สวัสดีค่ะ เจ้าของกระทู้มีพี่ชาย 2 คน เมื่อ10ปีที่แล้วคุณพ่อกับคุณแม่เแยกทางกัน ต่างฝ่ายต่างแต่งงานใหม่ ตัวเจ้าของกระทู้อาศัยอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง
พี่ชายคนโตและพ่อ(เลี้ยง)ทะเลาะกัน พี่ชายกลับมาอยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนไวรัสโควิดระบาด เพราะตรวจเจอนิ่วในไต ทำให้สมัครงานไม่ได้ ตรวจโรคไม่ผ่าน ก่อนหน้านี้คุณพ่อคุณแม่อยู่กันสองคน พี่ชายมีแพลนจะกลับไปหาแฟนสิ้นเดือนนี้ แต่ยังไม่ถึงสิ้นเดือนมามีเรื่องก่อน ตั้งแต่กลับมาพี่ชายเล่นเกมส์ทุกวัน ไม่ทำงาน ดูเหมือนมันจะเป็นปัญหาเล็กๆ แต่มันสะสม จนทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะพี่ไม่ทำอะไร ทะเลาะหนักถึงขนาดที่จะฆ่ากันได้เลย
พี่ชายให้คุณแม่ให้ไปอยู่ที่บ้านของพี่ชายคนเล็ก และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้
ห้ามคุณแม่กลับไปที่บ้านอีกเด็ดขาด!!! ไม่อย่างนั้นจะอาละวาดและตามราวี แต่คุณแม่ไม่ยอม คุณแม่กับพี่สะใภ้ไม่ได้ทะเลาะหรือเกลียดกันนะคะ แค่ท่านอยู่แล้วไม่สบายใจ พี่ชายเลยคุณแม่อยู่บ้านน้าชั่วคราว คุณแม่ยอมเพื่อให้คนสองคนใจเย็นลง พี่ชายยื่นข้อเสนอว่าจะเช่าบ้านหลังเล็กๆให้คุณแม่อยู่ และรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
เจ้าของกระทู้กับคุณแม่ไม่เห็นด้วย สาเหตุคือตอนนี้พี่ชายไม่มีงานทำ และหลายครั้งที่ทำงานมักไม่ค่อยมั่นคง ทำได้ไม่นานก็เปลี่ยนงานใหม่
ตอนนี้คุณแม่ท่านไม่ได้ทำงาน มีแค่ทำสวนเล็กๆ รายได้หลักๆมาจากเจ้าของกระทู้และลูกสาวของพ่อเลี้ยงค่ะ พี่ชายคนโตส่งบ้างบางครั้ง แต่ช่วงโควิดนี้เจ้าของกระทู้ไม่ได้ทำงาน กลายเป็นว่าตอนนี้พี่สาวรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านคนเดียว ปีที่แล้วคุณพ่อต้องตัดขาเพราะนิโคตินส่งผลกระทบต่อไขมันในเลือดทำให้หลอดเลือดแข็งตัว เลือดไม่ไหลเวียน ตัดขึ้นมาสูงเลยเข่า คุณแม่ห่วงคุณพ่อมากค่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้ทำขาเทียม เพราะขาเทียมเหนือเข่าราคาสูงมาก ทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน คุณแม่ต้องคอยดูแล ส่วนพี่ชาย คุณแม่ยิ่งห่วงใหญ่เลย เพราะอารมณ์ร้อน จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ ประนีประนอมกันไม่ได้เลย พี่ชายไม่ฟังใคร
- เจ้าของกระทู้เสนอให้คุณแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน และแจ้งเรื่องกับผู้ใหญ่บ้านไว้ แต่คุณแม่ไม่ยอม เพราะถ้าผู้ใหญ่บ้านเอาไม่อยู่ก็ต้องแจ้งตำรวจ มันจะเป็นเหมือนแจ้งความจับลูกตัวเอง เมื่อเดือนกุมภาพี่ชายนั่งรถทัวร์มาอยุธยา ระหว่างทางตำรวจขอตรวจฉี่และถูกจับเพราะฉี่เป็นสีม่วง แต่ประกันตัวออกมาได้ นี่คือสาเหตุที่คุณแม่ห่วงพี่ชายไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจและบานปลายมากกว่านี้
- คุณแม่จะไปอยู่ต่างจังหวัดกับญาติสักพัก รอจนกว่าพี่ชายจะกลับไปหาแฟน ถึงจะกลับมาบ้าน แต่เจ้าของกระทู้มองว่ามันไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะถ้าคุณแม่กลับมาบ้านปัญหานี้มันก็ยังคงมีอยู่ ไม่จบไม่สิ้น ส่วนพี่ชายก็ไม่ยอมไปหาแฟนจนกว่าจะมั่นใจว่าคุณแม่จะไม่กลับบ้านจริงๆ
- มีรุ่นพี่เสนอทางออกคือแจ้งกรมพัฒนาสังคมและนำตัวพี่ชายไปบำบัด แต่ค่อนข้างทำได้ยากเพราะพูดดีๆคงไม่ฟังกัน คำถามคือควรจะทำอย่างไร มีทางออกอื่นอีกไหมให้มันซอร์ฟที่สุด
คุณแม่เริ่มเข้าสู่วัยทอง ท่านคิดมาก ขอแท็กห้องสุขภาพจิตในผู้สูงอายุนะคะ
ป.ล.แก้ไขคำผิด
พี่ชายและพ่อเลี้ยงทะเลาะกัน พี่ชายสั่งห้ามคุณแม่กลับบ้านเด็ดขาด
พี่ชายคนโตและพ่อ(เลี้ยง)ทะเลาะกัน พี่ชายกลับมาอยู่ที่บ้านตั้งแต่ก่อนไวรัสโควิดระบาด เพราะตรวจเจอนิ่วในไต ทำให้สมัครงานไม่ได้ ตรวจโรคไม่ผ่าน ก่อนหน้านี้คุณพ่อคุณแม่อยู่กันสองคน พี่ชายมีแพลนจะกลับไปหาแฟนสิ้นเดือนนี้ แต่ยังไม่ถึงสิ้นเดือนมามีเรื่องก่อน ตั้งแต่กลับมาพี่ชายเล่นเกมส์ทุกวัน ไม่ทำงาน ดูเหมือนมันจะเป็นปัญหาเล็กๆ แต่มันสะสม จนทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะพี่ไม่ทำอะไร ทะเลาะหนักถึงขนาดที่จะฆ่ากันได้เลย
พี่ชายให้คุณแม่ให้ไปอยู่ที่บ้านของพี่ชายคนเล็ก และจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ ห้ามคุณแม่กลับไปที่บ้านอีกเด็ดขาด!!! ไม่อย่างนั้นจะอาละวาดและตามราวี แต่คุณแม่ไม่ยอม คุณแม่กับพี่สะใภ้ไม่ได้ทะเลาะหรือเกลียดกันนะคะ แค่ท่านอยู่แล้วไม่สบายใจ พี่ชายเลยคุณแม่อยู่บ้านน้าชั่วคราว คุณแม่ยอมเพื่อให้คนสองคนใจเย็นลง พี่ชายยื่นข้อเสนอว่าจะเช่าบ้านหลังเล็กๆให้คุณแม่อยู่ และรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เจ้าของกระทู้กับคุณแม่ไม่เห็นด้วย สาเหตุคือตอนนี้พี่ชายไม่มีงานทำ และหลายครั้งที่ทำงานมักไม่ค่อยมั่นคง ทำได้ไม่นานก็เปลี่ยนงานใหม่
ตอนนี้คุณแม่ท่านไม่ได้ทำงาน มีแค่ทำสวนเล็กๆ รายได้หลักๆมาจากเจ้าของกระทู้และลูกสาวของพ่อเลี้ยงค่ะ พี่ชายคนโตส่งบ้างบางครั้ง แต่ช่วงโควิดนี้เจ้าของกระทู้ไม่ได้ทำงาน กลายเป็นว่าตอนนี้พี่สาวรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านคนเดียว ปีที่แล้วคุณพ่อต้องตัดขาเพราะนิโคตินส่งผลกระทบต่อไขมันในเลือดทำให้หลอดเลือดแข็งตัว เลือดไม่ไหลเวียน ตัดขึ้นมาสูงเลยเข่า คุณแม่ห่วงคุณพ่อมากค่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้ทำขาเทียม เพราะขาเทียมเหนือเข่าราคาสูงมาก ทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน คุณแม่ต้องคอยดูแล ส่วนพี่ชาย คุณแม่ยิ่งห่วงใหญ่เลย เพราะอารมณ์ร้อน จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ ประนีประนอมกันไม่ได้เลย พี่ชายไม่ฟังใคร
- เจ้าของกระทู้เสนอให้คุณแม่กลับไปอยู่ที่บ้าน และแจ้งเรื่องกับผู้ใหญ่บ้านไว้ แต่คุณแม่ไม่ยอม เพราะถ้าผู้ใหญ่บ้านเอาไม่อยู่ก็ต้องแจ้งตำรวจ มันจะเป็นเหมือนแจ้งความจับลูกตัวเอง เมื่อเดือนกุมภาพี่ชายนั่งรถทัวร์มาอยุธยา ระหว่างทางตำรวจขอตรวจฉี่และถูกจับเพราะฉี่เป็นสีม่วง แต่ประกันตัวออกมาได้ นี่คือสาเหตุที่คุณแม่ห่วงพี่ชายไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจและบานปลายมากกว่านี้
- คุณแม่จะไปอยู่ต่างจังหวัดกับญาติสักพัก รอจนกว่าพี่ชายจะกลับไปหาแฟน ถึงจะกลับมาบ้าน แต่เจ้าของกระทู้มองว่ามันไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะถ้าคุณแม่กลับมาบ้านปัญหานี้มันก็ยังคงมีอยู่ ไม่จบไม่สิ้น ส่วนพี่ชายก็ไม่ยอมไปหาแฟนจนกว่าจะมั่นใจว่าคุณแม่จะไม่กลับบ้านจริงๆ
- มีรุ่นพี่เสนอทางออกคือแจ้งกรมพัฒนาสังคมและนำตัวพี่ชายไปบำบัด แต่ค่อนข้างทำได้ยากเพราะพูดดีๆคงไม่ฟังกัน คำถามคือควรจะทำอย่างไร มีทางออกอื่นอีกไหมให้มันซอร์ฟที่สุด
คุณแม่เริ่มเข้าสู่วัยทอง ท่านคิดมาก ขอแท็กห้องสุขภาพจิตในผู้สูงอายุนะคะ
ป.ล.แก้ไขคำผิด