เล่าก่อนนะคะว่า สาเหตุที่เรากินมังสวิรัติ หรืองดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์มาจาก ความคิดที่ไม่อยากจะเบียดเบียนชีวิตสัตว์มาเป็นอาหารของเรา
โดยพื้นฐาน ปกติตอนเด็ก ๆ เป็นคนไม่นิยมทานผักเลย ทานแต่เนื้อสัตว์เป็นหลักมาตลอด เต้าหู้นี่ไม่เคยชอบ แต่หลังจากมากินมังสวิรัติเพราะได้ตั้งจิตเป็นมหากุศลไว้ดีแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่ขอเบียดเบียนสรรพสัตว์ ซึ่งเราก็เริ่มทำครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งตอนนั้นจะกินเฉพาะวันพระ จนเรื่อยมาถึงเดือน มิถุนา ช่วงก่อนเข้าพรรษานิดหน่อยของปี 2552 เราจึงได้เริ่มกินมังสวิรัติทุกวันทุกมื้อ แต่ตอนแรกยังกินพวก นม เนย ไข่ และน้ำปลา รวมถึงน้ำพริกแมงดา เรียกง่าย ๆ ว่าช่วงแรกที่ทำยังไปไม่เป็น หาของมังสวิรัติแท้ ๆ ไม่รู้มีขายที่ไหนบ้าง เลยกินแบบที่เขาจะเรียกกันว่า เจเขี่ย ไปพลาง ๆ ก่อน ทำไปได้ซัก ถึงปี 2553 ช่วงกลางปี เราได้มีโอกาสไปกินส้มตำร้านหนึ่ง บอกแม่ค้า เอาส้มตำมังสวิรัติ ไม่ใส่กุ้งนะ แม่ค้าถามว่า ใส่น้ำปลาได้มั้ย เราบอก ใส่ได้ แม่ค้าเลยว่าให้ว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง และบวกกับได้ไปฟังธรรมะจากไหนจำไม่ได้แล้วค่ะ เนื้อความมีว่า พระพุทธองค์ทรงติเตียนผู้ที่ไไม่บริโภคเนื้อสัตว์แต่ยังบริโภคของที่เจือปนด้วยเลือดและเนื้อของสัตว์อยู่ว่า ไม่ต่างจากการบริโภคเนื้อสัตว์ เรามาพิจารณาก็เห็นจริงตามนั้น คือ ต่อให้แม่ค้าพ่อค้าตักแต่ผักให้ยังไง ก็ยังมีเศษ ๆ ของเนื้อสัตว์ผสมอยู่ในสิ่งที่เรากิน เพราะเราไม่ได้สั่งเฉพาะ หลังจากนั้นจึงไม่กินเครื่องปรุงที่ผสมเนื้อสัตว์ น้ำปลา น้ำพริกแมงดา หรือแม้แต่เจเขี่ยอีกเลย เป็นช่วงเวลาที่ได้ค่อย ๆ เริ่มรู้จักว่าที่ไหนมีอาหารเจขายบ้าง และได้ไปอุดหนุนเป็นครั้งคราว ถ้าไม่มีร้านเจก็ตามสั่งแบบไม่ใส่เนื้อสัตว์ คือ ข้าวผัดไข่ใส่ผัก ยำไข่ดาว ไข่เจียว ผัดผัก ช่วงนั้นก็จะประมาณนี้
พอมาช่วงนึง แม้แต่นมสัตว์เราก็ไม่อยากจะกิน เพราะมันได้มาจากการกลั่นมาเป้นน้ำนมของสัตว์ เราก็คิดว่า นมแม่มาจากเลือดแม่ นมวัวก็น่าจะมาจากเลือดวัว กลั่นออกมาเป็นน้ำนม บวกกับความคาวด้วย จึงค่อย ๆ เลิกกินไป
พอมาช่วงปี 2561 เราเริ่มพบว่า ไข่ที่เรากิน มันชักคาวเกินไป ทุกครั้งที่กินไข่ จะเหม็นกลิ่นสาปสัตว์และเหมือนกินเลือด อันนี้ช่วงนั้นกินไข่ออนเซ็นบ่อย ๆ จึงได้สังเกตว่ามันคาวและที่ไข่แดงมีกลิ่นเหมือนเลือดประจำเดือน ซึ่งไปหาจากใน pantip ก็ได้ข้อมูลมาว่า ไข่ไก่ คือ เม็นของไก่ ซึ่งไก่จะต่างจากคนที่มีเม็นทุกวัน แต่คนมีเม็นทุกเดือน พอนึกมาถึงตรงนี้ก็เริ่มขยะแขยงไม่อยากกิน เพราะเห็นว่าเม็นคือเลือดเสียเลือดสกปรก เป็นขอที่คนและสัตว์ขับออกมาเนื่องจากไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว คือ เลือดเน่าเลือดเสียนั่นเอง พอคิดได้อย่างนี้จึงหยุดกินไข่ไป แต่ยังกินพวกขนมที่มีส่วนผสมของไข่อยู่ เช่น พวกขนมปัง คุกกี้ เค้ก ต่าง ๆ ซึ่งพอมาถึงปีนนี้ 2563 ก็เริ่มรู้สสึกว่าขนมพวกนี้หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ เช่น หาของกินไม่ได้จะไม่กิน เพราะมันมีส่วนผสมของไข่
มาถึงในขณะนี้ แม้แต่พืชผัก ผลไม้ เราก็ไม่อยากจะกินอีกแล้ว ด้วยว่า ทราบว่าพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิต แต่จะให้อยู่ได้ยังไง ถ้าไม่กินอะไรซะเลย มันก็จะตายเอา เราคงต้องกินเพื่ออยู่ คือกินแต่น้อย กินเพื่อรักษาอัตภาพของร่างกายเอาไว้เท่านั้นแล้วล่ะ
อยากทิ้งท้ายทุกคนไว้นิดหนึ่งว่า พืช ผัก ผลไม้ เมื่อพรากเขามาจากต้นแล้ว อย่ากินทิ้งกินขว้าง พวกเขาก็มีชีวิต ชีวิตที่เหลือที่ยังพอจะทำประโยชน์คือสร้างความอิ่มให้แก่ใครได้บ้าง ก็ควรจะให้เขาได้ทำประโยชน์ให้เต็มที่ ถ้าของยังไม่เน่าไม่เสีย ก็อย่าเพิ่งโยนเขาทิ้งขยะ เขาอาจกำลังร้องไห้เสียใจ ที่เกิดมายังไม่ได้สร้างคุณค่าแก่ใครเลย ก็ถูกโยนทิ้งแล้ว
อยากชวนสนทนาธรรมกับทุกท่านที่สนใจแนวทางอย่างนี้ค่ะ คือ แนวทางการไม่เบียดเบียนกัน
จะเล่าให้ฟังนะคะว่าทำไม เราจึงเลิกทานเนื้อสัตว์
เราเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่เด็ก ๆ 4 ขวบได้ ฟังธรรมครั้งแรกตอน 7 ขวบ แล้วนิสัยต่าง ๆ ความคิดอะไรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ อีกเลย เราฟังธรรมเรื่องนางปพาจารี จนมองเห็นว่าชีวิตมีความไม่เที่ยง และทุกคนต้องตายลงในวันหนึ่ง
เราปฏิบัติหลักพรหมวิหาร 4 ได้ตั้งแต่อยู่ชั้นประถม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ ทำให้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราก็สามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเอง ความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครอีกเลย มีแต่จะเผื่อแผ่ความสุขที่มีไปให้กับคนรอบข้างด้วย
การนั่งสมาธิของเรา ขาด ๆ หาย ๆ ไป ไม่เสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็ถือว่าไม่เคยขาดเกิน 3 ปี
โดยก่อนที่เราจะนั่งสมาธิ เราจะตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ขอให้ข้าพเจ้าและสรรพสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีความสุข จากการไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความรัก ความเมตตา กรุณา ปรานี และความเป็นมิตรที่ดีต่อกันและกัน ดุจดั่งบิดา-มารดา มีต่อบุตรของตนด้วยเถิด"
สมัยก่อนตอนเรายังกินเนื้อสัตว์อยู่ เรานั่งสมาธิ มักเห็นนิมิตแห่งการฆ่า มีมีด มีเสียงคมมีดเฉืดน มีเลือดสาด มีกลิ่นคาวคลุ้ง ทำให้เรานั่งสมาธิได้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากมีภาพการก่อปาณาติบปาตมาก่อกวน
มีอยู่คืนหนึ่ง เราก็เห็นนิมิตเช่นเดิม คือ มีมีด มีเลือด มีกลิ่นคาว มีแต่ความดำมืด
แล้วอยู่ ๆ เราก็ได้ยินเสียงดัง เพียะ ๆ
แล้วตามด้วยเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้โฮ ฟังจากเสียงเธอวัยรุ่นแล้วล่ะ
เธอถามว่า แม่ ตีหนูทำไม
เสียงคนเป็นแม่บอกว่า พี่เขากำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ ไปแกล้งเขาทำไม
เสียงเด็กร้องไห้สะอึกสะอื้นบอกแม่ว่า แม่ ก็ในเมื่อเขา ตั้งใจจะไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่ทำไมตัวเขาเองยังกินเลือดกินเนื้อพวกเราอยู่เลยล่ะแม่
เราได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงตามนั้นทุกประการ
หลังจากนั้น ด้วยเหตุบังเอิญ หลายวันต่อมา เราไปทำงานตามปกติ จะสั่งอาหารกิน เป็นวันที่ไม่มีเนื้อสัตว์ขายเป็นมื้อแรกของวัน ซึ่งวันนั้นไม่ใช่วันพระ เราก็เลยกินของที่มี คือ ของที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ก็คิดเล่น ๆ ในใจว่า ไหนลองทำซัก 7 วันดูซิ ไม่กินเนื้อสัตว์ดูซิ
ทำไปทำมา ก็ได้มาจนถึงทุกวันนี้
อยากถามผู้ที่เคยมีประสบการณ์หรือมีความรู้ หรือสนใจ หรือมีแนวทาง ทางด้านนี้ว่า
การที่เราไม่อยากทานแม้แต่ พืช ผัก ผลไม้ อันเนื่องมาจากทราบว่า เขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน
อย่างนี้มันเหมาะ มันสม มันควรแก่เหตุหรือไม่
หรือพอจะมีคำแนะนำเพิ่มเติมแก่การปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้อย่างไรบ้าง
และทางด้านสุขภาพ จะส่งผลเสียอย่างไรไหม หากเราทานได้น้อยลง
มีข้อแนะนำด้านสุขภาพอย่างไรบ้างคะ
มาสนทนาแลกเปลี่ยนกันค่ะ
มีใครเป็นบ้างมั้ยคะ พอไม่กินเนื้อสัตว์มาสักระยะนึง แม้แต่ผัก ผลไม้ ก็ไม่อยากกิน
โดยพื้นฐาน ปกติตอนเด็ก ๆ เป็นคนไม่นิยมทานผักเลย ทานแต่เนื้อสัตว์เป็นหลักมาตลอด เต้าหู้นี่ไม่เคยชอบ แต่หลังจากมากินมังสวิรัติเพราะได้ตั้งจิตเป็นมหากุศลไว้ดีแล้วว่าชีวิตนี้จะไม่ขอเบียดเบียนสรรพสัตว์ ซึ่งเราก็เริ่มทำครั้งแรกในปี 2549 ซึ่งตอนนั้นจะกินเฉพาะวันพระ จนเรื่อยมาถึงเดือน มิถุนา ช่วงก่อนเข้าพรรษานิดหน่อยของปี 2552 เราจึงได้เริ่มกินมังสวิรัติทุกวันทุกมื้อ แต่ตอนแรกยังกินพวก นม เนย ไข่ และน้ำปลา รวมถึงน้ำพริกแมงดา เรียกง่าย ๆ ว่าช่วงแรกที่ทำยังไปไม่เป็น หาของมังสวิรัติแท้ ๆ ไม่รู้มีขายที่ไหนบ้าง เลยกินแบบที่เขาจะเรียกกันว่า เจเขี่ย ไปพลาง ๆ ก่อน ทำไปได้ซัก ถึงปี 2553 ช่วงกลางปี เราได้มีโอกาสไปกินส้มตำร้านหนึ่ง บอกแม่ค้า เอาส้มตำมังสวิรัติ ไม่ใส่กุ้งนะ แม่ค้าถามว่า ใส่น้ำปลาได้มั้ย เราบอก ใส่ได้ แม่ค้าเลยว่าให้ว่า เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง และบวกกับได้ไปฟังธรรมะจากไหนจำไม่ได้แล้วค่ะ เนื้อความมีว่า พระพุทธองค์ทรงติเตียนผู้ที่ไไม่บริโภคเนื้อสัตว์แต่ยังบริโภคของที่เจือปนด้วยเลือดและเนื้อของสัตว์อยู่ว่า ไม่ต่างจากการบริโภคเนื้อสัตว์ เรามาพิจารณาก็เห็นจริงตามนั้น คือ ต่อให้แม่ค้าพ่อค้าตักแต่ผักให้ยังไง ก็ยังมีเศษ ๆ ของเนื้อสัตว์ผสมอยู่ในสิ่งที่เรากิน เพราะเราไม่ได้สั่งเฉพาะ หลังจากนั้นจึงไม่กินเครื่องปรุงที่ผสมเนื้อสัตว์ น้ำปลา น้ำพริกแมงดา หรือแม้แต่เจเขี่ยอีกเลย เป็นช่วงเวลาที่ได้ค่อย ๆ เริ่มรู้จักว่าที่ไหนมีอาหารเจขายบ้าง และได้ไปอุดหนุนเป็นครั้งคราว ถ้าไม่มีร้านเจก็ตามสั่งแบบไม่ใส่เนื้อสัตว์ คือ ข้าวผัดไข่ใส่ผัก ยำไข่ดาว ไข่เจียว ผัดผัก ช่วงนั้นก็จะประมาณนี้
พอมาช่วงนึง แม้แต่นมสัตว์เราก็ไม่อยากจะกิน เพราะมันได้มาจากการกลั่นมาเป้นน้ำนมของสัตว์ เราก็คิดว่า นมแม่มาจากเลือดแม่ นมวัวก็น่าจะมาจากเลือดวัว กลั่นออกมาเป็นน้ำนม บวกกับความคาวด้วย จึงค่อย ๆ เลิกกินไป
พอมาช่วงปี 2561 เราเริ่มพบว่า ไข่ที่เรากิน มันชักคาวเกินไป ทุกครั้งที่กินไข่ จะเหม็นกลิ่นสาปสัตว์และเหมือนกินเลือด อันนี้ช่วงนั้นกินไข่ออนเซ็นบ่อย ๆ จึงได้สังเกตว่ามันคาวและที่ไข่แดงมีกลิ่นเหมือนเลือดประจำเดือน ซึ่งไปหาจากใน pantip ก็ได้ข้อมูลมาว่า ไข่ไก่ คือ เม็นของไก่ ซึ่งไก่จะต่างจากคนที่มีเม็นทุกวัน แต่คนมีเม็นทุกเดือน พอนึกมาถึงตรงนี้ก็เริ่มขยะแขยงไม่อยากกิน เพราะเห็นว่าเม็นคือเลือดเสียเลือดสกปรก เป็นขอที่คนและสัตว์ขับออกมาเนื่องจากไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว คือ เลือดเน่าเลือดเสียนั่นเอง พอคิดได้อย่างนี้จึงหยุดกินไข่ไป แต่ยังกินพวกขนมที่มีส่วนผสมของไข่อยู่ เช่น พวกขนมปัง คุกกี้ เค้ก ต่าง ๆ ซึ่งพอมาถึงปีนนี้ 2563 ก็เริ่มรู้สสึกว่าขนมพวกนี้หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ เช่น หาของกินไม่ได้จะไม่กิน เพราะมันมีส่วนผสมของไข่
มาถึงในขณะนี้ แม้แต่พืชผัก ผลไม้ เราก็ไม่อยากจะกินอีกแล้ว ด้วยว่า ทราบว่าพวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิต แต่จะให้อยู่ได้ยังไง ถ้าไม่กินอะไรซะเลย มันก็จะตายเอา เราคงต้องกินเพื่ออยู่ คือกินแต่น้อย กินเพื่อรักษาอัตภาพของร่างกายเอาไว้เท่านั้นแล้วล่ะ
อยากทิ้งท้ายทุกคนไว้นิดหนึ่งว่า พืช ผัก ผลไม้ เมื่อพรากเขามาจากต้นแล้ว อย่ากินทิ้งกินขว้าง พวกเขาก็มีชีวิต ชีวิตที่เหลือที่ยังพอจะทำประโยชน์คือสร้างความอิ่มให้แก่ใครได้บ้าง ก็ควรจะให้เขาได้ทำประโยชน์ให้เต็มที่ ถ้าของยังไม่เน่าไม่เสีย ก็อย่าเพิ่งโยนเขาทิ้งขยะ เขาอาจกำลังร้องไห้เสียใจ ที่เกิดมายังไม่ได้สร้างคุณค่าแก่ใครเลย ก็ถูกโยนทิ้งแล้ว
อยากชวนสนทนาธรรมกับทุกท่านที่สนใจแนวทางอย่างนี้ค่ะ คือ แนวทางการไม่เบียดเบียนกัน
จะเล่าให้ฟังนะคะว่าทำไม เราจึงเลิกทานเนื้อสัตว์
เราเป็นคนนั่งสมาธิมาตั้งแต่เด็ก ๆ 4 ขวบได้ ฟังธรรมครั้งแรกตอน 7 ขวบ แล้วนิสัยต่าง ๆ ความคิดอะไรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ อีกเลย เราฟังธรรมเรื่องนางปพาจารี จนมองเห็นว่าชีวิตมีความไม่เที่ยง และทุกคนต้องตายลงในวันหนึ่ง
เราปฏิบัติหลักพรหมวิหาร 4 ได้ตั้งแต่อยู่ชั้นประถม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ ทำให้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราก็สามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเอง ความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครอีกเลย มีแต่จะเผื่อแผ่ความสุขที่มีไปให้กับคนรอบข้างด้วย
การนั่งสมาธิของเรา ขาด ๆ หาย ๆ ไป ไม่เสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็ถือว่าไม่เคยขาดเกิน 3 ปี
โดยก่อนที่เราจะนั่งสมาธิ เราจะตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ขอให้ข้าพเจ้าและสรรพสัตว์ทั้งปวง จงเป็นผู้มีความสุข จากการไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความรัก ความเมตตา กรุณา ปรานี และความเป็นมิตรที่ดีต่อกันและกัน ดุจดั่งบิดา-มารดา มีต่อบุตรของตนด้วยเถิด"
สมัยก่อนตอนเรายังกินเนื้อสัตว์อยู่ เรานั่งสมาธิ มักเห็นนิมิตแห่งการฆ่า มีมีด มีเสียงคมมีดเฉืดน มีเลือดสาด มีกลิ่นคาวคลุ้ง ทำให้เรานั่งสมาธิได้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากมีภาพการก่อปาณาติบปาตมาก่อกวน
มีอยู่คืนหนึ่ง เราก็เห็นนิมิตเช่นเดิม คือ มีมีด มีเลือด มีกลิ่นคาว มีแต่ความดำมืด
แล้วอยู่ ๆ เราก็ได้ยินเสียงดัง เพียะ ๆ
แล้วตามด้วยเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้โฮ ฟังจากเสียงเธอวัยรุ่นแล้วล่ะ
เธอถามว่า แม่ ตีหนูทำไม
เสียงคนเป็นแม่บอกว่า พี่เขากำลังบำเพ็ญบารมีอยู่ ไปแกล้งเขาทำไม
เสียงเด็กร้องไห้สะอึกสะอื้นบอกแม่ว่า แม่ ก็ในเมื่อเขา ตั้งใจจะไม่เบียดเบียนคนอื่น แต่ทำไมตัวเขาเองยังกินเลือดกินเนื้อพวกเราอยู่เลยล่ะแม่
เราได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงตามนั้นทุกประการ
หลังจากนั้น ด้วยเหตุบังเอิญ หลายวันต่อมา เราไปทำงานตามปกติ จะสั่งอาหารกิน เป็นวันที่ไม่มีเนื้อสัตว์ขายเป็นมื้อแรกของวัน ซึ่งวันนั้นไม่ใช่วันพระ เราก็เลยกินของที่มี คือ ของที่ไม่มีเนื้อสัตว์ ก็คิดเล่น ๆ ในใจว่า ไหนลองทำซัก 7 วันดูซิ ไม่กินเนื้อสัตว์ดูซิ
ทำไปทำมา ก็ได้มาจนถึงทุกวันนี้
อยากถามผู้ที่เคยมีประสบการณ์หรือมีความรู้ หรือสนใจ หรือมีแนวทาง ทางด้านนี้ว่า
การที่เราไม่อยากทานแม้แต่ พืช ผัก ผลไม้ อันเนื่องมาจากทราบว่า เขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน
อย่างนี้มันเหมาะ มันสม มันควรแก่เหตุหรือไม่
หรือพอจะมีคำแนะนำเพิ่มเติมแก่การปฏิบัติธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้อย่างไรบ้าง
และทางด้านสุขภาพ จะส่งผลเสียอย่างไรไหม หากเราทานได้น้อยลง
มีข้อแนะนำด้านสุขภาพอย่างไรบ้างคะ
มาสนทนาแลกเปลี่ยนกันค่ะ