กระทู้นี้เพิ่งมาเขียนตอนยุคโควิดนี่แหละ ไปมาเป็นปีละยังไม่ได้ลงบันทึกซะที เนื่องจากตอนนี้เป็นโรคว่าง ถึงเกือบขั้นโคม่า อยากไปเที่ยวแต่ก็ไปไหนไม่ได้ กักตัวอยู่บ้านยาวๆไป ก็เลยหาอะไรจรรโลงทำดีกว่า...
นั่งคิดไปคิดมาก็เขียนบันทึกการเดินทางที่ประทับใจเก็บไว้ดีกว่า
ปีที่ผ่านมาเดินทางไปมาหลายที่ แต่ที่ประทับใจไม่ลืมเลยก็คงเป็น “ทริปเดี่ยวเที่ยวภูกระดึง ตึงตึงโป๊ะ นี่แหละ”
จากกระทู้ก่อนหน้าที่ที่โพสหาเพื่อนขึ้นภูกระดึงกัน สุดท้ายก็ไม่มีคู่หูไปด้วย ก็ต้องฉายเดี่ยวตามเคย
ไหนๆก็ไหนๆละ ไปเองก็ด้ะ
ว่าแล้วก็จัดกระเป๋า แบกเป้แบคแพคใบใหญ่มากกกกกก ขอย้ำว่าใบใหญ่มากจริงๆ เป็นบ้าหอบฟางเกินดีกว่าขาดว่างั้น
ไม่เป็นไรไง ก็มีลูกหาบช่วยสนับสนุนคนพื้นที่ทำมาหากินหน่อย ฮ่าๆๆ
เราออกเดินทางด้วยรถบัส ไปขึ้นที่หมอชิตใหม่รอบ 20:30 ไม่ดึกมาก
ยังไงก็แนะนำจองตั๋วออนไลน์ง่ายๆสบายๆ จะนั่งจะนอนจะอึอยู่ก็จองได้ ไปที่เว็บนี้เลยเน้อ
“www.จองตั๋วรถทัวร์.com”
จองตั๋วรถทัวร์
ซึ่งในปัจจุบันมีรถทัวร์ที่สามารถจองตั๋วผ่านระบบออนไลน์เพื่อเดินทางไปภูกระดึงได้ดังนี้
แอร์เมืองเลย
ซันบัส
ภูกระดึงทัวร์
จากกรุงเทพท่านสามารถขึ้นรถได้ที่ สถานีขนส่งหมอชิตใหม่
จุดลงรถทัวร์ คือ จุดจอดผานกเค้า จ.เลย ซึ่งเป็นจุดจอดรถทัวร์ที่ใกล้กับภูกระดึง ท่านต้องต่อรถสองแถวเพื่อเดินทางไปยังทางขึ้นภูกระดึง ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
ตอนนั้นเราไปกับภูกระดึงทัวร์ เพราะว่ารถชื่อรถคือภูกระดึง ยังไงก็ต้องไปถึงภูกระดึงแน่นอน ถูกแมะ
ต้องนั่งรถไปประมาณ 7-8 ชั่วโมง เรานั่งรถVIPไป ราคา 412 บาท รู้สึกว่ามันนานนนนนนมากกกกกกกก จะนอนก็นอนไม่หลับ เป็นรถกลางคืน กะว่าพอถึงที่ผานกเค้าก็เตรียมเก็บพลังไว้เต็มที่พร้อมลุย ที่ไหนได้ หลับๆตื่นๆ งัวเงียสุดๆ คงเป็นเพราะความกลัวด้วยเพราะไม่ค่อยชอบเดินทางรถทัวร์ ยิ่งตอนกลางคืนยิ่งกลัว
ก็นั่งไปค่ะ แต่คนขับขับดีมาก ไม่เร็วและไม่เสี่ยงเลย พอใกล้เวลาบัสโฮสเตสก็เดินมาเรียก ว่าเตรียมตัวลง
ฮะ ฮะ อะไรนะ จะถึงแล้วหรอ
เดี๋ยว!!! นี่มันเพิ่งตีสี่ฝ่าๆเองนะ
ในใจก็นั่งภาวนาว่าขอให้มีคนลงที่นี่เยอะๆน้า มีแหละ สถานที่ท่องเที่ยวจะไม่มีได้ยังไงกัน
พอรถชะลอความเร็ว รู้ได้ทันทีว่าถึงเวลาของเราแล้ว ถึงเวลาที่เราจะต้องเผชิญหน้ากับความมืดข้างหน้าแล้ว
ลงค่ะ ตอนก้าวเท้าลงไปจากรถก็หันกลับไปมองบนรถ หวังในใจเล็กๆว่า จะมีใครลงตามบ้าง
............ ว่างเปล่า เงียบฉี่ มีแต่เสียงแมงหวี่ร้อง..............
เราเดินลงจากรถไปเอาแบคแพคขึ้นมาแบกไว้บนบ่า พอประตูรถปิด รถก็ค่อยๆแล่นออกไปอย่างช้าๆ แล้วภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็ค่อยๆชัดขึ้นมา
นั่นไงป้ายจุดลงรถ มีร้านอาหาร(ที่ปิดอยู่) อยู่ฝั่งตรงข้าม
ในใจคิดว่า ที่นี่ใช่มะ ผานกเค้า ไหนป้าย?? ไม่มี เอ๊ะ หรือไม่เห็น??
มีแต่แสงไฟข้างถนนสีส้มอ่อนๆริบหรี่
เราต้องข้ามถนนใช่มั๊ย
ใช่ ต้องข้ามสิ ไม่ข้ามจะไปอยู่ตรงไหน ฝั่งนี้มีแต่พงหญ้า อีกฝั่งดูเหมือนมีเพิงร้านข้างทางอยู่ ไปหาที่นั่งแถวนั้นเอา
แล้วบนสนทนาเริ่มเกิดขึ้น -monologue-
(สนทนากับตัวเอง)
เงียบมากกกกกกกก ก.ยี่สิบล้านตัว
มันรู้สึกวังเวงโหวงเหวงแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน มันระแวงไปหมด
ดีนะที่ร้านอาหารเปิดไฟไว้ให้ มีแคร่ไม้ไผ่เล็กๆ โต๊ะที่นั่งอยู่สามสี่ตัว ก็เลยอยู่ที่นี่ รอพระอาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยถามหารถสองแถวต่อ
บอกตรงๆว่าตอนนั้นง่วงระดับสิบ คือตาปิดแล้วแต่ใจบอกว่าไม่ได้ จะหลับไปได้ มันน่ากลัวเกินไปที่จะหลับลง (กลัวทั้งคนกลัวทั้งผี)
ก็นั่งรอไป แต่มีอยู่ช็อตนึงที่มันไม่ไหวแล้ว กลัวก็กลัวเหอะ ช่างผีช่างคน ตื่นมาจะผีหรือคนค่อยว่ากันอีกที
ว่าแล้วก็เอาหมอนรองคอออกมาแล้วก็นอนเอนราบลงไปบนแคร่ไม้ไผ่หนุนเป้ใบเล็ก (นึกภาพตามด้วยนะ ฮ่าๆๆ )
พี่ไปก่อนละ คร่อกฟี้…………….
ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ ฟ้าเริ่มสาง รู้สึกตัวอีกทีมีกลุ่มคนประมาณสี่ห้าคนลงรถมาที่เดียวกัน เป็นน้องๆน่าจะเด็กมหาลัยมาเที่ยวกัน เขาก็เข้ามานั่งในร้านเดียวกัน คุยกันงุ้งงิ้งๆ ดูครึกครื้นดีเนอะ (อิจฉาเขาไง เขามากันเยอะ)
ผ่านไปสักพักก็มีป้าขับแมงกะไซมาแต็กๆแต็กๆ ดูแล้วน่าจะเป็นเจ้าของร้านกำลังจะมาเปิดร้านตอนเช้า
ป้าก็น่ารักมาก “เอ้า อิหนู มาคนเดียวหรอ”
“จ่ะ ป้า”
“นี่ห้องน้ำ ใช้ได้นะ ล้างหน้าล้างตา” ว่าแล้วป้าก็เดินไปเปิดไฟที่ห้องน้ำให้
“ขอบคุณค่ะป้า”
เราก็เดินไปแปรงฟัน ล้างหน้าล้างตา เด็กๆก็เข้ามาพร้อมกัน ก็สนทนากันนิดหน่อย
ถือโอกาสทำการผูกสัมพันธ์ติดสอยห้อยตามเขาไปด้วย
ล้างหน้าเสร็จก็ออกมาสั่งโอวัลตินอุ่นๆ รองท้องนิดหน่อยก่อนรอรถสองแถวจะมา
ป้าบอกว่า เดี๋ยวสักพักรถสองแถวก็มาแล้ว เราก็นั่งรอไป
พอรถมาถึงก็เดินตามน้องๆเขาไป บอกพี่ขอแชร์ค่ารถด้วยคนนะคะ
นี่ดีนะมีกลุ่มน้องๆมาพอดีจะได้มีคนหารค่ารถ ไม่งั้นจ่ายคนเดียว น่าจะสองสามร้อย
ในความมืดก็ยังมีแสงสว่างเสมอ.....ใช่หรอ ?
ในระหว่างที่นั่งรถสองแถวไป ฟ้าก็เริ่มเปิด นี่แหละแสงสว่างมาจริงๆละ
อากาศดีมากๆๆๆๆ ไม่ได้ตื่นเช้าๆแบบนี้มานานละ (นี่เขาไม่ได้เรียกว่าตื่นเช้า เขาเรียกว่าไม่ได้นอน)
นั่งรถไปแปบเดียวก็ถึงอุทยาน แต่พอไปถึง เจ้าหน้าที่ยังไม่มาเลย มันยังเช้าไป๊
นั่งรอไปสิ รอไปอีก
ช่วงที่นั่งรอ นักท่องเที่ยงก็เริ่มเข้ามาเรื่อย จากสี่ห้าคน เป็นสิบ ยี่สิบ สามสิบ แต่ก็ไม่ถือว่าเยอะมาก
มีทั้งต่างชาติ ทั้งคนไทย แต่ที่เห็นๆคือ ไม่ค่อยมีใครมาคนเดียวเลย
ที่นั่งมองไปมานี่ไม่ใช่อะไรหรอกนะ นั่งมองหาเพื่อนอยู่!!!
เผื่อจะมีใครพลัดหลงมาคนเดียวจะได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย
ผิดหวัง ผิดหวัง ผิดหวัง (เรื่องสำคัญต้องย้ำซ้ำๆสามที)
เห้ออออ ว่าแล้วก็รอจนกว่าเจ้าหน้าที่มาเปิดห้องขายบัตรเข้าอุทยาน เราเข้าไปซื้อตั๋วพร้อมประกัน พร้อมเช่าอุปกรณ์นอน
ราคา.....จำบ่ได้ละเน้อ แต่พวกเครื่องนอนเขาให้บัตรมาให้ไปรับข้างบนเลย
ห้ามทำหายเด็ดขาด ไม่งั้นไม่มีที่นอนเด้อ
หลังจากที่ซื้อตั๋วเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปหาอาหารเช้าเตรียมออกเดินทาง พร้อมกับซื้อเสบียงตุนไว้ในเป้เล็ก
แต่เขาบอกว่าข้างบนก็มีของขายตลอดทางไม่ต้องกลัวอด
ตามนั้นฮะ.....
ก่อนจะเข้าผ่านประตูสวรรค์ ก็ไปติดต่อลูกหาบให้ช่วยแบกสมบัติบ้าที่หอบมาก่อน โลละสามสิบบาทถ้าจำไม่ผิด
ไม่แพงหรอก เราไม่ได้บ้าระห่ำขนาดจะแบกขึ้นไปข้างบน ยอมจ่ายเพื่อแลกกับความสบายและความขี้เกียจขั้นสุด
จะเอาตัวเองรอดขึ้นไปรึเปล่ายังไม่รู้เลย ดีไม่ดี กระเป๋าขึ้นไปรอเก้อนี่ตลกเลยนะ ถ้าเราตัดสินใจไม่ไปต่อ ฮ่าๆๆๆ
ก็ว่าปายยยยยย....
ม่ะ!พร้อมละ ที่หน้าประตูสวรรค์มีไม้ปีนเขารุ่นผลิตจากธรรมชาติ วางไว้ให้เลือกสรรมากมายหลายขนาด เลือกได้ตามใจตามขนาดของตัวเองเลย
เห้ย! ตามใจชอบเลย เราหรือจะพลาด หยิบมาสิรออัลไล
พร้อมฮึบ! สตาร์ทเครื่อง บิดคันเร่ง ปล่อยครัช ไปเลยจ้า
ระหว่างทางช่วงแรกๆไม่ได้โหดมาก ค่อยเป็นค่อยไป วิวข้างทางก็สวย อากาศก็ดีมากเว่อร์
เดินกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ แต่ก็ต้องทำเวลาด้วยเหมือนกัน เพื่อที่จะไปให้ถึงข้างบนก่อนพระอาทิตย์ตก
ยิ่งสูงยิ่งหนาว ใครบอก ? ยิ่งสูงยิ่งเหนื่อยต่างหาก ร้อนด้วย!
วิวสวยก็จริง จากที่ใส่มาหลายชั้นตอนแรกๆ หลังนี่ถอดได้ถอด แดดก็เริ่มแรงขึ้น เส้นก็มีทางดินแข็ง ที่ราบ ที่ชัน
ชันสุดตรงบันไดเหล็ก เก้าสิบองศานี่แหละ ไม่จากจะนึกตอนขาลงเล้ยยย
แหม่ ไม่ต้องนึกขาลงเหอะ เอาขาขึ้นให้รอดก่อน
ระหว่างทางก็เจอมิตรภาพดีๆมากมาย เราเดินขึ้น สวนทางกับหลายคนที่เดินลงมา
คำพูดที่ได้ยินบ่อยที่สุด และรู้สึกว่าเหมือนได้เติมน้ำมันทุกครั้งที่ได้ยินก็คือ “สู้ๆนะครับ สู้ๆนะคะ ใกล้ถึงจุดพักแล้ว”
คือแบบได้ยินแล้วใจชื้นมาก มันเป็นความรู้สึกที่คนแปลกหน้าทักทายกันด้วยมิตรภาพ
นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเรามีความสุข มากกว่าการไปถึงจุดหมายก็คือการได้มิตรภาพระหว่างทาง
และอีกประโยคที่ได้ยินบ่อยไม่แพ้กันก็คงเป็น “มาคนเดียวหรอครับ มาคนเดียวหรอคะ”
แหะๆ เราก็ได้แต่พยักหน้าแล้วยิ้มๆ “ค่ะ” ไม่ใช่ไรนะ มันเหนื่อยจนพูดไม่ออก
ข้างทางจุดพักมีของกินผลไม้เยอะแยะมากมาย สิ่งที่ช่วยสร้างแรงฮึดให้เรามากที่สุดก็คือ เสาวรสใส่พริกเกลือ เชื่อเหอะมาว่ามันทำให้แรงดีไม่มีตกเลย
ซื้อมาสองลูกกินได้นานมาก พอหอบๆก็ตักมากิน จี๊ดเลยจ้า
แต่ระวังคนที่ท้องไส้ไม่ดีระวังจู๊ดๆกลางทางแล้วจะยุ่งนะ อ่อ ลืมบอกไปจุดพักแต่ละจุดก็มีห้องน้ำให้ตลอด เข้าได้อยู่ไม่ต้องเป็นห่วงไม่น่ากลัว ฮ่าๆๆ
[CR] เมื่อเราตัดสินใจไปภูกระดึงคนเดียว ...... แต่ไม่ได้กลับมาคนเดียว (ภูกระดึง ตึงตึงโป๊ะ!)
นั่งคิดไปคิดมาก็เขียนบันทึกการเดินทางที่ประทับใจเก็บไว้ดีกว่า
ปีที่ผ่านมาเดินทางไปมาหลายที่ แต่ที่ประทับใจไม่ลืมเลยก็คงเป็น “ทริปเดี่ยวเที่ยวภูกระดึง ตึงตึงโป๊ะ นี่แหละ”
จากกระทู้ก่อนหน้าที่ที่โพสหาเพื่อนขึ้นภูกระดึงกัน สุดท้ายก็ไม่มีคู่หูไปด้วย ก็ต้องฉายเดี่ยวตามเคย
ไหนๆก็ไหนๆละ ไปเองก็ด้ะ
ว่าแล้วก็จัดกระเป๋า แบกเป้แบคแพคใบใหญ่มากกกกกก ขอย้ำว่าใบใหญ่มากจริงๆ เป็นบ้าหอบฟางเกินดีกว่าขาดว่างั้น
ไม่เป็นไรไง ก็มีลูกหาบช่วยสนับสนุนคนพื้นที่ทำมาหากินหน่อย ฮ่าๆๆ
เราออกเดินทางด้วยรถบัส ไปขึ้นที่หมอชิตใหม่รอบ 20:30 ไม่ดึกมาก
ยังไงก็แนะนำจองตั๋วออนไลน์ง่ายๆสบายๆ จะนั่งจะนอนจะอึอยู่ก็จองได้ ไปที่เว็บนี้เลยเน้อ
“www.จองตั๋วรถทัวร์.com” จองตั๋วรถทัวร์
ซึ่งในปัจจุบันมีรถทัวร์ที่สามารถจองตั๋วผ่านระบบออนไลน์เพื่อเดินทางไปภูกระดึงได้ดังนี้
แอร์เมืองเลย
ซันบัส
ภูกระดึงทัวร์
จากกรุงเทพท่านสามารถขึ้นรถได้ที่ สถานีขนส่งหมอชิตใหม่
จุดลงรถทัวร์ คือ จุดจอดผานกเค้า จ.เลย ซึ่งเป็นจุดจอดรถทัวร์ที่ใกล้กับภูกระดึง ท่านต้องต่อรถสองแถวเพื่อเดินทางไปยังทางขึ้นภูกระดึง ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง
นั่นไงป้ายจุดลงรถ มีร้านอาหาร(ที่ปิดอยู่) อยู่ฝั่งตรงข้าม
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้