Cappadocia
เมืองมรดกโลกที่งดงามแห่งหนึ่งในประเทศตุรกี ตั้งอยู่บนพื้นที่ภูเขาไฟเอร์จีเยส (Erciyes) ซึ่งมีความสูงกว่า 3,916 เมตร บนยอดเขามีหิมะปกคลุมทั้งปี และสามารถมองเห็นทะเลดำและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้
เมืองแห่งนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อราว 3 ล้านปีมาแล้ว ลาวาและเถ้าภูเขาไฟที่พ่นออกมาทำให้เกิดเป็นผืนดินใหม่ หลังจากนั้นมันได้ถูกกัดกร่อนโดยลม ฝน แดด หิมะจนทำให้เกิดเป็นหุบเขารูปลักษณ์แปลกตาในลักษณะต่างๆ เช่น กรวย หอปล่องไฟ กระโจม ฯ คล้ายกับเมืองในเทพนิยาย ทำให้มันมีอีกชื่อว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy Chimney)
และด้วยหุบเขามีเนื้อหินที่อ่อน เมื่อมีมนุษย์เข้ามาอาศัยในบริเวณนี้ พวกเขาจึงใช้โลหะตกแต่งก้อนหินเข้าไปเป็นโพรงที่พักอาศัย คอกม้า โบสถ์และสถานที่ต่างๆ จนถึงช่วงราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล ชนชาวคัปปาโดเกียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมัน ทำให้มีความเชื่อเคารพบูชาในเทพเจ้าโรมัน
หลังจากนั้นได้มีการเข้ามาของคริสต์ศาสนา ชาวบ้านบางส่วนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นำมาซึ่งความไม่พอใจแก่ชนชั้นปกครองของโรมัน จึงมีการออกคำสั่งให้กวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์ให้หมด ดังนั้นพวกเขาจึงหลบซ่อนโดยการเจาะขุดสกัดหินลงไปเป็นอุโมงค์เป็นนครใต้ดินไคมัคลี (Underground City of Derinkuyu or Kaymakli) สร้างคอกม้า โบสถ์ โรงเรียน ห้องพักอาศัย ห้องเก็บอาหาร ห้องเก็บไวน์ ห้องเลี้ยงสัตว์ และบ่อน้ำมากถึง 200 บ่อ
โดยมีการคาดการณ์ว่า มีผู้คนอยู่อาศัยในเมืองใต้ดินแห่งนี้อยู่มากกว่า 10,000 คน ในห้องต่างๆลงไป มากกว่า 10 กว่าชั้น โดยห้องชั้นล่างของนครแห่งนี้มีความลึกถึง 85 เมตร เชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์แคบกว่า 100 อุโมงค์ มีช่องระบายอากาศเหมาะสม ทำให้ระบายอากาศได้ดีและมีอุณหภูมิเฉลี่ยราว 14-18 องศาเซลเซียส หน้าร้อนจึงเย็นสบายแม้หน้าหนาวก็ยังอบอุ่น ซึ่งในบางครั้งผู้คนใต้ดินก็จะใช้เวลาว่างไปกับการทำไวน์จากองุ่น และเบียร์จากข้าวบาเลย์อีกด้วย
Cr.
http://www.nextsteptv.com/cappadocia/
Coober Pedy
Coober Pedy เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเหมืองโอปอลของประเทศออสเตรเลีย ที่ตั้งอยู่ในเขตทะเลทรายชนบทที่ห่างไกลของประเทศ และมักจะถูกปกคลุมด้วยฝุ่นสีแดงบางๆ จากเหมืองโอปอลที่อยู่ในท้องถิ่น และมีอุณหภูมิเฉลี่ย 51 องศาเซลเซียสในที่ร่ม ผู้คนเมืองนี้จึงมีความคิดสร้างชุมชนใต้ดินในเหมืองร้างเก่า โดยการสร้างบ้านที่ขุดออกไปจนถึงโบสถ์ โดยชาวเมืองประมาณ 60% ของชาวเมืองทั้งหมด 3,500 คนได้อาศัยอยู่ใต้ดิน
ความโดดเด่นของ Coober Pedy คือผู้คนเมืองนี้เกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ใต้ดิน โดยแต่เดิมแล้วคนงานในเหมืองก็อาศัยสร้างที่พักบนพื้นดิน แต่เนื่องจากต้องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่ร้อนระอุในกลางวันและเย็นมากในเวลากลางคืน โดยประมาณ 100 ปีก่อน คนกลุ่มหนึ่งค้นพบโอปอลหนึ่งชิ้นในพื้นที่ จึงทำให้คนงานเหมืองแห่กันขุด ในไม่ช้าก็เกิดเป็นเมือง Coober Pedy ที่เป็นแหล่งกำเนิดโอปอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่เดิมเมืองนี้ถูกตั้งชื่อว่า Stuart Range Opal Field เพื่อเป็นเกียรติแด่ John McDouall Stuart นักสำรวจชาวสก็อต ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ทำการสำรวจพื้นที่นี้ของออสเตรเลียเมื่อปี 1858 กระทั่งปี 1920 สถานที่นี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Coober Pedy ซึ่งมีความหมายว่า ‘ชาวผิวขาวในหลุม’
ปัจจุบัน Coober Pedy ก็ได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คน และมีบ้านที่เรียกว่า “dugouts” มากถึง 1,500 ห้อง เลยทีเดียว
เมืองใต้ดินนี้ยังได้รับความสนใจอีกเหตุผลหนึ่ง คือโครงการพลังงานแบบไฮบริด โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของ Coober Pedy สามารถสร้างพลังงานได้ถึง 70% ของพลังงานที่จำเป็น สำหรับการสร้างเมืองในสถานที่ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 53 ° C
ในฤดูร้อนแหล่งพลังงานที่สะอาดกว่าช่วยลดควันและความร้อนของน้ำมันดีเซลที่เคยใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับเมือง ที่ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมการทำเหมืองโอปอลมานานหลายทศวรรษ
ที่มา : bbc.com
Cr.
https://www.kobkid.com/เรื่องน่ารู้/coober-pedy-เมืองใต้ดินของออสเตรเลียที่มีผู้อยู่อาศัยจริงและเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหมืองโอปอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก / โดย Property Insider
Beijing’s Underground City
เมืองใต้ดินนี้เดิมเป็นหลุมหลบภัยทางอากาศ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1969 ตามคำสั่งของประธานเหมา หรือเหมาเจ๋อตง อดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของจีน ในยุคของสงครามเย็นระหว่างจีนและอดีตสหภาพโซเวียต โดยใช้แรงงานคนหลายหมื่นคนมีทั้งชาวบ้าน และนักเรียน นักศึกษาในการขุด โดยไม่มีเครื่องจักรช่วยเลย ซึ่งแสดงเป็นภาพให้เห็นที่ผนังอุโมงค์ ใช้เวลานานถึง 10 ปีจึงสร้างเสร็จ ความยาวของอุโมงค์แห่งนี้มากกว่า 30 กิโลเมตร กินเนื้อที่ราว 85 ตารางกิโลเมตร ลึก 8-18 เมตรจากพื้นดิน ภายในสูงราว 3 เมตร
เมืองใต้ดินถูกออกแบบให้สามารถจุคนได้ถึง 300,000 คน และประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านตัดผม โรงพยาบาล โรงเรียน โรงหนัง โรงงาน คลังเก็บน้ำมัน และธัญพืช คลังอาวุธ มีแม้กระทั่งฟาร์มเพาะเห็ด
แทบทุกครัวเรือนในเขตตงเฉิง ซีเฉิง ฉงเหวิน และเซวียนอู่ จะทำทางเข้าออกไว้เพื่อนำไปยังเมืองใต้ดินนี้ และยังมีทางเข้าออกเชื่อมโยงไปยังสถานที่สำคัญหลายแห่งในเมือง เช่น พระราชวังต้องห้าม (กู้กง) จัตุรัสเทียนอันเหมิน มหาศาลาประชาคม หอสักการะฟ้า (เทียนถัน) ในปัจจุบันยังเชื่อมกับสถานีรถไฟปักกิ่ง ตลอดจนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหลายแห่ง
แต่เมืองใต้ดินไม่เคยได้ใช้ในวัตถุประสงค์ที่สร้างขึ้นมาเลย จึงถูกปิดลงหลังช่วงทศวรรษ 1970 อย่างไรก็ตาม เมืองใต้ดินได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในบางส่วน เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยว
เรียบเรียบจาก ไชน่าเดลี่ ซินหัวเน็ต ทอมดอทคอม
Cr.
https://mgronline.com/china/detail/9480000057774 / โดย: MGR Online
Yaodongs
ตามรายงานของเว็บไซต์มิเรอร์ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 ระบุว่า ในพื้นที่แห่งหนึ่งของมณฑลเหอหนาน ทางตอนกลางของประเทศจีน มีหมู่บ้านใต้ดินลึกลับอายุมากกว่า 4,000 ปี ซึ่งในอดีตเคยมีบ้านเรือนมากกว่า 10,000 หลัง แต่ปัจจุบันมีผู้คนอยู่ที่นั่นเพียงแค่ราว 3,000 คน
บ้านจำนวนหลายหลังถูกทิ้งไว้มาเป็นเวลายาวนาน โดยขณะนี้อยู่ภายใต้การอนุรักษ์และถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโดยทางการจีนเมื่อปี 2554 อีกทั้งทางรัฐบาลท้องถิ่นยังได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่คุ้มครอง และมีแผนที่จะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
พื้นที่ดังกล่าวได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน โดยภายในมีสภาพอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิประมาณ 10 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว และประมาณ 20 องศาเซลเซียสในฤดูร้อน บ้านบางหลังถูกเรียกชื่อว่า Yaodongs ซึ่งในอดีตเคยมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่มากว่า 6 รุ่น รวมระยะเวลานานกว่า 200 ปี ทั้งนี้ ตามรายงานท้องถิ่นได้เผยว่า เมื่อวันเวลาผ่านไปชาวบ้านหลายคนต่างอพยพย้ายจากภายในถ้ำขึ้นมาอยู่บนพื้นดิน
ภายในพื้นที่ดังกล่าวจะมีลานสนามยาว 10-12 เมตร อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 6-7 เมตร โดยมีการขุดปากเป็นถ้ำเป็นแนวเฉียง เพื่อเป็นประตูสำหรับให้ชาวบ้านเข้าไปยังพื้นที่ภายใน ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากมุมสูง ปัจจุบันหมู่บ้านใต้ดินเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในปี 2018
ภาพจาก qq.com
Cr.
https://hilight.kapook.com/view/167161
เมืองใต้ดินนาซี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ามีสิ่งปลูกสร้างหลากหลายแห่งที่ไว้ใช้สำหรับกิจกรรมทางทหารของนาซีเยอรมนี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเมืองใต้ผืนดินที่หมู่บ้าน Scheveningen ประเทศเนเธอร์แลนด์
เมืองใต้ดินนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นบ้านพักสำหรับทหารกองอารักขา Schutzstaffel (ย่อเป็น SS) จำนวนทั้งสิ้น 3,300 นาย โดยเมืองใต้ดินนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงแห่งแอตแลนติก ระบบป้องกันชายจากทหารฝ่ายสัมพันธมิตร
หลังจากที่ทางนาซีเยอรมนีได้เข้ายึดพื้นประเทศเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 10 พฤษภาคม 1940 และทำให้เนเธอร์แลนด์ล่มสลายภายใน 5 วัน หลังจากนั้นก็ได้ประกาศว่าบริเวณหมู่บ้าน Scheveningen เป็นเขตหวงห้าม ทำให้ชาวบ้านกว่า 135,000 ราย ต้องอพยพหนีออกมา
สิ่งอำนวยความสะดวกใต้ดินนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1942 โดยผู้รับเหมาต้องรับมือกับงานสร้างที่มีความซับซ้อน ซึ่งรวมไปถึงทางเดินที่เชื่อมต่อจุดต่างๆ ภายในเมืองใต้ดิน และห้องเก็บยุทโธปกรณ์ต่างๆ ซึ่งแรงงานก่อสร้างคือชาวดัตช์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนาซี
ทางเข้าที่นำไปสู่เมืองใต้ดินของนาซี
อาคารทางการทหารประมาณ 900 ห้องทั้งพื้นผิวและใต้ดินนั้น ทำมาจากคอนกรีตเสริมเหล็กมากกว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร
และยังมีการค้นพบบังเกอร์กว่า 500 แห่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโดยมูลนิธิ Scheveningen Atlantic Wall เพื่อทำการอนุรักษ์และจดบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำคัญเอาไว้
ส่วนหนึ่งของทางเดินในเมืองใต้ดิน
ตามข้อกำหนดของกองทัพเยอรมัน ผู้รับเหมาท้องถิ่นนั้นได้เพิ่มช่องว่างและทางเดินในแต่ละพื้นที่ เพื่อไว้สำหรับจัดตั้งเป็นป้อมปืน นอกจากนี้บังเกอร์ยังถูกต่อเติมด้วย ห้องครัว ห้องสุขาและห้องอบซาวน่า ซึ่งทำให้มีลักษณะเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ เพียงแค่เพิ่มผนังกันระเบิดไปด้วย
การค้นพบของมูลนิธิ Atlantic Wall นี้ เป็นการเปิดเผยเรื่องราวถึงสิ่งที่ชาวดัตช์ที่ตัดสินใจผิดในอดีต ที่เคยสนับสนุนอาสาสมัครทหาร SS ชาวดัตช์กว่า 20,000 นายให้แก่พรรคนาซี ซึ่ง ณ เวลานั้นพวกเขาคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ที่มา: dailymail
Cr.
https://www.catdumb.com/the-atlantics-wall-project-3300-999/ By อดีตเหมียว
Salina Turda
Salina Turda ตั้งอยู่ใต้ดิน สร้างจากเหมืองเกลือร้างเก่าแก่ที่สุดของโลก อยู่ที่เมืองทูร์ดา ประเทศโรมาเนีย เป็นสวนสนุกแห่งแรกที่ถูกสร้างขึ้นในเหมืองเกลือร้างเก่าแก่ขนาดใหญ่ ลึกลงไปใต้ดินประมาณ 400 ฟุต หรือ 120 เมตร มีประวัติมายาวนานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่แห่งนี้ยังถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ใต้ดินที่สวยที่สุดในโลก
ย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 17 เดิมที่เหมืองแห่งนี้เคยมีการขุดดินเพื่อเอามาทำเกลือ เมื่อเวลาผ่านไปบริเวณที่ขุดนั้นก็ยิ่งลึกลงๆ ไปกลายเป็นเหมือนเป็นวังขนาดใหญ่มหึมา เป็นทรงสูงแบบระฆังคว่ำ ต่อเนื่องมายังยุคกลางและหยุดขุดเจาะในปี 1932 จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แหมืองแห่งนี้ก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์ ให้กลายเป็นศูนย์การแพทย์และสถานที่ลี้ภัย
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านเวลามานานนับสิบๆ ปี เหมืองแห่งนี้ถูกทิ้งร้าง ทางรัฐบาลท้องถิ่นก็เลยเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เกลือ ให้ผู้คนได้เข้ามาท่องเที่ยวและเรียนรู้ประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จนกระทั่งล่าสุดที่แห่งนี้ก็ได้ถูกฟื้นฟูให้กลายเป็น สวนสนุกใต้ดิน และเปิดให้ผู้คนได้ท่องเที่ยว
Iosif mine ลักษณะเป็นห้องโถงใหญ่ เรียกอีกอย่างว่า “Echoes Room” เพราะเวลาคุยเสียงจะดังกงวาน
ขอบคุณข้อมูล
http://www.businessinsider.com/, en.wikipedia.org
Cr.
https://travel.mthai.com/world-travel/133924.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
เมืองใต้ดินที่เก่าแก่และมีชื่อเสียง
Cappadocia
เมืองมรดกโลกที่งดงามแห่งหนึ่งในประเทศตุรกี ตั้งอยู่บนพื้นที่ภูเขาไฟเอร์จีเยส (Erciyes) ซึ่งมีความสูงกว่า 3,916 เมตร บนยอดเขามีหิมะปกคลุมทั้งปี และสามารถมองเห็นทะเลดำและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้
เมืองแห่งนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อราว 3 ล้านปีมาแล้ว ลาวาและเถ้าภูเขาไฟที่พ่นออกมาทำให้เกิดเป็นผืนดินใหม่ หลังจากนั้นมันได้ถูกกัดกร่อนโดยลม ฝน แดด หิมะจนทำให้เกิดเป็นหุบเขารูปลักษณ์แปลกตาในลักษณะต่างๆ เช่น กรวย หอปล่องไฟ กระโจม ฯ คล้ายกับเมืองในเทพนิยาย ทำให้มันมีอีกชื่อว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy Chimney)
และด้วยหุบเขามีเนื้อหินที่อ่อน เมื่อมีมนุษย์เข้ามาอาศัยในบริเวณนี้ พวกเขาจึงใช้โลหะตกแต่งก้อนหินเข้าไปเป็นโพรงที่พักอาศัย คอกม้า โบสถ์และสถานที่ต่างๆ จนถึงช่วงราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล ชนชาวคัปปาโดเกียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมัน ทำให้มีความเชื่อเคารพบูชาในเทพเจ้าโรมัน
หลังจากนั้นได้มีการเข้ามาของคริสต์ศาสนา ชาวบ้านบางส่วนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นำมาซึ่งความไม่พอใจแก่ชนชั้นปกครองของโรมัน จึงมีการออกคำสั่งให้กวาดล้างผู้นับถือศาสนาคริสต์ให้หมด ดังนั้นพวกเขาจึงหลบซ่อนโดยการเจาะขุดสกัดหินลงไปเป็นอุโมงค์เป็นนครใต้ดินไคมัคลี (Underground City of Derinkuyu or Kaymakli) สร้างคอกม้า โบสถ์ โรงเรียน ห้องพักอาศัย ห้องเก็บอาหาร ห้องเก็บไวน์ ห้องเลี้ยงสัตว์ และบ่อน้ำมากถึง 200 บ่อ
โดยมีการคาดการณ์ว่า มีผู้คนอยู่อาศัยในเมืองใต้ดินแห่งนี้อยู่มากกว่า 10,000 คน ในห้องต่างๆลงไป มากกว่า 10 กว่าชั้น โดยห้องชั้นล่างของนครแห่งนี้มีความลึกถึง 85 เมตร เชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์แคบกว่า 100 อุโมงค์ มีช่องระบายอากาศเหมาะสม ทำให้ระบายอากาศได้ดีและมีอุณหภูมิเฉลี่ยราว 14-18 องศาเซลเซียส หน้าร้อนจึงเย็นสบายแม้หน้าหนาวก็ยังอบอุ่น ซึ่งในบางครั้งผู้คนใต้ดินก็จะใช้เวลาว่างไปกับการทำไวน์จากองุ่น และเบียร์จากข้าวบาเลย์อีกด้วย
Cr.http://www.nextsteptv.com/cappadocia/
Coober Pedy
Coober Pedy เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมเหมืองโอปอลของประเทศออสเตรเลีย ที่ตั้งอยู่ในเขตทะเลทรายชนบทที่ห่างไกลของประเทศ และมักจะถูกปกคลุมด้วยฝุ่นสีแดงบางๆ จากเหมืองโอปอลที่อยู่ในท้องถิ่น และมีอุณหภูมิเฉลี่ย 51 องศาเซลเซียสในที่ร่ม ผู้คนเมืองนี้จึงมีความคิดสร้างชุมชนใต้ดินในเหมืองร้างเก่า โดยการสร้างบ้านที่ขุดออกไปจนถึงโบสถ์ โดยชาวเมืองประมาณ 60% ของชาวเมืองทั้งหมด 3,500 คนได้อาศัยอยู่ใต้ดิน
ความโดดเด่นของ Coober Pedy คือผู้คนเมืองนี้เกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ใต้ดิน โดยแต่เดิมแล้วคนงานในเหมืองก็อาศัยสร้างที่พักบนพื้นดิน แต่เนื่องจากต้องการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่ร้อนระอุในกลางวันและเย็นมากในเวลากลางคืน โดยประมาณ 100 ปีก่อน คนกลุ่มหนึ่งค้นพบโอปอลหนึ่งชิ้นในพื้นที่ จึงทำให้คนงานเหมืองแห่กันขุด ในไม่ช้าก็เกิดเป็นเมือง Coober Pedy ที่เป็นแหล่งกำเนิดโอปอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่เดิมเมืองนี้ถูกตั้งชื่อว่า Stuart Range Opal Field เพื่อเป็นเกียรติแด่ John McDouall Stuart นักสำรวจชาวสก็อต ซึ่งเป็นชาวยุโรปคนแรกที่ทำการสำรวจพื้นที่นี้ของออสเตรเลียเมื่อปี 1858 กระทั่งปี 1920 สถานที่นี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Coober Pedy ซึ่งมีความหมายว่า ‘ชาวผิวขาวในหลุม’
ปัจจุบัน Coober Pedy ก็ได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คน และมีบ้านที่เรียกว่า “dugouts” มากถึง 1,500 ห้อง เลยทีเดียว
เมืองใต้ดินนี้ยังได้รับความสนใจอีกเหตุผลหนึ่ง คือโครงการพลังงานแบบไฮบริด โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของ Coober Pedy สามารถสร้างพลังงานได้ถึง 70% ของพลังงานที่จำเป็น สำหรับการสร้างเมืองในสถานที่ซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 53 ° C
ในฤดูร้อนแหล่งพลังงานที่สะอาดกว่าช่วยลดควันและความร้อนของน้ำมันดีเซลที่เคยใช้เป็นแหล่งพลังงานให้กับเมือง ที่ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมการทำเหมืองโอปอลมานานหลายทศวรรษ
ที่มา : bbc.com
Cr.https://www.kobkid.com/เรื่องน่ารู้/coober-pedy-เมืองใต้ดินของออสเตรเลียที่มีผู้อยู่อาศัยจริงและเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหมืองโอปอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก / โดย Property Insider
Beijing’s Underground City
เมืองใต้ดินนี้เดิมเป็นหลุมหลบภัยทางอากาศ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1969 ตามคำสั่งของประธานเหมา หรือเหมาเจ๋อตง อดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของจีน ในยุคของสงครามเย็นระหว่างจีนและอดีตสหภาพโซเวียต โดยใช้แรงงานคนหลายหมื่นคนมีทั้งชาวบ้าน และนักเรียน นักศึกษาในการขุด โดยไม่มีเครื่องจักรช่วยเลย ซึ่งแสดงเป็นภาพให้เห็นที่ผนังอุโมงค์ ใช้เวลานานถึง 10 ปีจึงสร้างเสร็จ ความยาวของอุโมงค์แห่งนี้มากกว่า 30 กิโลเมตร กินเนื้อที่ราว 85 ตารางกิโลเมตร ลึก 8-18 เมตรจากพื้นดิน ภายในสูงราว 3 เมตร
เมืองใต้ดินถูกออกแบบให้สามารถจุคนได้ถึง 300,000 คน และประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ร้านตัดผม โรงพยาบาล โรงเรียน โรงหนัง โรงงาน คลังเก็บน้ำมัน และธัญพืช คลังอาวุธ มีแม้กระทั่งฟาร์มเพาะเห็ด
แทบทุกครัวเรือนในเขตตงเฉิง ซีเฉิง ฉงเหวิน และเซวียนอู่ จะทำทางเข้าออกไว้เพื่อนำไปยังเมืองใต้ดินนี้ และยังมีทางเข้าออกเชื่อมโยงไปยังสถานที่สำคัญหลายแห่งในเมือง เช่น พระราชวังต้องห้าม (กู้กง) จัตุรัสเทียนอันเหมิน มหาศาลาประชาคม หอสักการะฟ้า (เทียนถัน) ในปัจจุบันยังเชื่อมกับสถานีรถไฟปักกิ่ง ตลอดจนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหลายแห่ง
แต่เมืองใต้ดินไม่เคยได้ใช้ในวัตถุประสงค์ที่สร้างขึ้นมาเลย จึงถูกปิดลงหลังช่วงทศวรรษ 1970 อย่างไรก็ตาม เมืองใต้ดินได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้งในบางส่วน เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการท่องเที่ยว
เรียบเรียบจาก ไชน่าเดลี่ ซินหัวเน็ต ทอมดอทคอม
Cr.https://mgronline.com/china/detail/9480000057774 / โดย: MGR Online
Yaodongs
ตามรายงานของเว็บไซต์มิเรอร์ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 ระบุว่า ในพื้นที่แห่งหนึ่งของมณฑลเหอหนาน ทางตอนกลางของประเทศจีน มีหมู่บ้านใต้ดินลึกลับอายุมากกว่า 4,000 ปี ซึ่งในอดีตเคยมีบ้านเรือนมากกว่า 10,000 หลัง แต่ปัจจุบันมีผู้คนอยู่ที่นั่นเพียงแค่ราว 3,000 คน
บ้านจำนวนหลายหลังถูกทิ้งไว้มาเป็นเวลายาวนาน โดยขณะนี้อยู่ภายใต้การอนุรักษ์และถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโดยทางการจีนเมื่อปี 2554 อีกทั้งทางรัฐบาลท้องถิ่นยังได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่คุ้มครอง และมีแผนที่จะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
พื้นที่ดังกล่าวได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน โดยภายในมีสภาพอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิประมาณ 10 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว และประมาณ 20 องศาเซลเซียสในฤดูร้อน บ้านบางหลังถูกเรียกชื่อว่า Yaodongs ซึ่งในอดีตเคยมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่มากว่า 6 รุ่น รวมระยะเวลานานกว่า 200 ปี ทั้งนี้ ตามรายงานท้องถิ่นได้เผยว่า เมื่อวันเวลาผ่านไปชาวบ้านหลายคนต่างอพยพย้ายจากภายในถ้ำขึ้นมาอยู่บนพื้นดิน
ภายในพื้นที่ดังกล่าวจะมีลานสนามยาว 10-12 เมตร อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 6-7 เมตร โดยมีการขุดปากเป็นถ้ำเป็นแนวเฉียง เพื่อเป็นประตูสำหรับให้ชาวบ้านเข้าไปยังพื้นที่ภายใน ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากมุมสูง ปัจจุบันหมู่บ้านใต้ดินเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในปี 2018
ภาพจาก qq.com
Cr.https://hilight.kapook.com/view/167161
เมืองใต้ดินนาซี
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ามีสิ่งปลูกสร้างหลากหลายแห่งที่ไว้ใช้สำหรับกิจกรรมทางทหารของนาซีเยอรมนี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเมืองใต้ผืนดินที่หมู่บ้าน Scheveningen ประเทศเนเธอร์แลนด์
เมืองใต้ดินนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นบ้านพักสำหรับทหารกองอารักขา Schutzstaffel (ย่อเป็น SS) จำนวนทั้งสิ้น 3,300 นาย โดยเมืองใต้ดินนี้เป็นส่วนหนึ่งของกำแพงแห่งแอตแลนติก ระบบป้องกันชายจากทหารฝ่ายสัมพันธมิตร
หลังจากที่ทางนาซีเยอรมนีได้เข้ายึดพื้นประเทศเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 10 พฤษภาคม 1940 และทำให้เนเธอร์แลนด์ล่มสลายภายใน 5 วัน หลังจากนั้นก็ได้ประกาศว่าบริเวณหมู่บ้าน Scheveningen เป็นเขตหวงห้าม ทำให้ชาวบ้านกว่า 135,000 ราย ต้องอพยพหนีออกมา
สิ่งอำนวยความสะดวกใต้ดินนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1942 โดยผู้รับเหมาต้องรับมือกับงานสร้างที่มีความซับซ้อน ซึ่งรวมไปถึงทางเดินที่เชื่อมต่อจุดต่างๆ ภายในเมืองใต้ดิน และห้องเก็บยุทโธปกรณ์ต่างๆ ซึ่งแรงงานก่อสร้างคือชาวดัตช์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของนาซี
ทางเข้าที่นำไปสู่เมืองใต้ดินของนาซี
อาคารทางการทหารประมาณ 900 ห้องทั้งพื้นผิวและใต้ดินนั้น ทำมาจากคอนกรีตเสริมเหล็กมากกว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร
และยังมีการค้นพบบังเกอร์กว่า 500 แห่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการโดยมูลนิธิ Scheveningen Atlantic Wall เพื่อทำการอนุรักษ์และจดบันทึกช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำคัญเอาไว้
ส่วนหนึ่งของทางเดินในเมืองใต้ดิน
ตามข้อกำหนดของกองทัพเยอรมัน ผู้รับเหมาท้องถิ่นนั้นได้เพิ่มช่องว่างและทางเดินในแต่ละพื้นที่ เพื่อไว้สำหรับจัดตั้งเป็นป้อมปืน นอกจากนี้บังเกอร์ยังถูกต่อเติมด้วย ห้องครัว ห้องสุขาและห้องอบซาวน่า ซึ่งทำให้มีลักษณะเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ เพียงแค่เพิ่มผนังกันระเบิดไปด้วย
การค้นพบของมูลนิธิ Atlantic Wall นี้ เป็นการเปิดเผยเรื่องราวถึงสิ่งที่ชาวดัตช์ที่ตัดสินใจผิดในอดีต ที่เคยสนับสนุนอาสาสมัครทหาร SS ชาวดัตช์กว่า 20,000 นายให้แก่พรรคนาซี ซึ่ง ณ เวลานั้นพวกเขาคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ที่มา: dailymail
Cr. https://www.catdumb.com/the-atlantics-wall-project-3300-999/ By อดีตเหมียว
Salina Turda
Salina Turda ตั้งอยู่ใต้ดิน สร้างจากเหมืองเกลือร้างเก่าแก่ที่สุดของโลก อยู่ที่เมืองทูร์ดา ประเทศโรมาเนีย เป็นสวนสนุกแห่งแรกที่ถูกสร้างขึ้นในเหมืองเกลือร้างเก่าแก่ขนาดใหญ่ ลึกลงไปใต้ดินประมาณ 400 ฟุต หรือ 120 เมตร มีประวัติมายาวนานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่แห่งนี้ยังถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ใต้ดินที่สวยที่สุดในโลก
ย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 17 เดิมที่เหมืองแห่งนี้เคยมีการขุดดินเพื่อเอามาทำเกลือ เมื่อเวลาผ่านไปบริเวณที่ขุดนั้นก็ยิ่งลึกลงๆ ไปกลายเป็นเหมือนเป็นวังขนาดใหญ่มหึมา เป็นทรงสูงแบบระฆังคว่ำ ต่อเนื่องมายังยุคกลางและหยุดขุดเจาะในปี 1932 จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แหมืองแห่งนี้ก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์ ให้กลายเป็นศูนย์การแพทย์และสถานที่ลี้ภัย
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านเวลามานานนับสิบๆ ปี เหมืองแห่งนี้ถูกทิ้งร้าง ทางรัฐบาลท้องถิ่นก็เลยเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เกลือ ให้ผู้คนได้เข้ามาท่องเที่ยวและเรียนรู้ประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จนกระทั่งล่าสุดที่แห่งนี้ก็ได้ถูกฟื้นฟูให้กลายเป็น สวนสนุกใต้ดิน และเปิดให้ผู้คนได้ท่องเที่ยว
Iosif mine ลักษณะเป็นห้องโถงใหญ่ เรียกอีกอย่างว่า “Echoes Room” เพราะเวลาคุยเสียงจะดังกงวาน
ขอบคุณข้อมูล http://www.businessinsider.com/, en.wikipedia.org
Cr. https://travel.mthai.com/world-travel/133924.html
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)