง2รุ่น มันหมดไปแล้วในปัจจุบัน หรือหลายคนปัจจุบันนี้คงผ่านปมที่มีในหนังมาได้นานแล้ว และบางคนที่เราเห็นในหนัง ปัจจุบันก็ได้แกรด(ออกจากวง)ไปในทางของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
กับอีกสิ่งที่ชอบของหนังแนวนี้ คือเราจะไม่มีวันที่จะรู้ความคิดของน้องๆจริงๆจนกว่าจะมีหนังแนวนี้ออกมา นั้นแหละคือความสนุกครับ ยิ่งเป็นช่วงเลือกตั้งBNKที่มีความแข่งขันกันสูง ผมจึงสงสัยอยากรู้มาตั้งนาน ว่าน้องๆแต่ละคนรู้สึกยังอย่างไรคิดอย่างไร
จุดที่ไม่ชอบ......
หนังเลือกที่จะเล่าไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่หยิบยกประเด็นบางอย่างมาขยี้มากนัก เช่นการแข่งขันระหว่างรุ่น ความกดดันในช่วงเลือกตั้ง ความไม่สนิทกันระหว่างรุ่น1กับ2 ความอยากในการได้ตำแหน่ง ความไม่ชอบใจกับผลด่วนเลือกตั้งที่ได้
คือเล่าผ่านบทสัมภาษณ์ของน้องๆแบบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนเรานั่งดูรายการSenpaiมากกว่าที่จะได้ดูปมอะไรที่ดึงดูดให้หนังมันมีความน่าสนใจ ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงน่าจะเหมาะกับแฟนๆBNKอยู่แล้ว แต่คนนอกมาชมอาจจะรู้สึกเฉยๆ เรื่อยๆเนือยๆจนจบไปครับ ยิ่งบางฟุตเตจในช่วงท้ายแทบจะยกมาทั้งดุ้นกับงานประกาศผลการเลือกตั้ง หนังจึงดรอปและแผ่วไปจนจบอย่างน่าเสียดาย
มาถึงน้องๆที่ผมชอบในหนัง....
ปู้เป้ ยังคงความขโมยซีนและความฮาของหนังได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทุกคำพูดที่เป้พูดไม่แปลกใจว่าทำไมเต๋อถึงเอาเป้เป็นตัวเดินเรื่องในองค์แรกของGDC มาOTแม้ดูซีนจะน้อยลง แต่ความที่less but more น้อยกลับมากของเป้ ก็ยังทำให้ได้ใจผมทุกครั้งเวลาที่เป้พูดจริงๆ โดยเฉพาะความในใจเป้เรื่องเลือกตั้งกับผลอันดับตัวเอง(ไม่Spoil)
เฌอ จิ๊บ หนังยังคงเล่นประเด็นเรื่องTop กับUnderเหมือนในGDCราวกับภาคต่อ หนังยังคงทำจุดนี้ได้ดีสำหรับสองคนนี้ เป็นส่วนขยายความของสองคนนี้ต่อจากGDCให้จบลงอย่างสมบูรณ์
แก้วกับอร สองคนนี้ผมว่าถ้าเอาประเด็นที่สองคนนี้พูดไปขยี้ปมในหนังได้ หนังมันคงจะสนุกกว่านี้ ทุกเรื่องที่สองคนนี้พูดมันโดนจริงๆ ถ้าจะมีใครที่กล้าที่จะพูดตรงๆเรื่องการแข่งขันภายในวงก็ต้องสองคนนี้แหละ เสียดายที่หนังเหมือนกับปล่อยเลยผ่านเลย
ฝ้ายกับเว็บพัน..... ประเด็นนี้ผมไม่Spoilครับ ไปดูกันเอาเอง ประเด็นนี้ผมดูแล้วก็ชอบเหมือนกัน ว่าความพยายามแท้จริงแล้วมันคืออะไร ต้องแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพยายาม
และคนสุดท้ายโมบายล์ ทำให้ผมได้รู้ว่า ไอตำแหน่งCenterเนี้ย มันไม่ได้มาพร้อมความสุขเสมอไป มันมาพร้อมความกดดันต่างๆมากมาย
ความพยายามในการพัฒนาตัวเองของน้องที่อยากจะกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองบางอย่างในขณะนั้น จนตัวเองอยากกลับไปเป็นCenterอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ประทับใจผมมากในหนังครับ
สรุปสำหรับผมกับเรื่องOne Take เป็นผมๆให้ 6/10ครับ
Review One Take สอบผ่านในแง่ความเป็นหนังดูสบายๆ สอบตกในแง่ความเป็นหนังดราม่า
ถ้าจะให้เทียบระหว่างOne Take(OT) กับGirl Don't Cry(GDC) จะพาเราเริ่มแนะนำตั้งแต่ต้นว่าBNKคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร ล้มลุกคลุกคลานแค่ไหน จนขมวดไปสู่ปมขัดแย้งในเรื่องถึงความเป็นตัวTopและUnderได้อย่างถึงพริกถึงขิง
ในขณะที่หนังOT จะเลือกที่จะไม่ได้บอกเล่าที่มาของวงมากนัก ซึ่งก็ถูกแล้ว เพราะเล่าไปแล้วในGDC หนังเลยเลือกที่จะเล่าเหตุการณ์ช่วงเลือกตั้งครั้งแรกของวงมากกว่า ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่ดูGDCมาก่อน แนะนำให้ดูGDCก่อนที่จะมาดู OTครับ
จุดที่ชอบ....
หนังที่หลายคนมองว่าtimelineมันผ่านมานาน ผมกลับมองว่ามันสนุกดี ตรงที่ณ.เวลานั้นเทียบกับเวลานี้ น้องๆแต่ละคนมีความคิดความอ่านเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผมว่าคนที่จะสนุกมากๆคือตัวน้องๆเองที่มานั่งดู แล้วก็..อีหยังวะ ทำไมตอนนั้นชั้นพูดแบบนี้ เพราะผมเชื่อว่าพอผ่านไปสิ่งที่ดูจะเหมือนปมความขัดแย้งระหว่าง2รุ่น มันหมดไปแล้วในปัจจุบัน หรือหลายคนปัจจุบันนี้คงผ่านปมที่มีในหนังมาได้นานแล้ว และบางคนที่เราเห็นในหนัง ปัจจุบันก็ได้แกรด(ออกจากวง)ไปในทางของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
กับอีกสิ่งที่ชอบของหนังแนวนี้ คือเราจะไม่มีวันที่จะรู้ความคิดของน้องๆจริงๆจนกว่าจะมีหนังแนวนี้ออกมา นั้นแหละคือความสนุกครับ ยิ่งเป็นช่วงเลือกตั้งBNKที่มีความแข่งขันกันสูง ผมจึงสงสัยอยากรู้มาตั้งนาน ว่าน้องๆแต่ละคนรู้สึกยังอย่างไรคิดอย่างไร
จุดที่ไม่ชอบ......
หนังเลือกที่จะเล่าไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่หยิบยกประเด็นบางอย่างมาขยี้มากนัก เช่นการแข่งขันระหว่างรุ่น ความกดดันในช่วงเลือกตั้ง ความไม่สนิทกันระหว่างรุ่น1กับ2 ความอยากในการได้ตำแหน่ง ความไม่ชอบใจกับผลด่วนเลือกตั้งที่ได้
คือเล่าผ่านบทสัมภาษณ์ของน้องๆแบบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนเรานั่งดูรายการSenpaiมากกว่าที่จะได้ดูปมอะไรที่ดึงดูดให้หนังมันมีความน่าสนใจ ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงน่าจะเหมาะกับแฟนๆBNKอยู่แล้ว แต่คนนอกมาชมอาจจะรู้สึกเฉยๆ เรื่อยๆเนือยๆจนจบไปครับ ยิ่งบางฟุตเตจในช่วงท้ายแทบจะยกมาทั้งดุ้นกับงานประกาศผลการเลือกตั้ง หนังจึงดรอปและแผ่วไปจนจบอย่างน่าเสียดาย
มาถึงน้องๆที่ผมชอบในหนัง....
ปู้เป้ ยังคงความขโมยซีนและความฮาของหนังได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทุกคำพูดที่เป้พูดไม่แปลกใจว่าทำไมเต๋อถึงเอาเป้เป็นตัวเดินเรื่องในองค์แรกของGDC มาOTแม้ดูซีนจะน้อยลง แต่ความที่less but more น้อยกลับมากของเป้ ก็ยังทำให้ได้ใจผมทุกครั้งเวลาที่เป้พูดจริงๆ โดยเฉพาะความในใจเป้เรื่องเลือกตั้งกับผลอันดับตัวเอง(ไม่Spoil)
เฌอ จิ๊บ หนังยังคงเล่นประเด็นเรื่องTop กับUnderเหมือนในGDCราวกับภาคต่อ หนังยังคงทำจุดนี้ได้ดีสำหรับสองคนนี้ เป็นส่วนขยายความของสองคนนี้ต่อจากGDCให้จบลงอย่างสมบูรณ์
แก้วกับอร สองคนนี้ผมว่าถ้าเอาประเด็นที่สองคนนี้พูดไปขยี้ปมในหนังได้ หนังมันคงจะสนุกกว่านี้ ทุกเรื่องที่สองคนนี้พูดมันโดนจริงๆ ถ้าจะมีใครที่กล้าที่จะพูดตรงๆเรื่องการแข่งขันภายในวงก็ต้องสองคนนี้แหละ เสียดายที่หนังเหมือนกับปล่อยเลยผ่านเลย
ฝ้ายกับเว็บพัน..... ประเด็นนี้ผมไม่Spoilครับ ไปดูกันเอาเอง ประเด็นนี้ผมดูแล้วก็ชอบเหมือนกัน ว่าความพยายามแท้จริงแล้วมันคืออะไร ต้องแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพยายาม
และคนสุดท้ายโมบายล์ ทำให้ผมได้รู้ว่า ไอตำแหน่งCenterเนี้ย มันไม่ได้มาพร้อมความสุขเสมอไป มันมาพร้อมความกดดันต่างๆมากมาย
ความพยายามในการพัฒนาตัวเองของน้องที่อยากจะกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาดของตัวเองบางอย่างในขณะนั้น จนตัวเองอยากกลับไปเป็นCenterอีกครั้ง เป็นสิ่งที่ประทับใจผมมากในหนังครับ
สรุปสำหรับผมกับเรื่องOne Take เป็นผมๆให้ 6/10ครับ