หลายท่านคงจะคุ้นเคยกับฉากหนังฮอลีวู๊ดที่รัฐบาลอเมริกันส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือชาวอเมริกันที่ติดในพื้นที่อันตรายหรือเป็นตัวประกันในต่างแดนกันมาแล้วนะครับ ฉากช่วยเหลือคนอเมริกันของรัฐบาลอเมริกันฉากนี้ แม้คนดูที่ไม่ใช่ชาวเมกันแท้ๆ ยังออกอาการ "ฟิน" ชนิดติดตาตรึงใจเป็น "พีค" ของภาพยนต์เลยเชียวแระขอรับ
ตัดฉากมาที่กรุงพนมเปญแห่งกัมพูชา เหตุการณ์ "น้ำผึ้งหยดเดียว" ระหว่างไทยกับกัมพูชาเขม็งเกลียวบานปลายถึงจุดพีคระดับ "เผาสถานทูตไทย" ทำร้ายคนไทยและนักธุรกิจไทยเพิ่มขึ้น ทันทีที่ได้รับรายงานจากนายชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ) ยกหู "สายตรง" ถึงนายกฯ ของกัมพูชาทันที และกลางดึกของวันนั้น ผบ.ทร. (พล.ร.อ ทวีศักดิ์) ได้สั่งให้เรือบรรทุกเครื่องบิน "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ออกจากท่าเรือสัตหีบไปลอยลำอยู่ในทะใกล้น่านน้ำกัมพูชา เช้ามืดต่อมา เครื่องบินc130 จำนวนห้าเครื่องก็คำรามออกจากประเทศไทยมุ่งหน้าสู่สนามบิน "โปเชนตง" เพื่อรับคนไทยจำนวน 700 ชีวิตกลับมาตุภูมิอย่างปลอดภัย นายกรัฐมนตรีของไทยไปรอ "รับขวัญ" พวกเขาที่สนามบินดอนเมืองด้วยตัวเอง ปฏิบัติการช่วยเหลือครั้งนั้นตัวนายกรัฐมนตรีไม่ได้รู้พวกเขาว่าเป็นใคร? ลูกเต้าเหล่าใคร? มาจากไหน? และไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้ด้วยซ้ำรู้เพียงแต่ว่าพวกเขาคือคนไทย!
เหตุการณ์ครั้งนั้น ถ้าผู้กำกับหนังฮอลีวู๊ดนำมาเป็นพล็อตสร้างและดัดแปลงเป็นของอเมริกัน รับรองว่าโกยเงินมหาศาลครับ เพราะมันมีดราม่าหลายฉากทีเดียว เช่นว่านายกฯ ฝั่งไทยเป็นซี้กับนายกฯ ฝั่งกัมพูชา แต่ปฏิบัติการ "ฟ้าแล่บ" ไม่ว่ากันอย่างนี้ถือว่าไม่ไว้หน้ากันชัดๆ หรือตัวนายกฯ ไทยกับ ผบ.ทบ. และเหล่าทัพอื่นๆ ใส่ "คอนเวิร์ส" คนละข้าง ฉากผู้นำประเทศกับฉากบรรดา "ซีเนียร์" ในกองทัพปะทะคารมซัดกันนี่ถือเป็นฉากถนัดและฉากหากินของหนังฮอลีวู๊ดเขาล่ะครับ จะยังไงก็แล้วแต่.....สุดท้ายหนังฮอลีวู๊ดก็มักจะ happy ending ครับ แต่ฉากจริงชีวิตจริงของเหตุการณ์วิกฤตระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งนั้น แม้นายกฯ ไทยจะแสดงภาวะผู้นำอย่างเด็ดเดี่ยวและเฉียบขาด นำคนไทยหลายร้อยกลับประเทศอย่างปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้happy ending อย่างที่รู้กันนั่นแหละขอรับท่านผู้ชม
...ระหว่างชีวิตจริงกับ "หนังฮอลีวู๊ด" .../วชรน
ตัดฉากมาที่กรุงพนมเปญแห่งกัมพูชา เหตุการณ์ "น้ำผึ้งหยดเดียว" ระหว่างไทยกับกัมพูชาเขม็งเกลียวบานปลายถึงจุดพีคระดับ "เผาสถานทูตไทย" ทำร้ายคนไทยและนักธุรกิจไทยเพิ่มขึ้น ทันทีที่ได้รับรายงานจากนายชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อ) ยกหู "สายตรง" ถึงนายกฯ ของกัมพูชาทันที และกลางดึกของวันนั้น ผบ.ทร. (พล.ร.อ ทวีศักดิ์) ได้สั่งให้เรือบรรทุกเครื่องบิน "เรือหลวงจักรีนฤเบศร" ออกจากท่าเรือสัตหีบไปลอยลำอยู่ในทะใกล้น่านน้ำกัมพูชา เช้ามืดต่อมา เครื่องบินc130 จำนวนห้าเครื่องก็คำรามออกจากประเทศไทยมุ่งหน้าสู่สนามบิน "โปเชนตง" เพื่อรับคนไทยจำนวน 700 ชีวิตกลับมาตุภูมิอย่างปลอดภัย นายกรัฐมนตรีของไทยไปรอ "รับขวัญ" พวกเขาที่สนามบินดอนเมืองด้วยตัวเอง ปฏิบัติการช่วยเหลือครั้งนั้นตัวนายกรัฐมนตรีไม่ได้รู้พวกเขาว่าเป็นใคร? ลูกเต้าเหล่าใคร? มาจากไหน? และไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้ด้วยซ้ำรู้เพียงแต่ว่าพวกเขาคือคนไทย!
เหตุการณ์ครั้งนั้น ถ้าผู้กำกับหนังฮอลีวู๊ดนำมาเป็นพล็อตสร้างและดัดแปลงเป็นของอเมริกัน รับรองว่าโกยเงินมหาศาลครับ เพราะมันมีดราม่าหลายฉากทีเดียว เช่นว่านายกฯ ฝั่งไทยเป็นซี้กับนายกฯ ฝั่งกัมพูชา แต่ปฏิบัติการ "ฟ้าแล่บ" ไม่ว่ากันอย่างนี้ถือว่าไม่ไว้หน้ากันชัดๆ หรือตัวนายกฯ ไทยกับ ผบ.ทบ. และเหล่าทัพอื่นๆ ใส่ "คอนเวิร์ส" คนละข้าง ฉากผู้นำประเทศกับฉากบรรดา "ซีเนียร์" ในกองทัพปะทะคารมซัดกันนี่ถือเป็นฉากถนัดและฉากหากินของหนังฮอลีวู๊ดเขาล่ะครับ จะยังไงก็แล้วแต่.....สุดท้ายหนังฮอลีวู๊ดก็มักจะ happy ending ครับ แต่ฉากจริงชีวิตจริงของเหตุการณ์วิกฤตระหว่างไทยกับกัมพูชาครั้งนั้น แม้นายกฯ ไทยจะแสดงภาวะผู้นำอย่างเด็ดเดี่ยวและเฉียบขาด นำคนไทยหลายร้อยกลับประเทศอย่างปลอดภัย แต่ก็ไม่ได้happy ending อย่างที่รู้กันนั่นแหละขอรับท่านผู้ชม