บ้านร้างในตำนาน

 


ฟังเป็นคลิปเสียงได้ตามลิ๊งนี้เลยครับ

    https://www.youtube.com/watch?v=phvHNC3kZ9o&feature=youtu.be



มีเรื่องไรเล่า ในวันนี้ ผมขอมาเล่าประสบการณ์ แปลกๆ ที่ได้เจอมากับตัวเองในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น

ในตอนที่มีชื่อว่า บ้านร้างในตำนาน

เหตุการณ์นี้มันถูกย้อนกลับไปในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2540 ความบันเทิง ของพวกผมในยามค่ำคืน ณ เวลานั้นคือการจับกลุ่มนั่งฟัง               เรื่องผี และกิจกรรมที่จะพลาดไม่ได้ในตอนนั้น คือการที่ได้ออกไปลอง ล่าท้าผี ตามบ้านร้าง หรือไปยังสถานที่ต่างๆ ที่รำลือกันว่ามีผีอยู่

ในสมัยนั้นมีสถานที่ ที่ดังๆ ที่เป็นระดับตำนานก็มีบ้านร้างใน ซ.วัชพล บ้านร้างใน ซ.รามคำแหง หรือโรงงานปากกา ที่เขาว่าเฮียนมากๆ ในยุคนั้น ครับ สถานที่ ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น ผมไม่เคยไปเลยสักที่หนึ่ง นั้นก็เพราะว่าตอนปี 40 ผมเพิ่งจบ

ม.ต้นกำลังจะเข้าเรียนต่อ ป.ว.ช ก็ยังเด็กมากๆ กับการที่จะออกไปไหนมาไหนในตอนกลางคืนแบบนั้น

แต่มันก็ไม่มีอะไรที่จะมาหยุด ความอยากรู้อยากเห็น อยากที่จะได้ไปลองเจอกับประสบการณ์ลี้ลับของผมได้

ย้อนกลับไปอีกสัก สามปี ในหมู่บ้านที่ผมพักอาศัยอยู่นั้น มีบ้านอยู่หลังหนึ่ง เคยเกิดเหตุคดีฆาตกรรม หญิงสาวภายในบ้าน

โดยคนร้ายได้ทำที่เป็นเซลล์ขายของเข้าไปแนะนำสินค้าภายในบ้าน แล้วได้ลงมือฆ่า โดยการใช้มีดปาดไปที่คอหญิงสาวเจ้าของบ้าน

เธอนอนเสียชีวิตอยู่บนโซฟากลางห้องรับแขก เหตุการณ์ผ่านไปถึงสามวันถึงจะมีคนมาพบศพของเธอ

และจากเหตุการณ์นี้เองมันจึงทำให้บ้านหลังนี้ได้ร้างไปโดยปริยาย หลังจากนั้นก็มักจะมีเรื่องเล่าถึงความเฮียน

ของหญิงสาวเจ้าของบ้าน มีเสียงร่ำลือของคนที่อยู่ในซอยนั้นเล่ากันว่า มักจะพบเห็นวิญญาณของหญิงสาวเจ้าของบ้านยังคงเดิน                   วนเวียน อยู่ภายในบ้านร้างหลังนั้น

และที่เป็นเรื่องเล่าเขย่าขวัญที่สุด ก็เป็นเรื่องที่ว่า หญิงสาวเจ้าของบ้านหลังนั้นเธอตอนที่มีชีวิตอยู่

โดยปกติแล้วเธอจะต้องออกไปทำงานในตอนกลางคืน

เธอมักจะออกมา เรียกใช้บริการวินมอไซค์ แต่หลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว พวกวินมอไซค์ที่ขับรถในช่วงกลางคืนก็มักจะได้เห็นผู้หญิง มายืนรอเรียกรถอยู่ตรงหน้าปากซอยบ้านของเธอ และถ้าวินคันไหนไม่รู้ไปเผลอรับเธอขึ้นรถมา พอขับรถออกไปจากบริเวณนั้น และได้หันกลับไปมองที่ใบหน้าของเธอ ก็จะเจอกับใบหน้าที่บวมอืดเน่าเละๆ บริเวณลำคอก็จะมีแต่เลือดไหลออกมาเหมือนกับสภาพตอนที่เธอเสียชีวิต และนั้นมันจึงทำให้บ้านหลังนี้ กลายเป็น บ้านร้างในตำนาน ของหมู่บ้านผม



บ้านหลังนี้เป็นเป้าหมายเดียวที่ผมกับพวกเพื่อนๆ อยากที่จะลองเข้าไปพิสูจน์กันดูสักครั้ง

ตอนน้ันผมจำได้ว่ามันเป็นช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน ผมได้ลองชักชวนพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มให้ไปล่าท้าผีกันที่บ้านหลังนั้นในตอนเที่ยงคืน ก็มีหลายๆ คนที่อยากจะไปลองอยู่เหมือนกัน แต่พอถึงเวลานัดกันจริงๆ ที่มีมาก็แค่ ไอ้อ๊อด กับไอ้ไบร์ รวมกับตัวผมด้วยก็เป็นสามคน

เราทั้งสามคนก็ได้มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าบ้านร้างหลังนี้ ในตอนนั้น บรรยากาศมันมืดและดูน่ากลัว บริเวณบ้านหลังอื่นๆ ภายในซอยนั้นก็ปิดไฟบ้านกันไปหมด ดูเหมือนจะมีแค่บ้านหลังข้างๆ หลังขวามือของบ้านร้างที่ยังพอเห็นมีคนเงาคนเดินไปเดินมาอยู่ภายในบ้าน

พวกผมสามคนปีนกำแพงรั่วกันเข้าไป กำลังจะเดินเข้าไปสำรวจภายในบ้าน ผมยอมรับตามตรงเลยว่าในตอนนั้นบรรยากาศมันวังเวงเงียบเฉียบ น่ากลัวกว่าที่คิดเอาไว้จริงๆ ครับ

ผมเริ่มกลัวที่จะเข้าไปภายในบ้าน แต่ยังคงเก็บอาการเอาไว้อยู่ แต่คนที่เก็บอาการกลัวเอาไว้ไม่อยู่นั้นเป็นไอ้ อ๊อด จู่ๆ มันก็ชวนเรา                     กลับกันซะอย่างงั้น

แต่ทว่าในสถานการณ์แบบนี้เราก็มักจะมีเพื่อนที่กล้า บ้าบิ่นไม่กลัวอะไรกับเรื่องพวกนี้ อย่างไอ้ไบร์

“จะกลัวอะไรวะไอ้อ๊อด มาถึงตรงนี้ละอีกไม่กี่ก้าว ก็จะเข้าไปถึงในบ้านกันละ”

ไอ้ไบร์ มันเป็นคนที่ไม่กลัวเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และจะชอบท้าทายกับสิ่งเหล่านี้อีกเสียด้วยซ้ำ อาจจะเนื่องด้วยศาสนา

ที่มันนับถือไม่ได้สอนให้กลัวกับสิ่งเหล่านี้

พวกเราสามคนเปิดประตูเข้าไปภายในบ้านนั้นมืดมาก เป้าหมายที่พวกเราจะไปคือจุดที่พบศพในห้องรับแขก

ในระหว่างทางที่เดินเข้าไปผมได้ลองใช้ไฟฉายส่องดูสภาพภายในบ้าน มันก็ไม่ได้ดูเหมือนถูกปล่อยทิ้งให้ร้างเอาไว้นานเท่าไรนัก ข้าวของเครื่องใช้อาจมีวางทิ้งเอาไว้ระเกะระกะบ้าง แต่สภาพก็ไม่ได้เก่ามากแต่อย่างใด พวกเราก็ได้เดินมาถึงห้องรับแขกที่อยู่ตรงกลางบ้าน ภายในห้องนี้ยังคงมีพวกเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะข้าวของเครื่องใช้ก็พอมีหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้าง แต่ห้องนี้กลับมีกลิ่นเหม็นอับ เหม็นสาบเอามากๆ พวกเราได้ลองจุดธูปหนึ่งดอกเรียกเชิญวิญญาณของหญิงสาวเจ้าของบ้าน ให้ออกมา

แต่มันก็ไม่ได้พบเห็นผีหรือสิ่งลี้ลับอะไรแต่อย่างใด ไอ้อ๊อดมันชวนผมกลับ แต่ไอ้ไบร์ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

มันยังคงพูดจาท้าทาย และยังอยากจะลองของต่ออีกหน่อยส่วนผมกับอ๊อดเราคิดว่าตอนนี้สมควรแกเวลาแล้วที่จะกลับกัน

ผมหันหลังกลับเตรียมที่จะเดินออกจากห้อง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง โครม ผมรีบหันหลังกลับไปดู

ไอ้ไบร์มันถีบโซฟาตัวหนึ่งภายในห้องคว่ำลงไปกับพื้น และมันก็ใช้เท้าถีบๆ

โซฟาร์ตัวนั้น พร้อมทั้งยังพูดจาท้าทายไปอีกว่า

“ออกมาดิ แน่จริงออกมา นอนตายบนโซฟาตัวนี้ไม่ใช่หรอ”

“เฮ้ยๆ พอเหอะไอ้ไบร์กลับกันเถอะ เริ่มเสียงดังละเดี๋ยวคนข้างบ้านเขาก็ออกมาด่าเอาหรอก”



ก่อนที่พวกเรากำลังจะเดินออกจากห้องมา เหมือนมีตัวอะไรก็ไม่รู้วิ่งออกมาจากโซฟา ที่ไอ้ไบร์กำลังถีบอยู่ มันไต่ขึ้นขาพวกเรา

ไอ้อ๊อดมันตกใจวิ่งแหกปากร้องตะโกนออกไปคนแรก ส่วนไอ้ไบร์มันพูดว่า” แมลง แมลงสาบ” แล้วก็วิ่งผ่านหน้าผมออกไป

ผมวิ่งออกมาเป็นคนสุดท้าย พวกเราวิ่งออกมาหยุดกันอยู่ตรงรั่วประตูบ้าน กำลังจะปีนออกนอกบ้านกันไป แต่แล้วมันก็มีเสียง

“มาทำอะไรกันนะ!!!!!!”

เสียงนั้นดังมาจากกำแพงรั่วบ้านหลังขวามือ พวกเราหยุดแล้วหันไปมอง มีคนกำลังยืนมองพวกเราอยู่ในความมืด

ผมได้แต่บ่นกับไอ้ไบร์ไอ้อ๊อด ไปว่า

” เป็นไงละเสียงดังจนคนข้างบ้านเขาออกมาด่าเลย”

“พวกน้องมาทำอะไรกันที่บ้านร่างหลังนี้ดึกๆ แบบนี้มันอันตรายมากนะ”

“ครับๆ ขอโทษด้วยครับพี่”

พวกเรารีบปีนกำแพงรั่วออกจากบ้านกัน ก่อนที่จะปีนออกไปผมหันกลับไปมองคนที่ยื่นอยู่รั่วบ้านข้างๆ

ดูๆ ไปแล้วเจ้าของเสียงนั้นน่าจะพี่ผู้หญิงอายุไม่มากเท่าไร่นัก

ผมมองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจนนักแต่จำได้ว่าพี่เขาสวมผ้าพันคอสีแดง ก่อนที่พี่เขาจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน

พี่เขายังพูดออกมาอีกว่า

“อย่าเข้ามาเล่นในบ้านหลังนี้อีกนะดึกๆ ดื่นๆ บ้านหลังนี้มันอันตราย!!!!”

“ครับ” พวกเราประสานเสียงกันตอบออกไป ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ บ้านใครบ้านมัน

ในวันต่อมาพวกผมก็ได้ไปนั่งกินขนมที่ร้านขายของชำภายในหมู่บ้าน พวกเราสามคนได้คุยถึงเรื่องราวต่างๆ

ที่เมื่อคืนได้ไปทำกันมาให้กับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ในกลุ่มได้ฟังกัน ไอ้กิฟ ลูกเจ้าของร้านขายของชำมันเดินผ่านมา

ได้ยินที่พวกเราได้คุยกัน มันก็ถามขึ้นมาว่า

“พวกไปบ้านร้างหลังที่มีคนถูกฆ่าปาดคอมาหรอ?”

“อ่อ พวกกูไปมา...........ยิ้มไม่เห็นจะมีอะไรอย่างที่เขาพูดๆ กันเลย”

ไอ้ไบร์ตอบกลับไป

“อ่าวแล้วตอนที่พวกเข้าไปกันนะ ถ้าเวลาหันหน้าเข้าตัวบ้าน ไอ้บ้านร้างที่เข้านะอยู่ซ้ายมือหรือขวามือ”

“หลังซ้ายมือวะทำไมวะ”

ผมตอบกลับไป

“แล้วจะไปเจออะไรได้ไงละ ไอ้บ้านร้างที่ฆ่าปาดคอกันนะอยู่หลังขวามือ พวกเข้าบ้านร้างผิดหลังแล้ว”

“อะ อ่าวววววววววววววว”

“เฮ๊ยยอย่ามาอำไอ้กิฟ บ้านหลังขวามือมีคนอยู่ ก็เมื่อคืนเจ้าของบ้านพี่ที่เป็นผู้หญิงเขายังออกมายืนบ่นพวกกูอยู่เลย”

“จะมีคนอยู่ได้ไงบ้านหลังนั้นมันร้างมาสามปีกว่าแล้ว อะถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวกูต้องไปส่งน้ำให้บ้านลุงกู

ที่ซอยนั้นพวกไปดูกับกูเลยไป”

พวกเราขี่จักรยานตามไอ้กิฟไปที่ซอยนั้นอีกครั้ง โดยที่ก็ยังงงไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ไอ้กิฟบอก

พวกเราสี่คนมาหยุดอยู่ที่กลางซอยนั้นหน้าบ้านร่างหลังที่พวกเราได้เข้าไป

“เอาดู ในซอยนี้มีบ้านร้างอยู่สองหลังติดกัน แล้วดูสภาพบ้านหลังขวามือที่พวก ไม่ได้เข้าไปสิ

สภาพแบบนี้มันจะมีคนอยู่กันได้ไหมละ”

พวกเราได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่มีคำพูดอะไร เพราะบ้านร้างในตำนานที่พวกเราไม่ได้เข้าไป ในตอนนี้มันทรุดโทรมเอามากๆ

ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด สภาพบ้านไม่น่าจะมีใครพักอาศัยอยู่ได้เลยจริงๆ

“และที่บอกว่า เห็นเป็นผู้หญิงมายื่นบ่นพวกกันนะ สวมผ้าพันคอสีแดงใช่ไหม ฮึๆ พวกก็ได้เจอดีสมใจกันแล้วละ”

หลังจากผ่านเหตุการณ์นั้น ไปพวกผมสามคนไม่กล้าที่เฉียดผ่านเข้าไปใกล้ในซอยนี้อีกเลยตลอดในช่วงปิดเทอม



..................................................................................................

พอถึงช่วงเปิดเทอม พวกเราก็ได้แยกกันไปเรียน ก็ไม่ค่อยจะได้มีเวลากลับมาพบเจอกันเท่าไหร่ จนมีอยู่วันหนึ่งผมได้มีโอกาสไปนั่ง               เล่นที่ร้านขายของช้ำบ้านไอ้กิฟ

เราก็นั่งพูดคุยกันตามภาษาเพื่อนนานๆ เจอกันที่ ได้ถามถึงข่าวคราวเพื่อนคนอื่นๆ บ้าง แต่แล้วเรื่องที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

“รู้ยังไอ้ไบร์มันตายแล้วนะ”

“เฮ้ย......มันเป็นอะไรตายวะกิฟ”

“รถคว่ำตาย.........แต่ก่อนมันจะตายเหมือนมีลางร้ายเลยวะ”

“ลางร้ายยังไงวะ”

“ก็ก่อนที่จะตาย มันรถล้ม ขาหักไปข้างหนึ่ง พอขาใกล้ๆ จะหายดีน้องมันพาขี่รถมอร์ไซรค์ไปทำแผลก รถก็ล้มลงอีก

ขามันก็หักซ้ำไปอีกข้างหนึ่ง พอขามันหายดีสองข้าง มันก็ไปซิ่งมอร์ไซท่าไหนไม่รู้แหกโค้งรถคว่ำตาย คนอะไรมันจะซวยขนาดนั้น”

ผมนั่งนิ่งตัวเบาไปเลยเมื่อได้ยิ่งเรื่องที่ไอ้กิฟเล่า ที่ขามันหักอาจจะไม่ใช่ความซวย หรือเป็น

เพราะว่าไอ้ไบร์มันไปถีบโซฟาตัวนั้นแล้วแถมพูดจาท้าทายรึเปล่านะ เลยเป็นอาถรรน แต่ทว่าวันนั้นพวกเราก็เข้าบ้านร้างผิด

หลังกันไปนิ มันก็ไม่น่าจะมีอาถง อาถรรนอะไรตามมาทำร้ายได้เลย มันเกิดเป็นคำถามขึ้นมาในใจของผม

“อ่อ แล้วรู้เปล่าว่าทำไม่ไอ้บ้านหลังที่พวกเข้าไปมันถึงได้ร้าง”

“อ่อ อ่อ ทำไมวะ”

“ก็ก่อนหน้านี้มันมีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาเช่าอยู่ แล้วอยู่ๆ ก็หายกันไปเลยทั้งคู่ หายไปสามสี่เดือนกว่าๆ มันก็เลยร้าง

พอหลังจากที่เข้าบ้านหลังนั้นกันไป มันก็มีไอ้พวกอยากลองของ แล้วเข้าบ้านร้างผิดหลังแบบพวก พอเข้าไปแล้ว

ก็ดันไปเจอกับเศษชิ้นส่วนของคนถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ อยู่กลางห้องรับแขก

ก็เลยไปแจ้งตำรวจมาถึงได้มารู้ว่า ที่จริงแล้วสามีได้ฆ่าหันศพเมียตัวเองแล้วเอาชิ้นส่วนของศพไปซ่อน

เอาไว้ในโซฟาห้องรับแขก

เห็นว่ามีโซฟาตัวหนึ่งมันล้มลงมาแล้วชิ้นส่วนของศพก็กระเด็นออกมากระจายอยู่ในห้องรับแขก................เอ่อ

ตอนพวกเข้าไปกันไม่เจอชิ้นส่วนอะไรกันบ้างเลยหรอวะ?????????

ผมไม่ได้เล่าให้กิฟฟังหลอกว่าโซฟาตัวนั้นมันล้มลงมาได้ยังไง แต่เรื่องสามีภรรยา ที่ได้ฟังจากกิฟเล่ามา

มันทำให้รู้ว่า สิ่งลี้ลับน่ากลัวที่ผมพยายามค้นหาภายในบ้านร้าง มันไม่ได้น่ากลัวเลย

แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นคือจิตใจอันโหดร้ายของคนเรานี้เอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่