EP : 3 โง่(อังกฤษ) ขนาดนี้จะเรียนนักบินได้หรอ ?
รักทางไกล ✈️ ไทย ออสเตรเลีย
ตอนนั้นทุกวันต้องเดินทางจากบ้านที่อ่อนนุชมาเรียนคอร์สแอร์ที่สุขุมวิท วันหนึ่งก็ไปพบรักกับหนุ่มตาน้ำข้าวชาวออสซี่ 👱🏼♂️👩🏾นางมา vacation ที่เมืองไทย และนางเรียน ป.โท อยู่ที่ออสเตรเลีย และเราต้องสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษตลอดทำให้เรามีเหตุผลในการฝึกภาษาเพิ่มขึ้น เพราะเราต้องคุยกันทางโทรศัพท์ และสื่อสารกันผ่านการส่งข้อความ ทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น ได้ฟังสำเนียง พร้อมๆกับการเรียนรู้ และค้นคว้า อ่านหนังสือ เพิ่มเติมไปด้วย เราสลับกันไปมา หากัน ไทย ออสเตรเลีย
ภาษาเราเริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่เคยหยุดเรียนรู้ เราเริ่มเดินสายสมัครแอร์ ต่างประเทศ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย แทบทุกเดือน บางเดือน เดือนละ สองครั้ง มีแม่และนางให้กำลังใจตลอด
***เราเคยได้ยินมาว่า อย่ารอให้ตัวเองพร้อม เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะพร้อม ดังนั้น เริ่มเลย และเรียนรู้พัฒนาจากประสบการณ์จริง เรียนรู้จากความผิดพลาดมาแก้ไข พัฒนาตัวเองต่อไป
เราเริ่มด้วยภาษาที่ผิดๆถูกๆ ท่องจำ ตามตำรา ไปแบบเบลอๆ นี่แหละ 😂
สายแรกที่เราสมัคร คือ กะทะแอร์เวย์ ที่มาเลเซีย ครั้งที่สองอิมิเรสที่สิงคโปร์ เราผ่านเข้ากรุ๊ปสอง ไปตกม้าตาย เพราะภาษาเราไม่ได้พอที่จะโต้เถียงนอกเหนือจากสิ่งที่เราเตรียมมาได้
แต่ก็ไม่เคยหยุดสมัคร 😅เรียนไปด้วย ตามสมัครไปด้วย เที่ยวด้วย โอ้ยย ตอนนั้นสนุกมาก ไปอยู่มาเลเป็นเดือนๆ สมัครแอร์วันเดียว นอกนั้น เที่ยว 555555 นอนสนามบินข้ามคืนก็เคย ซื้อตั๋วไม่มีน้ำหนักกระเป๋าจนต้องทิ้งเสื้อผ้าก็เคย จองตั๋วชื่อผิดก็เคย โอ้ยยยย โชคโชนมาก🤣😅😂
เชื่อมั้ย ?! เราสมัครแอร์ทั้งหมดประมาณ 25 ครั้ง ภายในเวลาประมาณ 2-3 ปี สมัครกะทะ ประมาณ 18 ครั้ง อิมิเรสประมาณ 3-4 ครั้ง คูเวต 1 ครั้ง
บินสมัคร สิงคโปร์ มาเล ภูเก็ต เชียงใหม่ ทุกเดือน โอ้ยย บินยิ่งกว่านก แถมเงินหมดอีกตะหาก 🤣ได้เพื่อนใหม่ๆเยอะแยะมากๆ เกาหลี เวียดนาม ออสเตรเลีย หลากหลาย
เมื่อก่อนทำข้อสอบ ต้องเขียนเรียงความเป็นภาษาอังกฤษเต็มหน้า 📝 ( เพื่อนที่สมัครแอร์รุ่นก่อนๆรู้กันดี ) เจ็บสุดก็ตกไฟนอลกะทะ ตอนนั้นเจ็บปวดเหลือเกิน รอมาสามสัปดาห์ได้อีเมลล์รีเกรท เจ็บใจมาก 😂😭คิดในใจ ไปต่อดิ รออะไร มาไกลเกินจะหยุดละ 🤗ด้านได้อายอด
และการตกไฟนอลกะทะแอร์เวย์ เป็นสาเหตุให้เราเก็บกระเป๋าไปอยู่ภูเก็ต
ตอนที่ตกไฟนอล เราก็กลับมามองตัวเอง เรายังมีอะไรไม่ดีพอ ถามแม่ ถามครูจ๊ะ (ครูสอนแอร์) ถามแค่คนที่เค้าหวังดีกับเราจริงๆเท่านั้น เพราะถ้าถามคำอื่น กลัวเค้าจะบอก มรึ๊งงงงง หยุดเถ๊อะะะ 🥶😂อาจจะจมดิ่งไปกับความคิดตัวเองได้ ดังนั้นเราเลยเลือก ขอความเห็นแค่จากคนที่เราคิดว่า เค้าจะติและให้กำลังใจเราได้ในเวลาเดียวกัน ❤️
และบอกตัวเองมาตลอดว่า i don’t give a shit about anybody that put me down
ช่วงนั้นเรียนจบคอร์สไพรเวทพอดี เพิ่งตกไฟนอลมา กะทะมาเปิดรับสมัครที่ภูเก็ต เราก็ตามไปสมัครอีก ก็ตกอีก 😅 บางทีก็ไม่เข้าใจ ความอดทนของตัวเองเหมือนกัน 🤣🤓
แต่....การไปภูเก็ตครั้งแรกทำให้เรารู้สึกชอบภูเก็ตมาก
วันนั้นกลับมากรุงเทพ เราก็บอกแม่ว่า อยากไปอยู่ภูเก็ต แม่ถามแล้วจะไปอยู่กับใครยังไง เราบอกยังไม่รู้ 🙄ไปก่อน บอกเหตุผลแม่ว่า จะต้องหางานสาย Service มาใส่ Resume เพื่อเป็นประโยชน์ในการสมัครแอร์ครั้งต่อไปให้ได้ แล้วแม่ก็เข้าใจ
สามวันต่อมาเก็บกระเป๋า ส่งขึ้นรถทัวร์ ส่วนตัวบินไปภูเก็ต บอกกับตัวเองว่า อาทิตย์แรก ต้องสมัครงานให้ได้
เราส่งเรซูเม่ สมัครงาน โรงแรม ร้านอาหาร ไป6-7 ที่ ภายในสี่ห้าวัน เรามาได้ผู้จัดการร้านอาหาร ซีฟู้ด กึ่ง ไทย-สิงคโปร์ เรารักงานมาก และทำงานหนักแบบสนุกมาก ตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง แบบไม่เบื่อเลย ดูแลพนักงานราวๆ 16-17 ชีวิต ดูแลมาตรฐานทุกอย่างในร้าน ดีลกับลูกค้าต่างชาติ และเห็นพัฒนาการหลายๆอย่างที่ร้านดีขึ้นตามลำดับ (ต้องบอกก่อนว่า ครอบครัวเราเคยมีร้านอาหาร เราเลยรู้ระบบการจัดการและการบริหาร) ทางร้านได้รับรีวิวจากลูกค้าที่ดี ครอบครัวเจ้าของร้านดีกับเรามากๆ และทุกวันก็ได้ออกไปวิ่งริมหาด ตอนเช้าๆ ได้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ริมทะเลวันหยุด มีความสุข แต่ก็ยังไม่ทิ้งการตามสมัครแอร์ กลับมาเอารถที่กรุงเทพ ขับกลับไปภูเก็ตคนเดียว เลเซอร์แผลเป็น ไฝ อ่านหนังสือหนักขึ้น และก็ยังตามบินสิงคโปร์ มาเล แบบไม่หยุดยั้ง✈️
แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เราตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์กับหนุ่มชาวออสซี่ เพราะด้วยงานที่เราแทบไม่มีเวลา ทะเลาะกันบ่อยขึ้น เราเลยขอเลือกงานและจบด้วยการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อิมิเรสเกิดปัญหาภายใน หยุดรับพนักงาน เราเลยไม่มีตัวเลือกอื่น แค่กะทะเท่านั้น และแล้วสุดท้ายก็ตกไฟนอลอีกครั้ง 😭🥴
เราทำงานได้ราวๆ หนึ่งปีที่ภูเก็ต วันนึงก็ตัดสินใจลาออกจากงาน ขอแม่ไปเรียนที่อังกฤษ เป็นคอร์สสั้น เกี่ยวกับ Business Development เพราะคิดว่าภาษาคือสิ่งที่เรายังไม่ดีพอ
เราเก็บกระเป๋ากลับบ้านที่กรุงเทพ ขับรถกลับมาคนเดียว แวะเที่ยวมาเรื่อยๆ พังงา กระบี่ สุราษ ชุมพร 😂 😅 เรื่องเที่ยวขอให้บอก 🤪
เราตั้งใจกลับมาเตรียมเอกสารการเดินทางต่างๆ ขอวีซ่า จ่ายค่าเรียน สุดท้ายมีเหตุให้เราไม่ได้ไปอังกฤษอีกครั้ง 😢
****การผิดหวังบ่อยๆทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้น เสียใจได้ ร้องไห้ได้ แต่ต้องเดินต่อ
****แม่มักปลอบเราเสมอว่า บางทีอาจมีอะไรที่ดีกว่ารอเราอยู่ ❤️และเราก็เก็บคำพูดของแม่มาปลอบเราทุกครั้งที่ผิดหวัง และไม่เคยเป็นทุกข์กับอะไรเลย
ตอนนั้นก็แย่มาก กดดันมาก พยายามมาก เราอยากทำให้แม่ภูมิใจ อยากเลี้ยงแม่ได้ อยากพาแม่เที่ยวรอบโลกแบบที่ตั้งใจ ท้อมาก กดดันตัวเองสุด😔😭
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากแม่ มาตลอดคือ ความคิด Positive แม่บอกตลอด อะไรที่มันจะเป็นของเรามันจะเป็นของเราเอง ถ้าเราพยายามแล้ว พัฒนาตัวเองแล้ว มันยังไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าวันข้างหน้าเราจะประสบความสมำเร็จไม่ได้
ปี 2017 ปลายปี เราไปรู้จักเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าแบรนด์หนึ่ง เป็นชาวอิมิเรส เป็นมุสลิมเหมือนกัน เสนอให้เราช่วยส่งผ้า ออกแบบจากเมืองไทย
ไปดูไบ และนี่คือเหตุผลที่เราได้ไปๆกลับๆดูไบ และคบหากับนักบินอิมิเรสที่เจอกันที่สิงคโปร์ (ต้องบอกอีกว่า เราเรียนแฟชั่นดีไซต์มา และเคยทำแบรนด์เชื่อผ้าตัวเองขายมาก่อน)
เราเริ่มเข้าไปคบค้าสมาคมกับกลุ่มนักบินมากขึ้น ได้ขี่มอไซต์ด้วยกัน hang out กับพวกเค้า เดินทางไปอตาลีด้วยกัน เข้าไปในกลุ่ม ฮ๊อกกี้ทีม ของอิมิเรส เราเห็นชีวิตพวกเขามากขึ้น กิจวัตรประจำวัน ครอบครัว ชีวิตการเป็นอยู่ เราภูมิใจทุกครั้งที่เห็นพวกเค้าใส่ยูนิฟอร์ม เรามีสังคมที่กว้างขึ้น
เราเริ่มมีความคิดว่า งั้นถ้าเราเป็นแอร์ และทำธุรกิจเพื่อเก็บเงินเรียนนักบินละ ? เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับ Student Pilot อีกครั้ง พร้อมๆ กับยังคงสมัครแอร์ตามเดิม
เราหาข้อมูลที่ที่เมืองไทย และต่างประเทศ ที่เมืองไทยมีข้อจำกัด ทั้งอายุ วุฒิการศึกษา หลักเกณฑ์การค้ำประกัน พี่ เพื่อน หลายคนบอกว่า ยากเอย เรียนที่เมืองไทยดีกว่าเมืองนอกเอย แกเรียนไม่ได้หรอกเอย 😓
เราก็ได้แต่ฟังผ่านๆ และหาข้อมูลไปเรื่อยๆ
จนวันนึง อิมิเรสไปเปิดรับที่ จากาตาร์ อินโดนีเซีย เราก็บินไปสมัคร ผู้สมัครหลายพันคน 2000-3000 คน หลากหลายเชื้อชาติ ในละแวกเอเชีย แม้แต่แถบอาหรับก็บินมาสมัครกันถึงที่นี่ ได้เจอเพื่อนใหม่มากมาย เราผ่านเข้าไฟนอล ไปแบบที่ค่อนข้างเตรียมตัวมาดี เหมือนทุกอย่างเป็นใจ มีคนไทยราวๆ 6 คนเข้าไฟนอลจากทั้งหมด 30 กว่าคน
กลับมาดูไบด้วยความหวังว่า จะผ่านไปแบบเรียบง่าย แต่ไม่จ้า ผ่านออนไลน์ไฟนอลไปแล้ว ก็รอ รอ รอ รอ คุณเอ๊ยยยยยย รอแล้วรอเล่า รอแบบเหงือกแห้งมากกกก 🥴😴
ปลายปี 2018 ช่วงนั้นเพิ่งกลับมาเมืองไทย ตัดสินใจ กรูส์รออะไรวะเนี่ย รอไปวันๆ เสียเวลามาก เราเริ่มมองหาตัวเลือกให้ตัวเอง ด้วยการไปสมัครงานเรือสำราญ กับบริษัทใหญ่ระดับโลกบริษัทหนึ่ง คิดในใจ เอาวะ ถ้าจะแค่อยากเที่ยว อยากเห็นโลกกว้าง อยากเก็บเงิน มันมีตัวเลือกอีกตั้งเยอะแยะ สามปีมานี่ ตอนนี้ต้องเริ่มขยับได้แล้ว อายุเริ่มเยอะขึ้น หมดเงินเก็บไปเยอะมาก กับการเดินทางตามล่าความฝัน จะต้องหาลิมิตให้ตัวเองแล้ว
สุดท้ายเราก็ได้งานมาแบบงง ๆ จนทางบริษัทเรียกเราไปเทรน เราเข้าเทรนจนจบครอส ที่นี่เป็นสัญญารายปี ทำงานบนเรือ ได้เที่ยวก็จริง แต่กลับบ้านไม่ได้เป็นปี ต้องรอครบสัญญา ทำให้เราคิดมากขึ้นกว่าเดิม 🤔ต้องคิดถึงแม่แน่ๆ
สุดท้ายก็ยังถามตัวเองว่า จะเอายังไงกับชีวิตดี ปรึกษาครู ปรึกษาแม่ คุยกับเพื่อนสนิท
****แม่ได้แต่ให้กำลังใจ และก็พูดคำเดิม อะไรที่มันเป็นของเรา มันจะเป็นของเราเอง เลือกอะไรก็ได้ที่หนูชอบ ท่าทางไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่ เหมือนเค้าก็รู้ว่าเราต้องเอาตัวรอดได้
ธันวาคม 2018 เป็นช่วงที่เราต้องตัดสินใจ และสับสนกับชีวิตตัวเองมาก จะรอผลอิมิเรส จะลงเรือดีมั้ย หรือจะเอาไงต่อ ?!?!😔 งงไปหมด
รู้สึกแย่ถ้าต้องทิ้งความฝันที่ตัวเองพยายามาคว้ามาตลอด มันเคว้งคว้าง บอกไม่ถูก 😥😰😶
วันดีคืนดีในเวลาไม่กี่อาทิตย์ เราจับผลัดจับผลูได้รู้จักกับชาวอเมริกัน ที่มาทำโปรเจ็คที่เมืองไทย เราได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็ค เค้าเรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์ และเสนอเงินเดือนที่มากกว่างานเรือสองเท่า เพื่อให้เราช่วยทำโปรเจ็ค และเซ็นสัญญาระยะสั้น
เราตัดสินใจคว้าไว้ เพราะหนึ่งเป็นสัญญาระยะสั้น เราอาจยังตามสมัครแอร์ได้ สอง คือ ถ้าเราไม่ชอบก็ยังเปลี่ยนใจได้
6 เดือนเต็ม เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ พบเจอคนใหม่ๆ สังคมนักบริหารและธุรกิจระดับสูงขึ้น เลยทำให้เรารู้สึกว่า เอ้ย !!! กรูส์ก็ทำอะไรได้มากกว่าการเป็นแอร์นี่หว่า ทั้งๆลืมไปแล้วว่าเราทำอะไรได้บ้าง ลืมมองอย่างอื่นที่เคยทำ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ 🤓
การทำ Consult ที่นี่ทำให้เราได้ออกเดินทาง
ทำงานให้บริษัทอเมริกากันทำให้เราต้องขอวีซ่าอเมริกาอีกครั้งนึง ครั้งนี้ไม่ใช่วีซ่านักเรียนแต่เป็น B1/B2 คือวีซ่าท่องเที่ยวและธุรกิจ
และใช่ค่ะ ก็เป็นไปอย่างที่หวาดระแวงไว้ อิชั้นโดนปฏิเสธวีซ่าอีกแล้ว เดินมาด้วยความคอตก ว่าเห้ยยย ทำไมแค่จะไปประชุมมันจะยากอะไรขนาดน้านนนนนนนน
จนทำให้บริษัทต้องเดินเรื่องเอกสารขอวีซ่าให้เราซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ และไม่รุ้จะผ่านมั้ย และสุดท้ายก็ได้มา
นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราต้องเดินทางไปปานามา และใกล้อเมริกามากที่สุด ทำงานง่ายขึ้น แถมมีโปรเจ็คที่นี่ด้วย เราเริ่มเรียนภาษาสเปน เพราะคนที่นั่นไม่พูดภาษาอังกฤษ 🤪ไม่เรียนไม่ได้ สั่งข้าวกินไม่ได้😂อดตายแน่ๆ
2019 เราเริ่มหาข้อมูลประเทศปานามา การเดินทาง ชีวิตการเป็นอยู่ สถานที่เที่ยว ที่ดำน้ำ(เราเป็นนักดำน้ำ Scuba diver ) และเริ่มถอดใจกับการสมัครแอร์ เพราะสนุกกับทางแยกของถนนเส้นทางสายใหม่ ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ดูเหมือนมันน่าตื่นเต้น และไม่ร็ว่าเค้าจะพาเราไปเจอประสบการณ์อะไรบ้าง
เราเดินทางจากกรุงเทพ บินสู่แฟรงเฟิร์ท เยอรมัน และเปลี่ยนไฟล์ทมาที่ปานามา เวลาเดินทาง ราวๆ 28 ชั่วโมงรวมเปลี่ยนเครื่อง ✈️
และแล้ว ชีวิตนักเรียนนักบิน ที่ไม่ราบรื่น ก็เริ่มขึ้นที่นี่
…….
โอ้ยยย ย้อนกลับไปดูพิมพ์มายาวมากแล้วจ้าาาา 😅🤣
ตอนนี้เวลา 17:49 ตามเวลาฟลอริด้า
ขอตัวไปเล่นเทนนิสก่อน เดี๋ยวมาต่อ EP ต่อไปพรุ่งนี้นะค่ะ 🤸🏽♂️⛹🏽♀️
พิมพ์นานๆ ป้าตายลาย 55555
ตอนนี้ที่ไทยคงเช้าแล้ว have a great day นะค่ะ ทุกคน
Stay safe stay strong ขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโคขวิด
ขอบคุณที่ตามอ่านเรื่องไร้สาระ ที่หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้ใครบางคนได้บ้าง
แล้วอย่าลืมม ใครอ่านมาถึงตรงนี้ ขออิโมจิ๊ คนละหนึ่งตัวเด้อ 💩👻😽🤟🏽💋
ใกล้จะจบละ เดี๋ยวขอคิดก่อนว่าจะทำอะไรต่อไป 😂
เรียนนักบินที่อเมริกา #ชีวิตที่อเมริกา
รักทางไกล ✈️ ไทย ออสเตรเลีย
ตอนนั้นทุกวันต้องเดินทางจากบ้านที่อ่อนนุชมาเรียนคอร์สแอร์ที่สุขุมวิท วันหนึ่งก็ไปพบรักกับหนุ่มตาน้ำข้าวชาวออสซี่ 👱🏼♂️👩🏾นางมา vacation ที่เมืองไทย และนางเรียน ป.โท อยู่ที่ออสเตรเลีย และเราต้องสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษตลอดทำให้เรามีเหตุผลในการฝึกภาษาเพิ่มขึ้น เพราะเราต้องคุยกันทางโทรศัพท์ และสื่อสารกันผ่านการส่งข้อความ ทำให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น ได้ฟังสำเนียง พร้อมๆกับการเรียนรู้ และค้นคว้า อ่านหนังสือ เพิ่มเติมไปด้วย เราสลับกันไปมา หากัน ไทย ออสเตรเลีย
ภาษาเราเริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่เคยหยุดเรียนรู้ เราเริ่มเดินสายสมัครแอร์ ต่างประเทศ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย แทบทุกเดือน บางเดือน เดือนละ สองครั้ง มีแม่และนางให้กำลังใจตลอด
***เราเคยได้ยินมาว่า อย่ารอให้ตัวเองพร้อม เพราะเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เราจะพร้อม ดังนั้น เริ่มเลย และเรียนรู้พัฒนาจากประสบการณ์จริง เรียนรู้จากความผิดพลาดมาแก้ไข พัฒนาตัวเองต่อไป
เราเริ่มด้วยภาษาที่ผิดๆถูกๆ ท่องจำ ตามตำรา ไปแบบเบลอๆ นี่แหละ 😂
สายแรกที่เราสมัคร คือ กะทะแอร์เวย์ ที่มาเลเซีย ครั้งที่สองอิมิเรสที่สิงคโปร์ เราผ่านเข้ากรุ๊ปสอง ไปตกม้าตาย เพราะภาษาเราไม่ได้พอที่จะโต้เถียงนอกเหนือจากสิ่งที่เราเตรียมมาได้
แต่ก็ไม่เคยหยุดสมัคร 😅เรียนไปด้วย ตามสมัครไปด้วย เที่ยวด้วย โอ้ยย ตอนนั้นสนุกมาก ไปอยู่มาเลเป็นเดือนๆ สมัครแอร์วันเดียว นอกนั้น เที่ยว 555555 นอนสนามบินข้ามคืนก็เคย ซื้อตั๋วไม่มีน้ำหนักกระเป๋าจนต้องทิ้งเสื้อผ้าก็เคย จองตั๋วชื่อผิดก็เคย โอ้ยยยย โชคโชนมาก🤣😅😂
เชื่อมั้ย ?! เราสมัครแอร์ทั้งหมดประมาณ 25 ครั้ง ภายในเวลาประมาณ 2-3 ปี สมัครกะทะ ประมาณ 18 ครั้ง อิมิเรสประมาณ 3-4 ครั้ง คูเวต 1 ครั้ง
บินสมัคร สิงคโปร์ มาเล ภูเก็ต เชียงใหม่ ทุกเดือน โอ้ยย บินยิ่งกว่านก แถมเงินหมดอีกตะหาก 🤣ได้เพื่อนใหม่ๆเยอะแยะมากๆ เกาหลี เวียดนาม ออสเตรเลีย หลากหลาย
เมื่อก่อนทำข้อสอบ ต้องเขียนเรียงความเป็นภาษาอังกฤษเต็มหน้า 📝 ( เพื่อนที่สมัครแอร์รุ่นก่อนๆรู้กันดี ) เจ็บสุดก็ตกไฟนอลกะทะ ตอนนั้นเจ็บปวดเหลือเกิน รอมาสามสัปดาห์ได้อีเมลล์รีเกรท เจ็บใจมาก 😂😭คิดในใจ ไปต่อดิ รออะไร มาไกลเกินจะหยุดละ 🤗ด้านได้อายอด
และการตกไฟนอลกะทะแอร์เวย์ เป็นสาเหตุให้เราเก็บกระเป๋าไปอยู่ภูเก็ต
ตอนที่ตกไฟนอล เราก็กลับมามองตัวเอง เรายังมีอะไรไม่ดีพอ ถามแม่ ถามครูจ๊ะ (ครูสอนแอร์) ถามแค่คนที่เค้าหวังดีกับเราจริงๆเท่านั้น เพราะถ้าถามคำอื่น กลัวเค้าจะบอก มรึ๊งงงงง หยุดเถ๊อะะะ 🥶😂อาจจะจมดิ่งไปกับความคิดตัวเองได้ ดังนั้นเราเลยเลือก ขอความเห็นแค่จากคนที่เราคิดว่า เค้าจะติและให้กำลังใจเราได้ในเวลาเดียวกัน ❤️
และบอกตัวเองมาตลอดว่า i don’t give a shit about anybody that put me down
ช่วงนั้นเรียนจบคอร์สไพรเวทพอดี เพิ่งตกไฟนอลมา กะทะมาเปิดรับสมัครที่ภูเก็ต เราก็ตามไปสมัครอีก ก็ตกอีก 😅 บางทีก็ไม่เข้าใจ ความอดทนของตัวเองเหมือนกัน 🤣🤓
แต่....การไปภูเก็ตครั้งแรกทำให้เรารู้สึกชอบภูเก็ตมาก
วันนั้นกลับมากรุงเทพ เราก็บอกแม่ว่า อยากไปอยู่ภูเก็ต แม่ถามแล้วจะไปอยู่กับใครยังไง เราบอกยังไม่รู้ 🙄ไปก่อน บอกเหตุผลแม่ว่า จะต้องหางานสาย Service มาใส่ Resume เพื่อเป็นประโยชน์ในการสมัครแอร์ครั้งต่อไปให้ได้ แล้วแม่ก็เข้าใจ
สามวันต่อมาเก็บกระเป๋า ส่งขึ้นรถทัวร์ ส่วนตัวบินไปภูเก็ต บอกกับตัวเองว่า อาทิตย์แรก ต้องสมัครงานให้ได้
เราส่งเรซูเม่ สมัครงาน โรงแรม ร้านอาหาร ไป6-7 ที่ ภายในสี่ห้าวัน เรามาได้ผู้จัดการร้านอาหาร ซีฟู้ด กึ่ง ไทย-สิงคโปร์ เรารักงานมาก และทำงานหนักแบบสนุกมาก ตั้งแต่ 11 โมงเช้าถึงเที่ยงคืนตีหนึ่ง แบบไม่เบื่อเลย ดูแลพนักงานราวๆ 16-17 ชีวิต ดูแลมาตรฐานทุกอย่างในร้าน ดีลกับลูกค้าต่างชาติ และเห็นพัฒนาการหลายๆอย่างที่ร้านดีขึ้นตามลำดับ (ต้องบอกก่อนว่า ครอบครัวเราเคยมีร้านอาหาร เราเลยรู้ระบบการจัดการและการบริหาร) ทางร้านได้รับรีวิวจากลูกค้าที่ดี ครอบครัวเจ้าของร้านดีกับเรามากๆ และทุกวันก็ได้ออกไปวิ่งริมหาด ตอนเช้าๆ ได้อ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ริมทะเลวันหยุด มีความสุข แต่ก็ยังไม่ทิ้งการตามสมัครแอร์ กลับมาเอารถที่กรุงเทพ ขับกลับไปภูเก็ตคนเดียว เลเซอร์แผลเป็น ไฝ อ่านหนังสือหนักขึ้น และก็ยังตามบินสิงคโปร์ มาเล แบบไม่หยุดยั้ง✈️
แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เราตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์กับหนุ่มชาวออสซี่ เพราะด้วยงานที่เราแทบไม่มีเวลา ทะเลาะกันบ่อยขึ้น เราเลยขอเลือกงานและจบด้วยการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่อิมิเรสเกิดปัญหาภายใน หยุดรับพนักงาน เราเลยไม่มีตัวเลือกอื่น แค่กะทะเท่านั้น และแล้วสุดท้ายก็ตกไฟนอลอีกครั้ง 😭🥴
เราทำงานได้ราวๆ หนึ่งปีที่ภูเก็ต วันนึงก็ตัดสินใจลาออกจากงาน ขอแม่ไปเรียนที่อังกฤษ เป็นคอร์สสั้น เกี่ยวกับ Business Development เพราะคิดว่าภาษาคือสิ่งที่เรายังไม่ดีพอ
เราเก็บกระเป๋ากลับบ้านที่กรุงเทพ ขับรถกลับมาคนเดียว แวะเที่ยวมาเรื่อยๆ พังงา กระบี่ สุราษ ชุมพร 😂 😅 เรื่องเที่ยวขอให้บอก 🤪
เราตั้งใจกลับมาเตรียมเอกสารการเดินทางต่างๆ ขอวีซ่า จ่ายค่าเรียน สุดท้ายมีเหตุให้เราไม่ได้ไปอังกฤษอีกครั้ง 😢
****การผิดหวังบ่อยๆทำให้เรามีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้น เสียใจได้ ร้องไห้ได้ แต่ต้องเดินต่อ
****แม่มักปลอบเราเสมอว่า บางทีอาจมีอะไรที่ดีกว่ารอเราอยู่ ❤️และเราก็เก็บคำพูดของแม่มาปลอบเราทุกครั้งที่ผิดหวัง และไม่เคยเป็นทุกข์กับอะไรเลย
ตอนนั้นก็แย่มาก กดดันมาก พยายามมาก เราอยากทำให้แม่ภูมิใจ อยากเลี้ยงแม่ได้ อยากพาแม่เที่ยวรอบโลกแบบที่ตั้งใจ ท้อมาก กดดันตัวเองสุด😔😭
แต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากแม่ มาตลอดคือ ความคิด Positive แม่บอกตลอด อะไรที่มันจะเป็นของเรามันจะเป็นของเราเอง ถ้าเราพยายามแล้ว พัฒนาตัวเองแล้ว มันยังไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าวันข้างหน้าเราจะประสบความสมำเร็จไม่ได้
ปี 2017 ปลายปี เราไปรู้จักเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าแบรนด์หนึ่ง เป็นชาวอิมิเรส เป็นมุสลิมเหมือนกัน เสนอให้เราช่วยส่งผ้า ออกแบบจากเมืองไทย
ไปดูไบ และนี่คือเหตุผลที่เราได้ไปๆกลับๆดูไบ และคบหากับนักบินอิมิเรสที่เจอกันที่สิงคโปร์ (ต้องบอกอีกว่า เราเรียนแฟชั่นดีไซต์มา และเคยทำแบรนด์เชื่อผ้าตัวเองขายมาก่อน)
เราเริ่มเข้าไปคบค้าสมาคมกับกลุ่มนักบินมากขึ้น ได้ขี่มอไซต์ด้วยกัน hang out กับพวกเค้า เดินทางไปอตาลีด้วยกัน เข้าไปในกลุ่ม ฮ๊อกกี้ทีม ของอิมิเรส เราเห็นชีวิตพวกเขามากขึ้น กิจวัตรประจำวัน ครอบครัว ชีวิตการเป็นอยู่ เราภูมิใจทุกครั้งที่เห็นพวกเค้าใส่ยูนิฟอร์ม เรามีสังคมที่กว้างขึ้น
เราเริ่มมีความคิดว่า งั้นถ้าเราเป็นแอร์ และทำธุรกิจเพื่อเก็บเงินเรียนนักบินละ ? เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับ Student Pilot อีกครั้ง พร้อมๆ กับยังคงสมัครแอร์ตามเดิม
เราหาข้อมูลที่ที่เมืองไทย และต่างประเทศ ที่เมืองไทยมีข้อจำกัด ทั้งอายุ วุฒิการศึกษา หลักเกณฑ์การค้ำประกัน พี่ เพื่อน หลายคนบอกว่า ยากเอย เรียนที่เมืองไทยดีกว่าเมืองนอกเอย แกเรียนไม่ได้หรอกเอย 😓
เราก็ได้แต่ฟังผ่านๆ และหาข้อมูลไปเรื่อยๆ
จนวันนึง อิมิเรสไปเปิดรับที่ จากาตาร์ อินโดนีเซีย เราก็บินไปสมัคร ผู้สมัครหลายพันคน 2000-3000 คน หลากหลายเชื้อชาติ ในละแวกเอเชีย แม้แต่แถบอาหรับก็บินมาสมัครกันถึงที่นี่ ได้เจอเพื่อนใหม่มากมาย เราผ่านเข้าไฟนอล ไปแบบที่ค่อนข้างเตรียมตัวมาดี เหมือนทุกอย่างเป็นใจ มีคนไทยราวๆ 6 คนเข้าไฟนอลจากทั้งหมด 30 กว่าคน
กลับมาดูไบด้วยความหวังว่า จะผ่านไปแบบเรียบง่าย แต่ไม่จ้า ผ่านออนไลน์ไฟนอลไปแล้ว ก็รอ รอ รอ รอ คุณเอ๊ยยยยยย รอแล้วรอเล่า รอแบบเหงือกแห้งมากกกก 🥴😴
ปลายปี 2018 ช่วงนั้นเพิ่งกลับมาเมืองไทย ตัดสินใจ กรูส์รออะไรวะเนี่ย รอไปวันๆ เสียเวลามาก เราเริ่มมองหาตัวเลือกให้ตัวเอง ด้วยการไปสมัครงานเรือสำราญ กับบริษัทใหญ่ระดับโลกบริษัทหนึ่ง คิดในใจ เอาวะ ถ้าจะแค่อยากเที่ยว อยากเห็นโลกกว้าง อยากเก็บเงิน มันมีตัวเลือกอีกตั้งเยอะแยะ สามปีมานี่ ตอนนี้ต้องเริ่มขยับได้แล้ว อายุเริ่มเยอะขึ้น หมดเงินเก็บไปเยอะมาก กับการเดินทางตามล่าความฝัน จะต้องหาลิมิตให้ตัวเองแล้ว
สุดท้ายเราก็ได้งานมาแบบงง ๆ จนทางบริษัทเรียกเราไปเทรน เราเข้าเทรนจนจบครอส ที่นี่เป็นสัญญารายปี ทำงานบนเรือ ได้เที่ยวก็จริง แต่กลับบ้านไม่ได้เป็นปี ต้องรอครบสัญญา ทำให้เราคิดมากขึ้นกว่าเดิม 🤔ต้องคิดถึงแม่แน่ๆ
สุดท้ายก็ยังถามตัวเองว่า จะเอายังไงกับชีวิตดี ปรึกษาครู ปรึกษาแม่ คุยกับเพื่อนสนิท
****แม่ได้แต่ให้กำลังใจ และก็พูดคำเดิม อะไรที่มันเป็นของเรา มันจะเป็นของเราเอง เลือกอะไรก็ได้ที่หนูชอบ ท่าทางไม่ได้กังวลอะไรเท่าไหร่ เหมือนเค้าก็รู้ว่าเราต้องเอาตัวรอดได้
ธันวาคม 2018 เป็นช่วงที่เราต้องตัดสินใจ และสับสนกับชีวิตตัวเองมาก จะรอผลอิมิเรส จะลงเรือดีมั้ย หรือจะเอาไงต่อ ?!?!😔 งงไปหมด
รู้สึกแย่ถ้าต้องทิ้งความฝันที่ตัวเองพยายามาคว้ามาตลอด มันเคว้งคว้าง บอกไม่ถูก 😥😰😶
วันดีคืนดีในเวลาไม่กี่อาทิตย์ เราจับผลัดจับผลูได้รู้จักกับชาวอเมริกัน ที่มาทำโปรเจ็คที่เมืองไทย เราได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็ค เค้าเรียกเราเข้าไปสัมภาษณ์ และเสนอเงินเดือนที่มากกว่างานเรือสองเท่า เพื่อให้เราช่วยทำโปรเจ็ค และเซ็นสัญญาระยะสั้น
เราตัดสินใจคว้าไว้ เพราะหนึ่งเป็นสัญญาระยะสั้น เราอาจยังตามสมัครแอร์ได้ สอง คือ ถ้าเราไม่ชอบก็ยังเปลี่ยนใจได้
6 เดือนเต็ม เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ พบเจอคนใหม่ๆ สังคมนักบริหารและธุรกิจระดับสูงขึ้น เลยทำให้เรารู้สึกว่า เอ้ย !!! กรูส์ก็ทำอะไรได้มากกว่าการเป็นแอร์นี่หว่า ทั้งๆลืมไปแล้วว่าเราทำอะไรได้บ้าง ลืมมองอย่างอื่นที่เคยทำ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ 🤓
การทำ Consult ที่นี่ทำให้เราได้ออกเดินทาง
ทำงานให้บริษัทอเมริกากันทำให้เราต้องขอวีซ่าอเมริกาอีกครั้งนึง ครั้งนี้ไม่ใช่วีซ่านักเรียนแต่เป็น B1/B2 คือวีซ่าท่องเที่ยวและธุรกิจ
และใช่ค่ะ ก็เป็นไปอย่างที่หวาดระแวงไว้ อิชั้นโดนปฏิเสธวีซ่าอีกแล้ว เดินมาด้วยความคอตก ว่าเห้ยยย ทำไมแค่จะไปประชุมมันจะยากอะไรขนาดน้านนนนนนนน
จนทำให้บริษัทต้องเดินเรื่องเอกสารขอวีซ่าให้เราซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ และไม่รุ้จะผ่านมั้ย และสุดท้ายก็ได้มา
นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราต้องเดินทางไปปานามา และใกล้อเมริกามากที่สุด ทำงานง่ายขึ้น แถมมีโปรเจ็คที่นี่ด้วย เราเริ่มเรียนภาษาสเปน เพราะคนที่นั่นไม่พูดภาษาอังกฤษ 🤪ไม่เรียนไม่ได้ สั่งข้าวกินไม่ได้😂อดตายแน่ๆ
2019 เราเริ่มหาข้อมูลประเทศปานามา การเดินทาง ชีวิตการเป็นอยู่ สถานที่เที่ยว ที่ดำน้ำ(เราเป็นนักดำน้ำ Scuba diver ) และเริ่มถอดใจกับการสมัครแอร์ เพราะสนุกกับทางแยกของถนนเส้นทางสายใหม่ ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ดูเหมือนมันน่าตื่นเต้น และไม่ร็ว่าเค้าจะพาเราไปเจอประสบการณ์อะไรบ้าง
เราเดินทางจากกรุงเทพ บินสู่แฟรงเฟิร์ท เยอรมัน และเปลี่ยนไฟล์ทมาที่ปานามา เวลาเดินทาง ราวๆ 28 ชั่วโมงรวมเปลี่ยนเครื่อง ✈️
และแล้ว ชีวิตนักเรียนนักบิน ที่ไม่ราบรื่น ก็เริ่มขึ้นที่นี่
…….
โอ้ยยย ย้อนกลับไปดูพิมพ์มายาวมากแล้วจ้าาาา 😅🤣
ตอนนี้เวลา 17:49 ตามเวลาฟลอริด้า
ขอตัวไปเล่นเทนนิสก่อน เดี๋ยวมาต่อ EP ต่อไปพรุ่งนี้นะค่ะ 🤸🏽♂️⛹🏽♀️
พิมพ์นานๆ ป้าตายลาย 55555
ตอนนี้ที่ไทยคงเช้าแล้ว have a great day นะค่ะ ทุกคน
Stay safe stay strong ขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโคขวิด
ขอบคุณที่ตามอ่านเรื่องไร้สาระ ที่หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้ใครบางคนได้บ้าง
แล้วอย่าลืมม ใครอ่านมาถึงตรงนี้ ขออิโมจิ๊ คนละหนึ่งตัวเด้อ 💩👻😽🤟🏽💋
ใกล้จะจบละ เดี๋ยวขอคิดก่อนว่าจะทำอะไรต่อไป 😂