เนื่องจากมีคนแสดงความไม่หวังดีอยากจะโหลดรูปที่ผมทุ่มเทถ่ายมาไปใช้เป็นของตัวเองเลยต้องขอติดลายน้ำไว้ สำหรับเพื่อนๆที่อยากดูภาพแบบไม่มีโลโก้เกะกะเชิญที่เว็บไซต์ส่วนตัวผมได้เลยครับ https://www.nopeopletravelphoto.com/
ตอนนี้เป็นตอนที่สุดท้ายนะครับ ตอนอื่นๆดูได้จากลิงค์ด้านล่างเลยครับผม
ตอน 1 - คันไซ (Kansai):
https://www.nopeopletravelphoto.com/post/kansai_april2019
ตอน 2 - ฟูจิ (Fuji):
https://www.nopeopletravelphoto.com/post/fuji_april2019
เดือนที่เดินทาง - 5 - 7 เมษายน 2019
จุดหมายสุดท้ายในการเดินทางยาว 14 วันในญี่ปุ่นของเราจบลงที่โตเกียว นี่ก็เป็นการมาโตเกียวครั้งที่ 2 เช่นเดียวกันเพราะว่าคิดไม่ออกว่าจากฟูจิจะไปไหนต่อที่ไม่ไกลไป การมาเที่ยวโตเกียวครั้งนี้เราเดินกันวันๆนึงระยะทางเกิน 20 ก.ม. เดินกันเยอะจนคิดถึงรถที่มีขับตอนอยู่ที่ฟูจิเลย แต่มาถึงญี่ปุ่นแล้วต้องไปดูให้เห็นกับตา hotspot ไหนบ้างที่คนเค้าไปดูซากุระกัน
คืนวันก่อนหน้าเป็นวันที่เราขับรถมาถึงโตเกียว ขาขับเข้ามาในเมืองนี่หลงแล้วหลงอีก ในเมืองนี่ขับรถยากจริงๆทั้งแยกและไฟแดงที่งงๆ พอไปถึงที่คืนรถเราก็ต้องกลับมาเป็นคนเดินเท้ากันเหมือนเดิม ลาก่อนรถที่แสนสบาย
วันถัดมาก็เริ่มออกเดินเที่ยวกันเลย และที่แรกที่มีรูปให้ดูก็คือศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ศาลเจ้าที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดีด้วยความที่เค้าเป็นสวนป่าขนาดใหญ่กลางเมืองและตัวศาลเจ้าที่ทำจากไม้สนที่ดูแล้วขึงขังไม่ธรรมดา
เดินออกมานอกบริเวณศาลเจ้าก็กลายเป็นย่านห้างสรรพสินค้าแฟชั่นและวัยรุ่นมากมายมารวมตัวกัน ด้านนอกนี้เองเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฮาราจุกุสุดคลาสสิคที่ตอนเราไปยังมีการใช้งานอยู่และสถานีใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ เท่าที่ค้นคว้าดูตอนนี้สถานีใหม่เปิดใช้แล้วแต่ว่าอาคารเก่าก็ไม่หายไปไหนยังกลับไปดูเล่นกันได้อยู่
เดินเล่นกันไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เห็นห้างหน้าตาแปลกก็เดินไปถ่ายรูปเล่น ต้นไม้สวยๆเป็นระยะกับคนสัญจรไปมาดูน่ารักดี เดินเล่นชมบรรยากาศบ้านเมืองไปเรื่อยๆรู้ตัวอีกทีเกือบถึงชิบูย่า
ก่อนถึงชิบูย่ามองไปเห็นป้ายเป็นเนื้อทอดที่ตรงกลางดิบๆ (เชฟทอดไฟแรง 55) น่าสนใจและคิวไม่ยาว พอต่อคิวไปซักพักหันไปดูคิวยาวไปนอกฟุตบาทแล้ว เปิด Google ดูชัดเลยว่าร้านดัง อร่อยและแปลกที่เสิร์ฟให้เราพร้อมเตาต้องย่างต่อเอง หรือไม่ย่างก็กินดิบๆไปไม่ท้องเสีย ใครสนใจร้านชื่อ Motomura เค้ามีเฟรนไชส์หลายสาขาเลือกเอาที่สะดวกได้เลย (ไม่มีรูปอาหารเพราะถ่ายไม่ทันกิน)
เดินๆมาแล้วก็ถึงแยกชิบูย่าที่ไม่รู้ทำไมคนต้องทำเป็นเดินข้ามถนนไปฝั่งนู้นเพื่อจะเดินกลับมาฝั่งนี้ แต่สถานที่มีชื่อเสียงก็ไปถ่ายรูปมาไว้นิดนึง ไม่ได้ไปเดินข้างล่างแต่ว่ามาส่องดูจากบนชั้นสองฝั่งเดียวกับสถานีรถไฟ
ผมก็เริ่มเจ็บขาแต่คนอื่นยังไหว จะเป็นภาระไม่ได้เลยไปต่อเลยที่ Tokyo Midtown หรือ Roppongi มาดูซากุระที่ปลูกเป็นแถวยาวๆข้างถนนสีสวยที่แท๊กซี่ขับผ่านมาให้จับภาพเยอะแยะ เลือกสีที่ชอบได้เลย
ย่านนี้เป็นย่านผู้มีอันจะกินนิดนึงดูจากราคาตามร้านอาหารและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เราไม่มีเงินก็เดินๆดูนิดหน่อย
เดินฆ่าเวลา (นั่งเถอะ) นิดหน่อยรอให้แดดร่มๆก็ย้ายไปอีกที่นึงซึ่งยอดฮิตเช่นกัน ตอนเพื่อนพาขึ้นรถไฟไปไม่รู้ที่ไหนแต่รู้ว่าฮิตเพราะคนไม่รู้มาดูดอกไม้หรือมาก่อม๊อบ
สุดท้ายไปถึงที่ก็เลยร้องอ๋อ ที่นี่แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) นั้นเอง เป็นแม่น้ำเล็กที่มีต้นซากุระเรียงเต็มสองฝั่งแล้วมีการประดับโคมไฟให้คนมาครึกครื้นกินดื่มกันในช่วงเทศกาล พอมองจากสะพานกลางแม่น้ำก็จะเห็นเป็นอุโมงค์ดอกซากุระยาวไปไกลสวยมากๆ
ตรงนี้เห็นสวยๆเป็นการถ่ายภาพที่ต้องทำใจให้พร้อมก่อนเอาตัวเข้าแลกเพื่อมาอยู่จุดนี้ คนเบียดกันจะเข้ามาตรงนี้ตลอดเวลาและก็มีคนที่ใจแข็งเอาขาตั้งมากางด้วย ส่วนตัวผมก็เอากล้องพาดกับรั้วพอไม่ให้สั่น รีบถ่ายแล้วก็ถอยออกมาให้คนอื่น ยังไม่ถูกใจก็รอกลับเข้าไปเบียดๆใหม่
พอแสงบนท้องฟ้าเริ่มหมดก็เห็นไฟที่เปิดชัดขึ้นได้ภาพออกมาแล้วนี้ เหมือนว่าตอนฟ้ายังไม่มืดสวยกว่า ทุกคนคิดว่ายังไงกันบ้าง
เป็นทางเดินริมลำน้ำนี้ยาวไปเรื่อยๆไกลมากซึ่งผมคิดว่าน่าจะคล้ายๆกันไปจนสุดทาง นั่งกินขนมรอทุกคนพอใจจึงเดินทางกลับไปพักฟื้นเท้าสองข้างไว้เริ่มวันใหม่
วันใหม่มาถึง สายๆหน่อยก็พากันออกไปเดินเล่นต่อ เริ่มด้วยสวนอุเอโนะ (Ueno Park) มาดูคนญี่ปุ่นเมาเหล้าในที่สาธารณะตอนกลางวันแสกๆกันใต้ต้นซากุระ ปลูกกันเยอะแยะให้เป็นสีขาวชมพูไปทั้งสวน มองขึ้นไปแล้วสวยมาก
เดินผ่านไปก็เห็นมีซอยเล็กๆเป็นเหมือนศาลเจ้า ตาไม่ได้มองศาลเจ้าแต่เป็นร้านขายของในซอยอารมณ์เหมือนทางเข้าโรงเรียนสมัยก่อนที่ลุงป้ารอเด็กมาซื้อของก่อนเข้าโรงเรียน มีไก่ย่าง เนื้อย่าง มีโอเด้ง มีเบียร์ขาย เลยจัดการนั่งกินเบียร์กลางวันแสกๆกับเค้าบ้าง
เดินต่อไปอีกก็พบว่ามีงานวัดกันอยู่ของกินเพียบ แวะหน่อยเห็นขนมข้างทางแล้วอยากกิน
ปลาปิ้งที่ดูน่ากินนี้ผมลองกินแล้ว จะบอกว่าไม่อร่อยแต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนเชื่อคำผมคนเดียว ถ้าไหนๆได้ไปเจอก็ลองกินซักครั้งในชีวิต
เดินไปไหนก็มีซากุระบานไปทั่ว มีเรือถีบให้บริการสำหรับใครที่ต้องการความโรแมนติก หรือออกกำลังส่วนต้นขา
กลีบดอกไม้ที่เริ่มร่วงหล่นลงมาก็ยังไม่หมดความสวยงาม ก่อนจะร่วงถึงพื้นปลิวไปกับลมเหมือนฝนตกเป็นกลีบดอกไม้ พอร่วงลงพื้นก็ทำให้พื้นเป็นสีชมพู พอร่วงลงน้ำก็เป็นสีชมพูไหลเป็นทางไปตามสายน้ำ
สวนชิโดริกาฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ก็เป็นอีก hotspot ในการมาดูซากุระของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวด้วยฉากที่เห็นกันบ่อยๆคือเรือพายในคูน้ำรอบๆเมืองชิโยดะ (Chiyada City) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวังหลวงของจักรพรรดินั่นเอง
ที่โตเกียวนี่มีสถานที่ให้ฉลองเทศกาลชมซากุระกันทุกรูปแบบรองรับทุกเพศทุกวัยจริงๆ ทั้งกินดื่ม ทั้งเดินเล่น ทั้งพากันมาพายเรือ เรียกได้ว่าปีนึงมีครั้งเดียวต้องดูกันให้คุ้มค่า
มาถึงตรงนี้ก็อยู่ใกล้ๆกับสถานีโตเกียวที่ทั้งใหญ่โตและสวยงาม แวะไปถ่ายรูปกันหน่อยอย่าให้เสียเที่ยว มีจุดที่ให้ขึ้นไปถ่ายลงมาจากบนตึกได้ 3 ที่คือตึกด้านหน้าและด้านข้างของสถานี หาง่ายมากแค่ขึ้นไปชั้นบนสุดก็เจอละครับ ด้านหน้าสถานีเพิ่งปรับปรุงใหม่ไม่นานสวยสะอาด
ปิดวันนี้ลงด้วยภาพของสถานีรถไฟสุดคลาสสิคที่อยู่ได้อย่างลงตัวท่ามกลางตึกสูงที่ดูโมเดิร์น แบบนี้เองที่เค้าเรียกว่า timelessness หรือเป็นนิรันดร์
วันสุดท้ายนี้ก็จบลงแบบสบายๆให้ความทรงจำของโตเกียวไร้ความเจ็บปวดของฝ่าเท้า 55 เดินๆนิดๆหน่อยๆแล้วก็นั่งเล่นตามทางไปเรื่อยให้ได้ซึมซับบรรยากาศแบบไม่ต้องยกกล้องมาถ่ายรูป แต่มันเหมือนเป็นโรคจิตต้องขอถ่ายไว้นิดนึงเวลาเห็นอะไรที่มุมมันสวยๆ
ชิวกันจนเบื่อก็เริ่มออกเดินกันที่ริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) แม่น้ำสายสำคัญของโตเกียว คนญี่ปุ่นก็ออกมาครื้นเครงกันเช่นเคยใต้ต้นซากุระที่ดอกก็โรยลงมาเยอะขึ้นเป็นสัญญานว่าจะต้องไปแล้วจนกว่าจะปีหน้า
เดินผ่านตรงนี้มาก็เพื่อที่จะโผล่ไปที่วัดเซ็นโซจิ (Senso-ji) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) นี่แหละ วัดคนเยอะเหมือนครั้งก่อนเพราะด้านหน้าเป็นถนนช้อปปิ้งและมีโคมไฟยักษ์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหน
คนเยอะเหมือนวัดมังกรตอนช่วงตรุษจีนเลยทีเดียว คนมากมายต่อคิวไปกราบไหว้ขอพรให้เป็นสิริมงคล
เดินผ่านตลาดด้านหน้าก็ตกเป็นเหยื่อซื้อของฝากมาบ้างและมุ่งหน้าออกไปที่ Culture Tourist Information Center ที่มีชั้นบนไว้มองลงมาเห็นวิวของวัดจากมุมสูง
มองลงมาตรงๆก็ได้อีกมุมที่แปลกตา คนและรถราดูเล็กๆจากบนนี้
หันขวาไปมีมุมโบนัสแถมให้เป็น Tokyo Skytree
และแล้วก็จบลงกับ 14 วันที่ก็แอบทำให้คิดถึงบ้าน แต่มานั่งเขียนโพสย้อนหลังแบบนี้ก็ทำให้คิดถึงอยากกลับไปเก็บภาพสวยๆมาอีกไว้โม้ให้คนอื่นฟังในอนาคต
ความสวยงามของโตเกียวในช่วงนี้ก็ยังตราตรึง ทำให้รู้สึกชื่นชมประเทศญี่ปุ่นทั้งในแง่ความเอาใจใส่ต่อเรื่องที่หลายๆคนคิดว่าไม่สำคัญและความสามารถด้านการตลาดที่ทำให้ซากุระเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น
ถ้าประเทศไทยเอาพันธุ์ไม้ของเรามาทำให้ดูสวยงามอย่างพร้อมเพรียงกันแบบนี้บ้างผมว่าก็คงสวยไม่แพ้กัน ของดีเราก็มี ใครก็ได้ช่วยไปบอกพนักงานตัดต้นไม้ของกทม.หน่อยเน่อ
[CR] โตเกียว (Tokyo) เดินเล่นในโตเกียวในวันที่ดอกซากุระบาน
เนื่องจากมีคนแสดงความไม่หวังดีอยากจะโหลดรูปที่ผมทุ่มเทถ่ายมาไปใช้เป็นของตัวเองเลยต้องขอติดลายน้ำไว้ สำหรับเพื่อนๆที่อยากดูภาพแบบไม่มีโลโก้เกะกะเชิญที่เว็บไซต์ส่วนตัวผมได้เลยครับ https://www.nopeopletravelphoto.com/
ตอนนี้เป็นตอนที่สุดท้ายนะครับ ตอนอื่นๆดูได้จากลิงค์ด้านล่างเลยครับผม
ตอน 1 - คันไซ (Kansai): https://www.nopeopletravelphoto.com/post/kansai_april2019
ตอน 2 - ฟูจิ (Fuji): https://www.nopeopletravelphoto.com/post/fuji_april2019
เดือนที่เดินทาง - 5 - 7 เมษายน 2019
จุดหมายสุดท้ายในการเดินทางยาว 14 วันในญี่ปุ่นของเราจบลงที่โตเกียว นี่ก็เป็นการมาโตเกียวครั้งที่ 2 เช่นเดียวกันเพราะว่าคิดไม่ออกว่าจากฟูจิจะไปไหนต่อที่ไม่ไกลไป การมาเที่ยวโตเกียวครั้งนี้เราเดินกันวันๆนึงระยะทางเกิน 20 ก.ม. เดินกันเยอะจนคิดถึงรถที่มีขับตอนอยู่ที่ฟูจิเลย แต่มาถึงญี่ปุ่นแล้วต้องไปดูให้เห็นกับตา hotspot ไหนบ้างที่คนเค้าไปดูซากุระกัน
คืนวันก่อนหน้าเป็นวันที่เราขับรถมาถึงโตเกียว ขาขับเข้ามาในเมืองนี่หลงแล้วหลงอีก ในเมืองนี่ขับรถยากจริงๆทั้งแยกและไฟแดงที่งงๆ พอไปถึงที่คืนรถเราก็ต้องกลับมาเป็นคนเดินเท้ากันเหมือนเดิม ลาก่อนรถที่แสนสบาย
วันถัดมาก็เริ่มออกเดินเที่ยวกันเลย และที่แรกที่มีรูปให้ดูก็คือศาลเจ้าเมจิ (Meiji Jingu) ศาลเจ้าที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดีด้วยความที่เค้าเป็นสวนป่าขนาดใหญ่กลางเมืองและตัวศาลเจ้าที่ทำจากไม้สนที่ดูแล้วขึงขังไม่ธรรมดา
เดินออกมานอกบริเวณศาลเจ้าก็กลายเป็นย่านห้างสรรพสินค้าแฟชั่นและวัยรุ่นมากมายมารวมตัวกัน ด้านนอกนี้เองเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟฮาราจุกุสุดคลาสสิคที่ตอนเราไปยังมีการใช้งานอยู่และสถานีใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ เท่าที่ค้นคว้าดูตอนนี้สถานีใหม่เปิดใช้แล้วแต่ว่าอาคารเก่าก็ไม่หายไปไหนยังกลับไปดูเล่นกันได้อยู่
เดินเล่นกันไปเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เห็นห้างหน้าตาแปลกก็เดินไปถ่ายรูปเล่น ต้นไม้สวยๆเป็นระยะกับคนสัญจรไปมาดูน่ารักดี เดินเล่นชมบรรยากาศบ้านเมืองไปเรื่อยๆรู้ตัวอีกทีเกือบถึงชิบูย่า
ก่อนถึงชิบูย่ามองไปเห็นป้ายเป็นเนื้อทอดที่ตรงกลางดิบๆ (เชฟทอดไฟแรง 55) น่าสนใจและคิวไม่ยาว พอต่อคิวไปซักพักหันไปดูคิวยาวไปนอกฟุตบาทแล้ว เปิด Google ดูชัดเลยว่าร้านดัง อร่อยและแปลกที่เสิร์ฟให้เราพร้อมเตาต้องย่างต่อเอง หรือไม่ย่างก็กินดิบๆไปไม่ท้องเสีย ใครสนใจร้านชื่อ Motomura เค้ามีเฟรนไชส์หลายสาขาเลือกเอาที่สะดวกได้เลย (ไม่มีรูปอาหารเพราะถ่ายไม่ทันกิน)
เดินๆมาแล้วก็ถึงแยกชิบูย่าที่ไม่รู้ทำไมคนต้องทำเป็นเดินข้ามถนนไปฝั่งนู้นเพื่อจะเดินกลับมาฝั่งนี้ แต่สถานที่มีชื่อเสียงก็ไปถ่ายรูปมาไว้นิดนึง ไม่ได้ไปเดินข้างล่างแต่ว่ามาส่องดูจากบนชั้นสองฝั่งเดียวกับสถานีรถไฟ
ผมก็เริ่มเจ็บขาแต่คนอื่นยังไหว จะเป็นภาระไม่ได้เลยไปต่อเลยที่ Tokyo Midtown หรือ Roppongi มาดูซากุระที่ปลูกเป็นแถวยาวๆข้างถนนสีสวยที่แท๊กซี่ขับผ่านมาให้จับภาพเยอะแยะ เลือกสีที่ชอบได้เลย
ย่านนี้เป็นย่านผู้มีอันจะกินนิดนึงดูจากราคาตามร้านอาหารและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เราไม่มีเงินก็เดินๆดูนิดหน่อย
เดินฆ่าเวลา (นั่งเถอะ) นิดหน่อยรอให้แดดร่มๆก็ย้ายไปอีกที่นึงซึ่งยอดฮิตเช่นกัน ตอนเพื่อนพาขึ้นรถไฟไปไม่รู้ที่ไหนแต่รู้ว่าฮิตเพราะคนไม่รู้มาดูดอกไม้หรือมาก่อม๊อบ
สุดท้ายไปถึงที่ก็เลยร้องอ๋อ ที่นี่แม่น้ำเมกุโระ (Meguro River) นั้นเอง เป็นแม่น้ำเล็กที่มีต้นซากุระเรียงเต็มสองฝั่งแล้วมีการประดับโคมไฟให้คนมาครึกครื้นกินดื่มกันในช่วงเทศกาล พอมองจากสะพานกลางแม่น้ำก็จะเห็นเป็นอุโมงค์ดอกซากุระยาวไปไกลสวยมากๆ
ตรงนี้เห็นสวยๆเป็นการถ่ายภาพที่ต้องทำใจให้พร้อมก่อนเอาตัวเข้าแลกเพื่อมาอยู่จุดนี้ คนเบียดกันจะเข้ามาตรงนี้ตลอดเวลาและก็มีคนที่ใจแข็งเอาขาตั้งมากางด้วย ส่วนตัวผมก็เอากล้องพาดกับรั้วพอไม่ให้สั่น รีบถ่ายแล้วก็ถอยออกมาให้คนอื่น ยังไม่ถูกใจก็รอกลับเข้าไปเบียดๆใหม่
พอแสงบนท้องฟ้าเริ่มหมดก็เห็นไฟที่เปิดชัดขึ้นได้ภาพออกมาแล้วนี้ เหมือนว่าตอนฟ้ายังไม่มืดสวยกว่า ทุกคนคิดว่ายังไงกันบ้าง
เป็นทางเดินริมลำน้ำนี้ยาวไปเรื่อยๆไกลมากซึ่งผมคิดว่าน่าจะคล้ายๆกันไปจนสุดทาง นั่งกินขนมรอทุกคนพอใจจึงเดินทางกลับไปพักฟื้นเท้าสองข้างไว้เริ่มวันใหม่
วันใหม่มาถึง สายๆหน่อยก็พากันออกไปเดินเล่นต่อ เริ่มด้วยสวนอุเอโนะ (Ueno Park) มาดูคนญี่ปุ่นเมาเหล้าในที่สาธารณะตอนกลางวันแสกๆกันใต้ต้นซากุระ ปลูกกันเยอะแยะให้เป็นสีขาวชมพูไปทั้งสวน มองขึ้นไปแล้วสวยมาก
เดินผ่านไปก็เห็นมีซอยเล็กๆเป็นเหมือนศาลเจ้า ตาไม่ได้มองศาลเจ้าแต่เป็นร้านขายของในซอยอารมณ์เหมือนทางเข้าโรงเรียนสมัยก่อนที่ลุงป้ารอเด็กมาซื้อของก่อนเข้าโรงเรียน มีไก่ย่าง เนื้อย่าง มีโอเด้ง มีเบียร์ขาย เลยจัดการนั่งกินเบียร์กลางวันแสกๆกับเค้าบ้าง
เดินต่อไปอีกก็พบว่ามีงานวัดกันอยู่ของกินเพียบ แวะหน่อยเห็นขนมข้างทางแล้วอยากกิน
ปลาปิ้งที่ดูน่ากินนี้ผมลองกินแล้ว จะบอกว่าไม่อร่อยแต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนเชื่อคำผมคนเดียว ถ้าไหนๆได้ไปเจอก็ลองกินซักครั้งในชีวิต
เดินไปไหนก็มีซากุระบานไปทั่ว มีเรือถีบให้บริการสำหรับใครที่ต้องการความโรแมนติก หรือออกกำลังส่วนต้นขา
กลีบดอกไม้ที่เริ่มร่วงหล่นลงมาก็ยังไม่หมดความสวยงาม ก่อนจะร่วงถึงพื้นปลิวไปกับลมเหมือนฝนตกเป็นกลีบดอกไม้ พอร่วงลงพื้นก็ทำให้พื้นเป็นสีชมพู พอร่วงลงน้ำก็เป็นสีชมพูไหลเป็นทางไปตามสายน้ำ
สวนชิโดริกาฟุจิ (Chidorigafuchi Park) ก็เป็นอีก hotspot ในการมาดูซากุระของคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวด้วยฉากที่เห็นกันบ่อยๆคือเรือพายในคูน้ำรอบๆเมืองชิโยดะ (Chiyada City) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวังหลวงของจักรพรรดินั่นเอง
ที่โตเกียวนี่มีสถานที่ให้ฉลองเทศกาลชมซากุระกันทุกรูปแบบรองรับทุกเพศทุกวัยจริงๆ ทั้งกินดื่ม ทั้งเดินเล่น ทั้งพากันมาพายเรือ เรียกได้ว่าปีนึงมีครั้งเดียวต้องดูกันให้คุ้มค่า
มาถึงตรงนี้ก็อยู่ใกล้ๆกับสถานีโตเกียวที่ทั้งใหญ่โตและสวยงาม แวะไปถ่ายรูปกันหน่อยอย่าให้เสียเที่ยว มีจุดที่ให้ขึ้นไปถ่ายลงมาจากบนตึกได้ 3 ที่คือตึกด้านหน้าและด้านข้างของสถานี หาง่ายมากแค่ขึ้นไปชั้นบนสุดก็เจอละครับ ด้านหน้าสถานีเพิ่งปรับปรุงใหม่ไม่นานสวยสะอาด
ปิดวันนี้ลงด้วยภาพของสถานีรถไฟสุดคลาสสิคที่อยู่ได้อย่างลงตัวท่ามกลางตึกสูงที่ดูโมเดิร์น แบบนี้เองที่เค้าเรียกว่า timelessness หรือเป็นนิรันดร์
วันสุดท้ายนี้ก็จบลงแบบสบายๆให้ความทรงจำของโตเกียวไร้ความเจ็บปวดของฝ่าเท้า 55 เดินๆนิดๆหน่อยๆแล้วก็นั่งเล่นตามทางไปเรื่อยให้ได้ซึมซับบรรยากาศแบบไม่ต้องยกกล้องมาถ่ายรูป แต่มันเหมือนเป็นโรคจิตต้องขอถ่ายไว้นิดนึงเวลาเห็นอะไรที่มุมมันสวยๆ
ชิวกันจนเบื่อก็เริ่มออกเดินกันที่ริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) แม่น้ำสายสำคัญของโตเกียว คนญี่ปุ่นก็ออกมาครื้นเครงกันเช่นเคยใต้ต้นซากุระที่ดอกก็โรยลงมาเยอะขึ้นเป็นสัญญานว่าจะต้องไปแล้วจนกว่าจะปีหน้า
เดินผ่านตรงนี้มาก็เพื่อที่จะโผล่ไปที่วัดเซ็นโซจิ (Senso-ji) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) นี่แหละ วัดคนเยอะเหมือนครั้งก่อนเพราะด้านหน้าเป็นถนนช้อปปิ้งและมีโคมไฟยักษ์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหน
คนเยอะเหมือนวัดมังกรตอนช่วงตรุษจีนเลยทีเดียว คนมากมายต่อคิวไปกราบไหว้ขอพรให้เป็นสิริมงคล
เดินผ่านตลาดด้านหน้าก็ตกเป็นเหยื่อซื้อของฝากมาบ้างและมุ่งหน้าออกไปที่ Culture Tourist Information Center ที่มีชั้นบนไว้มองลงมาเห็นวิวของวัดจากมุมสูง
มองลงมาตรงๆก็ได้อีกมุมที่แปลกตา คนและรถราดูเล็กๆจากบนนี้
หันขวาไปมีมุมโบนัสแถมให้เป็น Tokyo Skytree
และแล้วก็จบลงกับ 14 วันที่ก็แอบทำให้คิดถึงบ้าน แต่มานั่งเขียนโพสย้อนหลังแบบนี้ก็ทำให้คิดถึงอยากกลับไปเก็บภาพสวยๆมาอีกไว้โม้ให้คนอื่นฟังในอนาคต
ความสวยงามของโตเกียวในช่วงนี้ก็ยังตราตรึง ทำให้รู้สึกชื่นชมประเทศญี่ปุ่นทั้งในแง่ความเอาใจใส่ต่อเรื่องที่หลายๆคนคิดว่าไม่สำคัญและความสามารถด้านการตลาดที่ทำให้ซากุระเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น
ถ้าประเทศไทยเอาพันธุ์ไม้ของเรามาทำให้ดูสวยงามอย่างพร้อมเพรียงกันแบบนี้บ้างผมว่าก็คงสวยไม่แพ้กัน ของดีเราก็มี ใครก็ได้ช่วยไปบอกพนักงานตัดต้นไม้ของกทม.หน่อยเน่อ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้