แม่เราเอาโฉนดที่ดินเข้าธนาคารกรุงไทย สาขาพุนพิน สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่ปี54 และได้ทำเรื่องไถ่ถอนตอนปี59
แม่เล่าว่าตอนแม่ไปทำไถ่ถอนแม่จ่ายเงินครบหมด นั่งรอโฉนดอยู่นาน เจ้าหน้าที่มาบอกแม่ว่า "วันนี้ยังไม่ได้โฉนดนะ"
รุ่งเช้าแม่ก็ไปธนาคารอีก เจอเจ้าหน้าที่ธนาคารคนเดิม
เขาได้บอกแม่ว่า "ป้า ถ้าป้าเอาโฉนดไว้ธนาคาร เวลาป้าจะใช้เงินเอาได้เลย ไม่ต้องทำจำนองใหม่"
หลังจากนั้น ทางธนาคารเคยเรียกแม่ไปเซ็นอะไรสักอย่าง ด้วยเหตุผลว่าแม่ลืมเซ็น
ตั้งแต่ปี59 แม่ก็ไม่ได้ติดต่ออะไรเรื่องที่ดินแปลงนั้นเพราะยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน
จนมาปี62ปลายปี แม่ได้รับงานใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะและต้องส่งงาน ช่วงกุมภา63
แม่เลยไปทำเรื่องขอเอาโฉนดที่ดินออกเพื่อมาใช้หมุนในงาน
ตอนนั้นแม่ไปทำเรื่องธค.62
เจ้าหน้าที่ก็บอกแม่ว่าไม่มีปัญหาได้แน่นอน แต่ตอนนี้ติดปีใหม่วันหยุดยาว
เดี๋ยวเปิดปีหน้าจะไปถ่ายรูปประเมินราคาใหม่ให้เลย
พอมค.63 แม่ก็โทรสอบถามเจ้าหน้าที่เรื่องไปประเมิน ก็ได้คำตอบว่าซ้ำๆ
"เดี๋ยวอาทิตย์เข้าไป"
"เดี๋ยวพรุ่งนี้บ้าง"
เป็นคำตอบผลัดแบบนี้มาประมาณ2เดือนกว่า
แล้วพอถ่ายรูปประเมินราคาเสร็จ
ก็มารอส่งเรื่องเข้าสำนักงานใหญ่อีก
แม่ก็โทรสอบถามอีก
ก็ได้ตอบว่า ต้องทำเรื่องขอไถ่ถอนใหม่ เพราะธนาคารได้ไปผูกไว้อีกสัญญาหนึ่งที่ทำในปี56ว่าไถ่ถอนพร้อมกัน
ซึ่งแม่บอกแม่ไม่รู้ ผูกไว้ได้ไง สัญญาคนละฉบับ โฉนดคนละแปลงไม่ได้เกียวไรกันเลย
แล้วตอนทีทำสัญญาเขาชี้ให้เซ็นตรงไหนก็เซ็น
แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกแก้ไขได้ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวทำเรื่องให้ ส่งเรื่องไปสำนักงานใหญ่กทม.อาทิตย์หน้าได้
ที่นี่แม่ก็สอบถามอาทิตย์ต่ออาทิตย์
คำตอบที่ได้คือ
1 ส่งแล้วคะอาทิตย์หน้าได้
2.หนังสือตีกลับให้ผู้จัดการเซ็นแก้ใหม่
3.ได้อาทิตย์หน้า
เป็นคำตอบแบบนี้วนไปมาจนครึ่งปี
จนแม่เข้าติดต่อเองในธนาคาร เจ้าหน้าที่ก็ให้เซ็นไถ่ถอนไว้ด้วย
เมื่อวันศุกร์ที่29พค.63 ทางธนาคารได้เรียกแม่เข้าไปคุย
คำตอบที่ได้คือ ต้องจ่ายเงินห้าแสนห้าก่อนถึงจะไถ่ถอนได้
แม่ถามว่าค่าอะไรแม่จ่ายไปตั้งแต่ปี59หมดแล้ว
เขาแจ้งว่า จ่ายอีกสัญญาหนึ่งที่กู้ไว้ตอนปี56 แม่เลยถามเขาว่าตัวปี56ราคาประเมินห้าล้าน เจ้าหน้าที่บอกกู้ได้สูงสุดสามล้านแปด แม่กู้แค่สามล้าน แล้วตอนนี้หนี้เหลือแค่สองล้านกว่า หนี้น้อยกว่าทรัพย์ ทำไมเอาสัญญาอีกตัวไปผูก เขาบอกเขาไม่รู้เขามาทำงานทีหลังเขาต้องขอโทษแทนธนาคารด้วย
เขาถามด้วยว่าตอนเซ็นไม่อ่านหรอ อันนี้เราเข้าใจ แม่ผิดเซ็นไม่อ่าน แต่ถามหน่อยใครอ่านละเอียดทุกแผ่นบ้าง เยอะขนาดนั้น พอเขาให้เซ็นแม่ก็เซ็นหมด เราเลยสรุปถามเขาไปว่า "ไม่ว่าหนี้จะน้อยกว่าทรัพย์เท่าไหร่ถ้าเซ็นผูกกันไว้ต้องไถ่ถอนพร้อมกันใช่ไหม" คำตอบคือ "ใช่" โอเคแม่ผิดเซ็นไม่อ่าน
เราเลยถามกลับว่า ตอนแม่เอาเงินไปปิดตอนปี59ทำไมไม่แจ้งว่าเอาโฉนดออกไม่ได้ ถ้าแจ้งเราก็คงเอาเงินก้อนนั้นมาลงทุนหมุนในงาน ไม่เอาไปตั้งนอนไว้หรอก คำตอบที่ได้มาแค่ขอโทษ เสียความรู้สึกกับกรุงไทยมาก
สิ่งที่เราติดใจคือ
รับปากว่าได้ตั้งแต่แรก จนแม่เราใกล้จะส่งงานก็ยังไม่ได้ เลยไปเอาเงินนอกระบบมาหมุนงานก่อน เพราะคิดว่า เดี๋ยวได้ที่ดินมาจะเอาไปเข้าเพื่อปิดนอกระบบที่มาลงทุนงาน
ในเมื่อไม่ได้ จะรับปากลากเรื่องให้เราเดือดร้อนทำไมเป็นครึ่งปี
สำหรับใครคิดจะไถ่ถอนหรือเซ็นอะไรควรสอบถามรายละเอียดให้แน่ใจก่อน อาจจะโดนเหมือนแม่เรา
ธนาคารกรุงไทย ทำเรื่องไถ่ถอนปิดบัญชีตั้งแต่ปี59 ปี63ยังไม่ได้โฉนด ทำเรื่องดำเนินการอีกครึ่งปี ทำไมเป็นแบบนี้
แม่เล่าว่าตอนแม่ไปทำไถ่ถอนแม่จ่ายเงินครบหมด นั่งรอโฉนดอยู่นาน เจ้าหน้าที่มาบอกแม่ว่า "วันนี้ยังไม่ได้โฉนดนะ"
รุ่งเช้าแม่ก็ไปธนาคารอีก เจอเจ้าหน้าที่ธนาคารคนเดิม
เขาได้บอกแม่ว่า "ป้า ถ้าป้าเอาโฉนดไว้ธนาคาร เวลาป้าจะใช้เงินเอาได้เลย ไม่ต้องทำจำนองใหม่"
หลังจากนั้น ทางธนาคารเคยเรียกแม่ไปเซ็นอะไรสักอย่าง ด้วยเหตุผลว่าแม่ลืมเซ็น
ตั้งแต่ปี59 แม่ก็ไม่ได้ติดต่ออะไรเรื่องที่ดินแปลงนั้นเพราะยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน
จนมาปี62ปลายปี แม่ได้รับงานใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะและต้องส่งงาน ช่วงกุมภา63
แม่เลยไปทำเรื่องขอเอาโฉนดที่ดินออกเพื่อมาใช้หมุนในงาน
ตอนนั้นแม่ไปทำเรื่องธค.62
เจ้าหน้าที่ก็บอกแม่ว่าไม่มีปัญหาได้แน่นอน แต่ตอนนี้ติดปีใหม่วันหยุดยาว
เดี๋ยวเปิดปีหน้าจะไปถ่ายรูปประเมินราคาใหม่ให้เลย
พอมค.63 แม่ก็โทรสอบถามเจ้าหน้าที่เรื่องไปประเมิน ก็ได้คำตอบว่าซ้ำๆ
"เดี๋ยวอาทิตย์เข้าไป"
"เดี๋ยวพรุ่งนี้บ้าง"
เป็นคำตอบผลัดแบบนี้มาประมาณ2เดือนกว่า
แล้วพอถ่ายรูปประเมินราคาเสร็จ
ก็มารอส่งเรื่องเข้าสำนักงานใหญ่อีก
แม่ก็โทรสอบถามอีก
ก็ได้ตอบว่า ต้องทำเรื่องขอไถ่ถอนใหม่ เพราะธนาคารได้ไปผูกไว้อีกสัญญาหนึ่งที่ทำในปี56ว่าไถ่ถอนพร้อมกัน
ซึ่งแม่บอกแม่ไม่รู้ ผูกไว้ได้ไง สัญญาคนละฉบับ โฉนดคนละแปลงไม่ได้เกียวไรกันเลย
แล้วตอนทีทำสัญญาเขาชี้ให้เซ็นตรงไหนก็เซ็น
แต่เจ้าหน้าที่ก็บอกแก้ไขได้ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวทำเรื่องให้ ส่งเรื่องไปสำนักงานใหญ่กทม.อาทิตย์หน้าได้
ที่นี่แม่ก็สอบถามอาทิตย์ต่ออาทิตย์
คำตอบที่ได้คือ
1 ส่งแล้วคะอาทิตย์หน้าได้
2.หนังสือตีกลับให้ผู้จัดการเซ็นแก้ใหม่
3.ได้อาทิตย์หน้า
เป็นคำตอบแบบนี้วนไปมาจนครึ่งปี
จนแม่เข้าติดต่อเองในธนาคาร เจ้าหน้าที่ก็ให้เซ็นไถ่ถอนไว้ด้วย
เมื่อวันศุกร์ที่29พค.63 ทางธนาคารได้เรียกแม่เข้าไปคุย
คำตอบที่ได้คือ ต้องจ่ายเงินห้าแสนห้าก่อนถึงจะไถ่ถอนได้
แม่ถามว่าค่าอะไรแม่จ่ายไปตั้งแต่ปี59หมดแล้ว
เขาแจ้งว่า จ่ายอีกสัญญาหนึ่งที่กู้ไว้ตอนปี56 แม่เลยถามเขาว่าตัวปี56ราคาประเมินห้าล้าน เจ้าหน้าที่บอกกู้ได้สูงสุดสามล้านแปด แม่กู้แค่สามล้าน แล้วตอนนี้หนี้เหลือแค่สองล้านกว่า หนี้น้อยกว่าทรัพย์ ทำไมเอาสัญญาอีกตัวไปผูก เขาบอกเขาไม่รู้เขามาทำงานทีหลังเขาต้องขอโทษแทนธนาคารด้วย
เขาถามด้วยว่าตอนเซ็นไม่อ่านหรอ อันนี้เราเข้าใจ แม่ผิดเซ็นไม่อ่าน แต่ถามหน่อยใครอ่านละเอียดทุกแผ่นบ้าง เยอะขนาดนั้น พอเขาให้เซ็นแม่ก็เซ็นหมด เราเลยสรุปถามเขาไปว่า "ไม่ว่าหนี้จะน้อยกว่าทรัพย์เท่าไหร่ถ้าเซ็นผูกกันไว้ต้องไถ่ถอนพร้อมกันใช่ไหม" คำตอบคือ "ใช่" โอเคแม่ผิดเซ็นไม่อ่าน
เราเลยถามกลับว่า ตอนแม่เอาเงินไปปิดตอนปี59ทำไมไม่แจ้งว่าเอาโฉนดออกไม่ได้ ถ้าแจ้งเราก็คงเอาเงินก้อนนั้นมาลงทุนหมุนในงาน ไม่เอาไปตั้งนอนไว้หรอก คำตอบที่ได้มาแค่ขอโทษ เสียความรู้สึกกับกรุงไทยมาก
สิ่งที่เราติดใจคือ
รับปากว่าได้ตั้งแต่แรก จนแม่เราใกล้จะส่งงานก็ยังไม่ได้ เลยไปเอาเงินนอกระบบมาหมุนงานก่อน เพราะคิดว่า เดี๋ยวได้ที่ดินมาจะเอาไปเข้าเพื่อปิดนอกระบบที่มาลงทุนงาน
ในเมื่อไม่ได้ จะรับปากลากเรื่องให้เราเดือดร้อนทำไมเป็นครึ่งปี
สำหรับใครคิดจะไถ่ถอนหรือเซ็นอะไรควรสอบถามรายละเอียดให้แน่ใจก่อน อาจจะโดนเหมือนแม่เรา