แกะจากข่าว โครงการเกษตรผสมผสาน-ปลูกน้ำ ปฏิรูปเพื่อยกระดับเกษตรกรรมไทย

จากข่าวที่เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ บิ๊กบอสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ให้สัมภาษณ์สื่อถึงเนื้อหาในจดหมายที่ตอบกลับนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกี่ยวกับโครงการที่เสนอต่อรัฐบาล และโครงการที่ซีพีตั้งใจดำเนินการเอง 
 
ในจำนวนหลายโครงการ มีอยู่สองโครงการที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่งเกาะเกี่ยวผูกโยงใกล้ชิดกันมาก เพราะเกี่ยวข้องกับเกษตรกรที่เป็นเสาหลักสายแข็งของประเทศ โครงการหนึ่งซีพีตั้งใจจะดำเนินการเอง ก็คือ โครงการเกษตรกรรมผสมผสา และโครงการแก้ไขปัญหาระบบชลประทาน ที่มีแนวคิดต่อยอดมาจากโครงการแก้มลิง ที่ซีพีให้ชื่อว่า โครงการปลูกน้ำ
 
โครงการทั้งหมดซีพีใช้รูปแบบที่เรียกว่า โมเดล 4 ประสาน 3 ประโยชน์ ซึ่ง 4 ประสาน ก็มาจากรูปแบบที่ต้องใช้ความร่วมมือ 4 ฝ่าย คือ รัฐบาล เอกชน สถาบันการเงิน และเกษตรกร ส่วน 3 ประโยชน์ คือ ทำแล้วประโยชน์ต้องเกิดกับประเทศชาติ ประชาชน และองค์กรหรือบุคคลที่มีส่วนร่วม ซึ่งในที่นี้ก็คือเกษตรกร 
 
แนวคิดที่มา
 
เรื่องนี้เจ้าสัวธนินท์ย้ำอยู่เสมอถึงความสำคัญของเกษตรกรไทยว่า เกษตรกรเป็นภาคส่วนที่สำคัญของประเทศ ต้องช่วยให้เกษตรกรไทยมีรายได้ดี เพราะเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรที่เลี้ยงชีวิตมนุษย์ ขนาดประเทศที่ผลิตน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าเลี้ยงเครื่องจักร ยังมีรายได้ดี แล้วเกษตรกรเลี้ยงคน ซึ่งสำคัญกว่าเครื่องจักร ทำไมจะไม่ดูแลให้ดีล่ะ ดูอย่างญี่ปุ่น ถือว่าเกษตรกรเป็นผู้มีบุญคุณ สร้างอาหารเลี้ยงคนทั้งประเทศ รัฐบาลญี่ปุ่นจึงทำให้สินค้าเกษตรของญี่ปุ่นแพงที่สุดในโลก รายได้เกษตรกรจึงสูงที่สุดในโลกด้วย

“เกษตรที่งอกจากแผ่นดินไทย บนดิน ผมเรียกว่า น้ำมันบนดิน สินค้าเกษตรมีความสำคัญยิ่งกว่าน้ำมัน เพราะสินค้าเกษตรเลี้ยงชีวิตมนุษย์ แต่น้ำมันเลี้ยงชีวิตเครื่องจักร แล้วใครสำคัญกว่ากัน นี่เป็นทรัพย์สมบัติของชาติยิ่งกว่าน้ำมัน” เจ้าสัวธนินท์กล่าว

 

แต่ที่ผ่านมาเกษตรกรไทยเป็นเกษตรกรที่อยู่ภายใต้ความเสี่ยงสูง 3 ประการ คือ 1. เงินทุน 2. ภัยธรรมชาติ และ 3. ราคาสินค้าเกษตรที่ไม่แน่นอน จึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง แต่กำไรน้อย 
 
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน ปัญหาด้านชลประทาน ที่ขาดการบริหารจัดการทีดี ทั้งที่ประเทศไทยโชคดี มีฝนตกปีละจำนวนมาก แต่กลับปล่อยให้น้ำ 60% ไหลลงสู่ทะเล แถมน้ำใต้ดินอีกจำนวนมากก็ไหลลงสู่ทะเลด้วย
 
ด้วยเหตุเหล่านี้จึงเป็นที่มาของการเสนอโครงการปลูกน้ำ และโครงการเกษตรผสมผสาน เพราะหากทำสำเร็จจะทำให้โครงสร้างภาคการเกษตรของไทยเปลี่ยนแปลงไปทันที ต่อไปเกษตรกรจะมีรายได้สูงขึ้น จะสามารถเลือกปลูกพืชที่ตรงกับความต้องการของตลาด เป็นสินค้าที่มีมูลค่า ไม่ทำให้เกิดภาวะพืชล้นตลาด และหากจะปลูกข้าวก็จะเลือกข้าวพันธุ์ดี เป็นที่ต้องการของทั่วโลก ราคาก็จะสูง และที่สำคัญเกษตรกรไทยจะเป็น Smart Farmer ที่ดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาทำธุรกิจนี้ได้ด้วย 
 
โครงการปลูกน้ำ
 
หากมีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีศักยภาพ สามารถนำมาใช้ได้อีก 33% หรือใช้น้ำบาดาลมาทำประโยชน์ให้มากขึ้น เช่น ทำให้เกิดการรวมตัวของเกษตรกรเจ้าของที่ดินในพื้นที่ลุ่ม ขุดบ่อกักน้ำ เพื่อใช้งานและจำหน่ายให้กับพื้นที่ใกล้เคียงเหมือนกับขายไฟฟ้า ดินที่ขุดออกมาก็สามารถนำไปทำประโยชน์อย่างอื่น เช่น สร้างเป็นเนินปลูกต้นไม้ ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว การบริหารจัดการน้ำอย่างจริงจัง จะช่วยเกษตรกรได้มาก พื้นที่ในโครงการปลูกน้ำ ก็ยังสามารถเลี้ยงสัตว์ ทำเกษตรผสมผสาน ที่สามารถเลือกปลูกพืชที่มีมูลค่าสูง ที่ต้องใช้น้ำปริมาณมากได้ และอ่างเก็บน้ำก็สามารถเลี้ยงปลา สร้างรายได้อีกทางหนึ่ง จะทำให้ชาวบ้านมีทางเลือกมากและหลากหลายขึ้น ตั้งแต่เกษตรผสมผสาน ปศุสัตว์ ไปจนถึงการท่องเที่ยว
 
อย่างไรก็ตาม โครงการปลูกน้ำนี้ก็ต้องอาศัยภาครัฐเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน เพราะเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย กฎระเบียบต่าง ๆ มากมาย กับทั้งยังต้องทำในวงกว้างให้ทั่วถึง ซึ่งควรทำทั้งประเทศ เพราะเป็นการต่อยอดจากโครงการแก้มลิง แต่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการ ทำเป็นโซนนิ่ง

 
โครงการเกษตรผสมผสาน
 
เจ้าสัวธนินท์บอกว่า ขณะนี้กำลังดูพื้นที่ 3-4 แห่งเป็นต้นแบบนำร่องทำโครงการภายในปีนี้ แต่ละแห่งอาจจะมีการเลี้ยงหมู 3 แสนตัว เลี้ยงไก่ล้านตัว ปลูกพืชต่างๆ โดยจะเป็นเกษตรครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งต้องดูพื้นที่ว่าสามารถทำได้อย่างยั่งยืน มิใช่แค่เพียงชั่วคราว สามารถต่อยอดได้ มีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย หรือทำในรูปแบบสมาร์ทฟาร์ม เน้นการมีส่วนร่วม ด้วยวิธีการแบ่งปัน และการกระจายรายได้ 
 
โดยเกษตรกรลงทุนพื้นที่ บริษัทลงทุนทำตลาด การขาย รายได้แบ่งคืนให้เจ้าของที่ดิน ซึ่งเจ้าของที่ดินยังสามารถขยายตัวธุรกิจเกี่ยวข้องได้อีก เช่น เลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชเพื่อทำอาหารเลี้ยงสัตว์ ปลูกผักหรือผลไม้ เกษตรกรจะได้รายได้สูงกว่ารายได้ขั้นต่ำ 2-3 เท่าตัว 
 
ในอนาคตจะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งแก่เศรษฐกิจฐานราก รวมถึงสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยทางอาหารในระยะยาวให้แก่ประเทศไทย กับทั้งจะเป็นเสมือนโรงเรียนให้เกษตรกรจากที่อื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาศึกษาดูงาน
 
ต่อยอดขยายผลจากความสำเร็จในอดีต
 
เครือเจริญโภคภัณฑ์เคยดำเนินโครงการเกษตรกรรมทันสมัย เพื่อเป็นต้นแบบการเรียนรู้ ยกระดับเกษตรกรอย่างยั่งยืนสำเร็จมาแล้วหลายโครงการ อาทิ 
 
โครงการเกษตรกรรมหนองหว้า อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งซีพีได้ช่วยพลิกฟื้นผืนดินรกร้างว่างเปล่ากว่า 1 พันไร่ ด้วยการส่งเสริมอาชีพให้ชาวบ้านรู้จักการเลี้ยงสุกร ปลูกพืชผัก จนปัจจุบันเติบโตกลายเป็นชุมชนตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ มีความเข้มแข็งสามารถเลี้ยงตัวเองได้ และมีผู้เดินทางมาศึกษาดูงานจากทั่วโลก

ส่วนในต่างประเทศ โครงการภายใต้โมเดล 4 ประสาน 3 ประโยชน์ ทำสำเร็จในประเทศจีน ได้แก่ 
 
-       โครงการไก่ไข่ครบวงจร 3 ล้านตัวที่ผิงกู่ นครปักกิ่ง 
-       โครงการไก่เนื้อ 100 ล้านตัวต่อปี หมู 1 ล้านตัวต่อปี 
-       โครงการเกษตรกรรมทันสมัยฉือซี พัฒนาพื้นที่ 8,000 ไร่ มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นเกษตรผสมผสานแบบทันสมัยครบวงจร ที่อยู่ใกล้เมือง โดยให้ทุกอย่างอยู่ในจุดเดียวกัน ครบทั้งด้านพืชผักและปศุสัตว์
 
แนวคิดที่ซีพีทำสำเร็จนี้ ไม่เพียงแต่เป็นต้นแบบให้นานาประเทศมาขอศึกษาดูงาน แต่ยังเป็นรายงานกรณีศึกษาหลายฉบับของ Harvard Business School ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เกี่ยวกับบทบาทของภาคเอกชนที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคเกษตร 
 
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2560 Harvard Business School ยังได้เชิญเจ้าสัวธนินท์และผู้บริหารเครือซีพีไปบรรยายถึงแนวคิดโครงการผิงกู่ ที่เป็นเกษตรกรรมทันสมัย ภายใต้หัวข้อ “Rapid Development of China & CP Group’s Strategy” อีกด้วย

บทสรุป
 
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เครือเจริญโภคภัณฑ์จึงมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนต้นแบบ เพื่อยกระดับรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรไทย ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้จะนำองค์ความรู้จากที่มีประสบการณ์ในหลายประเทศ กลับมาทำในประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งเทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวหน้ามาก จะทำสำเร็จได้ง่ายกว่าในอดีต และทำให้รายได้ถึงมือเกษตรกรอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ดี ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้โครงการขยายผลได้ เน้นการมีส่วนร่วม และเกษตรกรเป็นเจ้าของ และที่สำคัญต้องเร็วและมีคุณภาพ และหากทำสำเร็จจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นโรงเรียนพัฒนาอาชีพให้เกษตรกร ให้เกิดรายได้อย่างยั่งยืนต่อไป เรียกว่าเป็นการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของไทยกันเลยทีเดียว 
 
 
----------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่