+ ต้องเหนือธรรมชาติเท่านั้นหรือจึงเป็นผลงานของพระเจ้า +
เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ทราบข่าวลูกพี่ลูกน้องที่อเมริกาได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง แม่บ้านของเขาเล่าให้ผมฟังว่า ความจริงเขาทำคีโมไม่ครบโดส "ก็เรื่องศาสนาเขานั่นแหละ" แม่บ้านบอก
ลูกพี่ลูกน้องผมท่านนี้ครอบครัวเป็นโปรแตสแตนท์ธรรมดามาก่อน ก่อนเปลี่ยนไปเป็นโปรแตสแตนท์สายสุดโต่งคริสตจักรหนึ่งที่เคร่งพระคัมภีร์ตามตัวอักษรมาก แล้วช่วงที่เขาทำคีโม ก็มีสมาชิกโบสถ์ที่แนะนำว่าให้พระเจ้ารักษาอย่าพึ่งพามนุษย์ ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับคนใกล้ตัวของเราเพราะเคยได้ยินมาบ้างที่ว่า มีบางคริสตจักรที่เชื่อเรื่องฤทธิ์เดชของพระวิญญาณมากๆ มักอ้าง 2 พงศาวดาร 16:12
"อาสาทรงเป็นโรคที่พระบาท และโรคของพระองค์ก็ร้ายแรง แม้ทรงเป็นโรคอยู่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงแสวงหาพระยาห์เวห์ แต่แสวงหาการช่วยเหลือจากแพทย์"
อันทำให้คนเหล่านี้ คิดว่าถ้าคิดพึ่งพาการรักษาทางแพทย์ทั่วไปจะขาดการวางใจพระเจ้าทำให้ไม่หายจากโรค
ความจริงในพระคัมภีร์สาระบบที่2 (ซึ่ง มาร์ติน ลูเธอร์ ได้ตัดออกไปตอนแยกนิกาย) มีบทที่บอกว่า หมอ หรือยา ก็มาจากพระเจ้า อย่างชัดเจนมากที่สุดในพระคัมภีร์ทุกเล่ม คือ บุตรสิรา
บุตรสิรา 38:1-9
"จงให้เกียรติแก่แพทย์ตามที่เขาควรได้รับ จากการดูแลรักษาของเขา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเนรมิตเขาด้วยการรักษาให้หายจากโรคมาจากพระผู้สูงสุด...องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเนรมิตสมุนไพรต่างๆจากดิน ผู้มีปัญญาย่อมไม่รังเกียจสมุนไพรเหล่านี้
...พระองค์ประทานวิชาความรู้แก่มนุษย์ เพื่อจะทรงได้รับเกียรติเพราะสิ่งน่าพิศวงที่ทรงกระทำ แพทย์ใช้สมุนไพรรักษาโรคและบรรเทาความเจ็บปวด และคนขายยาผสมสมุนไพรเหล่านี้ให้เป็นยา และดังนี้พระราชกิจของพระองค์ก็จะไม่สิ้นสุด และมนุษย์ทั่วแผ่นดินก็รับสุขภาพจากพระองค์"
ดังนั้นตลอดเวลา ศาสนาคริสต์สอนชัดเจนว่า การรักษาทางการแพทย์และการใช้ยา ก็ไม่ได้ผิดต่อการงานของพระเจ้า เพราะพระเจ้าสร้างทุกสิ่งทั้งคน พืช สัตว์ และผืนแผ่นดิน รวมทั้งใส่ตัวยาสารพัดไว้ในพืชต่างๆรอไว้ล่วงหน้าก่อนที่โรคร้ายหลายๆอย่างจะอุบัติขึ้นในโลกเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไร ที่เมื่อเราหายป่วย เราจะขอบคุณหมอและขอบคุณพระเจ้าด้วย
แท้จริงคนที่เข้าใจว่า ถ้าอะไรคือผลงานพระเจ้ามันต้องเป็นเรื่องอัศจรรย์ นั่นเป็นความเข้าใจผิดและสุดโต่ง ไม่ต่างจากคนไม่เชื่อพระเจ้าหรือ Atheist ที่ชอบแขวะด่าคนเชื่อพระเจ้าว่า เวลาหายจากโรคไปขอบคุณพระเจ้าทำไมไม่ขอบคุณหมอ ทั้งสองพวกนี้ล้วนตกในอคติผิดๆเดียวกันคือ ความไม่เข้าใจเรื่องของ providence หรือ พระญาณสอดส่องของพระเจ้า(พจนานุกรมไทยแปลคำนี้ว่า - [n.] โชคชะตา, พระกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า,เหตุการณ์ที่เชื่อว่ากำหนดโดยพระเจ้า) ว่า พระเจ้าดูแลทั้งระบบ ให้เป็นไป ทรงลิขิตให้ใครเจอใคร ให้ระบบทั้งหมดหมุนไป เดินหน้าอย่างแม่นยำอยู่ "ตลอดเวลา" การที่จะแหวกกฎของตัวเองเป็นเรื่อง "นานๆที" แต่คนขาดความรู้กลับไปคิดว่าต้องเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ "นานๆที" จะเกิดถึงจะนับเป็นผลงานพระเจ้า เพราะที่ถูก ปรัชญาศาสนาคริสต์ย้ำสอนเสมอมาว่า ทั้งเรื่องเหนือธรรมชาติ(เกิดนานๆที)และเรื่องตามธรรมชาติ(เกิดตลอดเวลา)ล้วนเป็นผลงานของพระเจ้าทั้งสิ้น
ในหนังเรื่อง Exodus: Gods and Kings ที่ออกฉายปี 2014 มีฉากคลาสสิคที่ปรากฎในหนังโมเสสหรือบัญญัติ10ประการทุกเวอร์ชั่น คือฉากแยกทะเลแดง ที่ตีความใหม่ ว่าพระเจ้าใช้ providence(การลิขิตโลก) แทนmiracle(ปาร์ฏิหาริย์) กล่าวคือ การแยกทะเล เกิดจากการที่อยู่ๆ อุกาบาต บังเอิญตกลงมาที่ทะเลแดงตอนโมเสสและอิสราเอลกำลังไปถึงชายหาดพอดี ทำให้เกิดสึนามิที่จะมีการแห้งขอดอย่างรวดเร็วของทะเลก่อนที่จะตั้งคลื่นมหึมาไหลกลับกลบดังเดิมตอนทหารอียิปต์ตามมาพอดี
ซึ่งแน่นอนว่า เกิดการถกเถียงจากคริสตชนหลากหลายมุมมองว่านี่ผิดพระคัมภีร์หรือไม่ แต่หากใช้มุมมองเรื่องprovidence หรือ พระลิขิตของพระเจ้า ก็ตอบได้ทันทีว่า การแยกทะเลแดงในครั้งนั้นคือผลงานของพระเจ้าอย่างแน่นอน
ในหนังเรื่อง Bruce Almighty หนังตลกในปี 2003 มีฉากหนึ่งภรรยาของพระเอกนั่งหดหู่อยู่ในร้าน พระเจ้าในร่างชายผิวดำ เข้ามาแวะคุยกับเธอ เขาได้พูดประโยคที่สะกิดใจของเธอ
"เมื่อคนอธิษฐานขอความกล้า พระเจ้าจะประทานความกล้าหาญให้เขาหรือพระองค์จะประทานโอกาสให้เขาแสดงความกล้าหาญ ถ้าเขาอธิษฐานขอให้ครอบครัวอบอุ่น พระเจ้าจะใส่ความรู้สึกอบอุ่นให้ หรือจะประทานโอกาสให้ครอบครัวได้แสดงความรักซึ่งกันและกัน"
ในปรัชญาคริสตศาสนา เราไม่เชื่อในเรื่อง ความบังเอิญ หรือ ความโชคดี สิ่งเราเชื่อ มีแต่การทรงนำและพระพรของพระเจ้า ที่ทรงนำทางชีวิตและเหตุการณ์ทุกย่างก้าวของเรา ในวันนี้หากเราคิดว่า พระเจ้าไม่ให้อะไรกับฉันเลย ขออะไรไม่เคยได้เลย ขอให้เราเลิกเพ่งเล็งที่เรื่องอัศจรรย์ หรือปาร์ฏิหาริย์ และ ลองมองหากิจการของพระเจ้าในชีวิตประจำวันเรา เราอาจนับพระพรของพระเจ้าได้มากมาย และพบว่ายังมีเหตุการณ์มากมายที่เราไม่เคยขอบคุณพระองค์ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เป็นได้
CR. :
https://www.facebook.com/100000534736435/posts/2016545541706584/?d=n
ต้องเหนือธรรมชาติเท่านั้นหรือจึงเป็นผลงานของพระเจ้า
เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ทราบข่าวลูกพี่ลูกน้องที่อเมริกาได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง แม่บ้านของเขาเล่าให้ผมฟังว่า ความจริงเขาทำคีโมไม่ครบโดส "ก็เรื่องศาสนาเขานั่นแหละ" แม่บ้านบอก
ลูกพี่ลูกน้องผมท่านนี้ครอบครัวเป็นโปรแตสแตนท์ธรรมดามาก่อน ก่อนเปลี่ยนไปเป็นโปรแตสแตนท์สายสุดโต่งคริสตจักรหนึ่งที่เคร่งพระคัมภีร์ตามตัวอักษรมาก แล้วช่วงที่เขาทำคีโม ก็มีสมาชิกโบสถ์ที่แนะนำว่าให้พระเจ้ารักษาอย่าพึ่งพามนุษย์ ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดกับคนใกล้ตัวของเราเพราะเคยได้ยินมาบ้างที่ว่า มีบางคริสตจักรที่เชื่อเรื่องฤทธิ์เดชของพระวิญญาณมากๆ มักอ้าง 2 พงศาวดาร 16:12
"อาสาทรงเป็นโรคที่พระบาท และโรคของพระองค์ก็ร้ายแรง แม้ทรงเป็นโรคอยู่พระองค์ก็ไม่ได้ทรงแสวงหาพระยาห์เวห์ แต่แสวงหาการช่วยเหลือจากแพทย์"
อันทำให้คนเหล่านี้ คิดว่าถ้าคิดพึ่งพาการรักษาทางแพทย์ทั่วไปจะขาดการวางใจพระเจ้าทำให้ไม่หายจากโรค
ความจริงในพระคัมภีร์สาระบบที่2 (ซึ่ง มาร์ติน ลูเธอร์ ได้ตัดออกไปตอนแยกนิกาย) มีบทที่บอกว่า หมอ หรือยา ก็มาจากพระเจ้า อย่างชัดเจนมากที่สุดในพระคัมภีร์ทุกเล่ม คือ บุตรสิรา
บุตรสิรา 38:1-9
"จงให้เกียรติแก่แพทย์ตามที่เขาควรได้รับ จากการดูแลรักษาของเขา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเนรมิตเขาด้วยการรักษาให้หายจากโรคมาจากพระผู้สูงสุด...องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเนรมิตสมุนไพรต่างๆจากดิน ผู้มีปัญญาย่อมไม่รังเกียจสมุนไพรเหล่านี้
...พระองค์ประทานวิชาความรู้แก่มนุษย์ เพื่อจะทรงได้รับเกียรติเพราะสิ่งน่าพิศวงที่ทรงกระทำ แพทย์ใช้สมุนไพรรักษาโรคและบรรเทาความเจ็บปวด และคนขายยาผสมสมุนไพรเหล่านี้ให้เป็นยา และดังนี้พระราชกิจของพระองค์ก็จะไม่สิ้นสุด และมนุษย์ทั่วแผ่นดินก็รับสุขภาพจากพระองค์"
ดังนั้นตลอดเวลา ศาสนาคริสต์สอนชัดเจนว่า การรักษาทางการแพทย์และการใช้ยา ก็ไม่ได้ผิดต่อการงานของพระเจ้า เพราะพระเจ้าสร้างทุกสิ่งทั้งคน พืช สัตว์ และผืนแผ่นดิน รวมทั้งใส่ตัวยาสารพัดไว้ในพืชต่างๆรอไว้ล่วงหน้าก่อนที่โรคร้ายหลายๆอย่างจะอุบัติขึ้นในโลกเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไร ที่เมื่อเราหายป่วย เราจะขอบคุณหมอและขอบคุณพระเจ้าด้วย
แท้จริงคนที่เข้าใจว่า ถ้าอะไรคือผลงานพระเจ้ามันต้องเป็นเรื่องอัศจรรย์ นั่นเป็นความเข้าใจผิดและสุดโต่ง ไม่ต่างจากคนไม่เชื่อพระเจ้าหรือ Atheist ที่ชอบแขวะด่าคนเชื่อพระเจ้าว่า เวลาหายจากโรคไปขอบคุณพระเจ้าทำไมไม่ขอบคุณหมอ ทั้งสองพวกนี้ล้วนตกในอคติผิดๆเดียวกันคือ ความไม่เข้าใจเรื่องของ providence หรือ พระญาณสอดส่องของพระเจ้า(พจนานุกรมไทยแปลคำนี้ว่า - [n.] โชคชะตา, พระกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า,เหตุการณ์ที่เชื่อว่ากำหนดโดยพระเจ้า) ว่า พระเจ้าดูแลทั้งระบบ ให้เป็นไป ทรงลิขิตให้ใครเจอใคร ให้ระบบทั้งหมดหมุนไป เดินหน้าอย่างแม่นยำอยู่ "ตลอดเวลา" การที่จะแหวกกฎของตัวเองเป็นเรื่อง "นานๆที" แต่คนขาดความรู้กลับไปคิดว่าต้องเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ "นานๆที" จะเกิดถึงจะนับเป็นผลงานพระเจ้า เพราะที่ถูก ปรัชญาศาสนาคริสต์ย้ำสอนเสมอมาว่า ทั้งเรื่องเหนือธรรมชาติ(เกิดนานๆที)และเรื่องตามธรรมชาติ(เกิดตลอดเวลา)ล้วนเป็นผลงานของพระเจ้าทั้งสิ้น
ในหนังเรื่อง Exodus: Gods and Kings ที่ออกฉายปี 2014 มีฉากคลาสสิคที่ปรากฎในหนังโมเสสหรือบัญญัติ10ประการทุกเวอร์ชั่น คือฉากแยกทะเลแดง ที่ตีความใหม่ ว่าพระเจ้าใช้ providence(การลิขิตโลก) แทนmiracle(ปาร์ฏิหาริย์) กล่าวคือ การแยกทะเล เกิดจากการที่อยู่ๆ อุกาบาต บังเอิญตกลงมาที่ทะเลแดงตอนโมเสสและอิสราเอลกำลังไปถึงชายหาดพอดี ทำให้เกิดสึนามิที่จะมีการแห้งขอดอย่างรวดเร็วของทะเลก่อนที่จะตั้งคลื่นมหึมาไหลกลับกลบดังเดิมตอนทหารอียิปต์ตามมาพอดี
ซึ่งแน่นอนว่า เกิดการถกเถียงจากคริสตชนหลากหลายมุมมองว่านี่ผิดพระคัมภีร์หรือไม่ แต่หากใช้มุมมองเรื่องprovidence หรือ พระลิขิตของพระเจ้า ก็ตอบได้ทันทีว่า การแยกทะเลแดงในครั้งนั้นคือผลงานของพระเจ้าอย่างแน่นอน
ในหนังเรื่อง Bruce Almighty หนังตลกในปี 2003 มีฉากหนึ่งภรรยาของพระเอกนั่งหดหู่อยู่ในร้าน พระเจ้าในร่างชายผิวดำ เข้ามาแวะคุยกับเธอ เขาได้พูดประโยคที่สะกิดใจของเธอ
"เมื่อคนอธิษฐานขอความกล้า พระเจ้าจะประทานความกล้าหาญให้เขาหรือพระองค์จะประทานโอกาสให้เขาแสดงความกล้าหาญ ถ้าเขาอธิษฐานขอให้ครอบครัวอบอุ่น พระเจ้าจะใส่ความรู้สึกอบอุ่นให้ หรือจะประทานโอกาสให้ครอบครัวได้แสดงความรักซึ่งกันและกัน"
ในปรัชญาคริสตศาสนา เราไม่เชื่อในเรื่อง ความบังเอิญ หรือ ความโชคดี สิ่งเราเชื่อ มีแต่การทรงนำและพระพรของพระเจ้า ที่ทรงนำทางชีวิตและเหตุการณ์ทุกย่างก้าวของเรา ในวันนี้หากเราคิดว่า พระเจ้าไม่ให้อะไรกับฉันเลย ขออะไรไม่เคยได้เลย ขอให้เราเลิกเพ่งเล็งที่เรื่องอัศจรรย์ หรือปาร์ฏิหาริย์ และ ลองมองหากิจการของพระเจ้าในชีวิตประจำวันเรา เราอาจนับพระพรของพระเจ้าได้มากมาย และพบว่ายังมีเหตุการณ์มากมายที่เราไม่เคยขอบคุณพระองค์ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เป็นได้
CR. : https://www.facebook.com/100000534736435/posts/2016545541706584/?d=n