สาธยายวิพากษ์ "สามก๊ก" แต่ละเวอร์ชั่นที่ออกฉาย (อาจมีสปอยล์บางส่วนของซีรีส์ใหม่ๆ ที่ไม่ใช่เนื้อหาสำคัญ)

เรื่องงานประพันธ์ "สามก๊ก" ทั้งหมด ฉบับวรรณกรรม เป็นเวอร์ชั่นที่นำเสนอได้ตรงที่สุด ในเรื่องของวัฒนธรรม จารีต วิถีชีวิต เพราะเขียนขึ้นโดยคนยุคโบราณ ฉะนั้นถ้าจะเกิดมโนภาพที่ถูก ก็ต้องมาจากการอ่านวรรณกรรมไม่ใช่จากการแสดงทางทีวี

แต่ตรงนี้ผมจะมาแจงความแตกต่างในแต่ละเวอร์ชั่นของสามก๊กหน้าจอทีวีว่า มันมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง และวัฒนธรรม ค่านิยมแนวคิดอะไรต่างๆที่ถูกใส่ลงไป แล้วก็ในด้านเนื้อหานั้นอันไหนผ่าน ? อันไหนไม่ใช่สามก๊ก ?




ซีรีส์สามก๊ก เวอร์ชั่น 1994  
การแต่งกายและวัฒนธรรมต่างๆ ค่อนข้างตรงตามประวัติศาสตร์ ผู้ชายไว้เครายาว ยิ่งเครายาวยิ่งสง่ายิ่งแมน แต่เรื่องลีลาการแสดงอาจแอคติ้งสีหน้ามากไปหน่อย คือหนังจีนรุ่นเก่าจะได้รับอิทธิพลจากอินเดียสูง

เรื่องการเลือกตัวละครมันก็มีข้อจำกัดในสมัยนั้น นักแสดงก็ไม่มีให้เลือกมากนัก บางทีก็เปลี่ยนตัวนักแสดงแบบไม่ค่อยแทนกันได้ หรือเลือกไม่เหมาะกับบุคลิกตามในหนังสือ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจุดอ่อนของเวอร์ชั่นแรกนี้

โจโฉนี่บางครั้งกลายเป็นตัวตลกดูโง่ไปเลยโดยเฉพาะตอนพ่ายแพ้จากศึกผาแดง

เล่าปี่ก็มาดไม่นิ่งต่างจากในหนังสือ ดูดร็อปลงไป ดูทึ่มๆกลายเป็นลิเกเจ้าน้ำตาไปเลย ส่วนซุนกวนก็หน้าแก่เหลือเกิน ดูเป็นรุ่นพ่อโจโฉกับเล่าปี่ ทั้งที่วัยแค่รุ่นลูก

แต่ผมถือว่า 1994 เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ถึงจะออกงิ้วและออกหนังอินเดียมากไปหน่อย แต่มันยังมีแนวคิดของคนโบราณอยู่จริงๆ เนื้อหาก็หยิบจากวรรณกรรมมาเยอะสุด ปรับแต่งเนื้อหาใหม่ส่วนนึงไม่เยอะมาก

โดยสรุปถือว่า : ผ่าน




ซีรีส์สามก๊ก เวอร์ชั่น 2010
เวอร์ชั่นนี้เครื่องแต่งกายเริ่มค่อนข้างจะไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ ขุนนางบางคนปล่อยผมยาว ซึ่งคนสมัยก่อนคนมีตระกูล คนมีการศึกษาและพวกขุนนาง เขาจะเกล้าผมเรียบร้อย ส่วนปล่อยผมยาวคือพวกที่เกเรๆหน่อย พวกขี้เมาหรือไม่มีการศึกษา

คือหนังจีนจะนิยมให้ผู้ชายปล่อยผมยาวกัน ซึ่งมันอาจจะเป็นอิทธิพลของยุคร็อคเกอร์ผมยาว เอามาใส่ในหนังกำลังภายในให้มันดูเท่ แล้วหนังจีนแนวย้อนยุคก็ทำตามๆกันทุกเรื่อง แต่ที่จริงแล้วการปล่อยผมสมัยก่อนถือว่าไม่สุภาพ

เวอร์ชั่นนี้ให้อองลองมาปล่อยผมยาวน่าเกลียดมาก นี่ถ้าตามมาตรฐานของจีนโบราณถือว่าลบหลู่ไม่ให้เกียรติอองลองเลย หรืออย่างสุมาอี้ก็ปล่อยผมยาวด้วยเวอร์ชั่นนี้ เรื่องวัฒนธรรมและวิถีชีวิตถือว่าเวอร์ชั่นนี้เริ่มจะเลอะเทอะละ


(อองลองเวอร์ชั่น 1994 รวบผมเรียบร้อย)


(อองลองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ของวุยก๊ก แค่วรรณกรรมให้โดนด่าตกม้าตายนี่ก็ว่าแย่ละ นี่ซีรีส์ 2010 เล่นให้ปล่อยผมยาวน่าเกลียดอีก ตามมาตรฐานของจีนโบราณนะ)


(สุมาอี้ 1994 รวบผมเรียบร้อย)


(สุมาอี้ 2010 ปล่อยผมเป็นกุ๊ยเลย  คนยุคนี้อาจมองว่าเท่ แต่สมัยก่อนถือว่าไม่สุภาพ)

เรื่องซีนสงครามต่อสู้ก็ออกจะเว่อร์เกินจริงนิดๆ ไม่ได้เป็นการต่อสู้สมจริงแบบใน 1994 คือของ 2010 จะเริ่มเล่นท่ายาก จะคล้ายๆออกกังฟูและกำลังภายในนิดๆ แต่ของจริงไม่มีนะครับ ในประวัติศาสตร์จีนไม่มีกำลังภายในแฟนตาซีแบบในหนัง แล้วเวอร์ชั่นนี้เป็นเจ้าแรกที่ทำฉากจูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊าแบบว่า 1 คนลุยทั้งกองทัพ แต่ในวรรณกรรมกับในซีรีส์ 1994 ไม่ได้มีซีนลุยฝ่าทั้งกองทัพ แค่ว่าทหารฝ่ายโจโฉทยอยไล่ตามล่าไล่ปะทะกับจูล่ง

ซีรีส์ 2010 ข้อดีคือ มาได้คาแรคเตอร์ของโจโฉที่ดีขึ้น ดูเก่งดูฉลาดหน่อย ส่วนเล่าปี่ก็นิ่งสุขุมใกล้เคียงกับในหนังสือ ไม่ใช่มาออกลิเกแบบในเวอร์ชั่น 1994

ด้านทัศนคติมุมมองหรือแนวคิดที่มีต่อสงคราม ยังคงเหมือนเดิม คือมองว่าเป็นสิ่งที่ดี ยกย่องการทำสงคราม มองว่าการฆ่าฟันเป็นเรื่องปกติ  แต่ที่เปลี่ยนไปคือแนวคิดความทันสมัยในเรื่องความรัก เริ่มมีแบบใส่ความสมัยใหม่เข้าไป เช่นไปใส่ความโรแมนติกให้บทของลิโป้ กลายเป็นได้รับบทคนรักเดียวใจเดียว คนงมงายในความรักอะไรแบบนี้ ส่วนเตียวเสี้ยนก็โรแมนติกกับลิโป้เหลือเกิน ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ สมัยก่อนไม่มีหรอกโรแมนติกบ้ารักแบบเกาหลีอะไรแบบยุคนี้

ผู้ชายสมัยก่อนเขารักผู้หญิงได้หลายคน มีเมียหลายคนเป็นปกติ ลิโป้ก็มีเมียหลายคน แล้วที่พาครอบครัวหนีไปอาศัยเล่าปี่ ในเวอร์ชั่น 1994 นั่นที่โผล่มาคือเหงียมซี ไม่ใช่เตียวเสี้ยน ซึ่งในวรรณกรรมก็จะมาทั้งเมียหลวงเมียน้อย (ในประวัติจริง เมียน้อยไม่ได้ระบุชื่อว่าเตียวเสี้ยน เตียวเสี้ยนเป็นตัวที่วรรณกรรมแต่งขึ้น) แต่พอของ 2010 มาใส่ความโรแมนติก ให้เตี้ยวเสี้ยนเป็นเมียคนเดียว แล้วเตียวเสี้ยนก็รักลิโป้เหลือเกินจนยอมตายตามกันไป ก็เรียกว่าเวอร์ชั่นนี้เป็นต้นแบบของเวอร์ชั่นอื่นที่สร้างตามมาให้ลิโป้เป็นหนุ่มนักรบโรแมนติก

โดยสรุปถือว่า : ผ่าน




สามก๊ก โจโฉแตกทัพเรือ (2008, 2009) Red Cliff ภาค 1-2
เวอร์ชั่นนี้เป็นหนังใหญ่ เป็นหนังคุณภาพและใช้ทุนสร้างสูงสุดของเอเชีย แต่ออกแนวแฟนตาซีเล็กๆ มีกำลังภายในนิดหน่อย และใส่แนวคิดสมัยใหม่เข้าไป คือมีค่านิยมแบบต่อต้านสงคราม มองการรบราว่าเป็นเรื่องเลวร้าย ซึ่งต่างจากคนสมัยก่อนที่มองสงครามว่าเรื่องปกติ เป็นความชอบธรรม และคนออกรบก็ถือว่ากล้าหาญและมีเกียรติ ทั้งการรบขยายเมืองหรือการล่าอาณานิคม คนสมัยก่อนไม่ได้มองว่าเลวร้าย

แต่แนวคิดเรื่องต้านสงครามพึ่งจะมีราวๆยุค 1970 ในตะวันตก แล้วแนวคิดนี้ก็ขยายมาทางเอเชียมากขึ้นในช่วง 1990

ส่วนเรื่องของเครื่องแต่งกาย วัฒนธรรม ข้าวของเครื่องใช้ เรื่องนี้ก็ไม่ตรงกับประวัติศาสตร์ทุกประเด็น เป็นจินตนาการสมัยใหม่ลักษณะประยุกต์ แถมมีกีฬาฟุตบอลซะด้วย ^^ คือจะสร้างมโนอวยชาติจีน ยิ่งแล้วช่วงนั้นเป็นการต้อนรับกีฬาโอลิมปิกด้วย

ส่วนตัวละครโจโฉก็ได้บทเลวมากๆ ทำสงครามเพื่อจะได้ผู้หญิง ฝ่ายเล่าปี่กับฝ่าย กังตั๋งนี่ดันได้บทรักสงบ แต่ความจริงคือไม่ใช่ เรื่องจริงก็เหมือนกับพล็อตซีรีส์ก็คือ ทุกฝ่ายต่างพยามชิงกันเป็นใหญ่

แต่หนังเรื่องนี้มันดันมีประเด็นที่ถูกต้องใกล้เคียงประวัติจริงเรื่องนึงคือ จิวยี่ในเรื่องนี้ไม่ได้เจ้าเล่ห์และวางแผนทรยศขงเบ้ง ความจริงคือขงเบ้งและจิวยี่เป็นเพื่อนกันเคารพกัน วางแผนเก่งใกล้เคียงกันเหมือนในเรื่องนี้แหละ (แต่กังตั๋งกับฝ่ายเล่าปี่รบกันหลังที่จิวยี่ตายไปแล้ว) อันนี้มันก็จะต่างกับในวรรณกรรมและซีรีส์ที่แต่งเรื่องใหม่ขึ้นมาเกี่ยวกับความขัดแย้งของจิวยี่และขงเบ้ง

เนื้อหาเวอร์ชั่นนี้ กะโดยคร่าวๆว่ามีแค่ 20% ที่เอามาจากซีรี่ส์ 1994 และอีก 5% ที่เอามาจากประวัติศาสตร์จริง นอกนั้นเป็นนิยายแฟนตาซีแต่งขึ้นเอง

โดยสรุปถือว่า : ผ่าน

...
(ผมต่อในคอมเมนต์นะ เพราะยาวเกิน)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่